เล่มที่ 4 บทที่ 94 เหตุการณ์ในสกุลเยว่

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

เมื่อบอกกล่าวหลงเทียนอวี้เสร็จแล้ว หลินเมิ้งหยาจึงพาสาวใช้ทั้งสี่ออกจากประตูใหญ่แห่งจวนอวี้

    โดยสารในรถม้าอันมีตราสัญลักษณ์ของจวนอวี้ องครักษ์สิบกว่าคนห้อมล้อมรถม้าของหลินเมิ้งหยาทั้งสองฝากฝั่ง ดังนั้นจึงดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมาก

    “นายหญิง เหตุใดวันนี้จึงพาคนมามากมายขนาดนี้หรือเจ้าคะ?”

    ป๋ายจื่อแหวกผ้าม่านออก มองดูองครักษ์ทางด้านนอก ก่อนจะเอ่ยถามเพราะความสงสัย

    “เหตุผลก็ไม่ได้ยากอะไรนี่นา นายหญิงของพวกเราจะไปเยี่ยมเยียนว่าที่พ่อตาแม่ยายของคุณชายใหญ่ หากพาคนไปน้อย พวกเขาจะดูถูกเอาได้มิใช่หรือ?”

    ป๋ายซ่าวเอ่ยตอบแทนหลินเมิ้งหยาอย่างรวดเร็ว

    พี่เยว่ถิงเคยแอบบอกใบ้นางเอาไว้ก่อนแล้ว

    วันนี้หากมิใช่เพราะอาศัยตำแหน่งชายาของตนเอง บางทีอีกฝ่ายอาจจะปิดประตูจวนมิยอมให้เข้าก็เป็นได้

    “คุณหนูเยว่เป็นคนงดงาม อีกทั้งยังอ่อนโยน เมื่อก่อนนางดีกับคุณหนูมาก”

    ป๋ายจื่อดีใจเป็นอย่างมาก นางเล่าเรื่องเกี่ยวกับเยว่ถิงออกมา

    หลินเมิ้งหยาเองก็ตั้งใจฟัง ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าพี่สะใภ้ของตนเองช่างเป็นคนที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีเหลือเกิน

    พี่ชายจะต้องมีความสุขอย่างแน่นอน

    “แต่นายหญิงเจ้าคะ แม้คุณหนูเยว่จะดีมาก แต่ฮูหยินเยว่หาใช่คนที่รับมือได้ง่ายๆ ไม่ หากนางเอ่ยวาจากระทบกระทั่งท่าน ท่านอย่าได้โกรธเชียวนะเจ้าคะ”

    เมื่อพูดถึงฮูหยินเยว่ ป๋ายจื่อเหลือบมองหลินเมิ้งหยาด้วยความกังวล

    แม้คุณหนูจะฉลาดเฉลียว แต่อารมณ์ของคุณหนูกลับขึ้นๆ ลงๆ ไม่แน่นอน

    “เรื่องนี้ข้ารู้ดี”

    นางก้มหน้าเป่าชาในแก้ว

    นำทหารมาต้านขุนพล นำดินมาต้านน้ำ ไม่ว่าจะมาในรูปแบบไหนนางก็พร้อมที่จะรับมือ เพื่อพี่ชายและพี่เยว่ถิงแล้ว นางพร้อมจะมัดใจว่าที่แม่พี่สะใภ้ผู้นั้น

    ไม่นานรถม้าก็แล่นมาถึงหน้าจวนสกุลเยว่ สกุลเยว่เป็นตระกูลที่มีการถ่ายทอดวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามจากรุ่นสู่รุ่น ดังนั้นจึงไม่เหมือนสกุลใหญ่โตทั่วไป

    แม้จวนจะถูกบูรณะมาหลายชั่วอายุคน ทว่ายังคงความเก่าแก่และงดงาม โดยปราศจากความหรูหราให้เห็น

    ช่างเป็นตระกูลที่ดีจริงๆ หลินเมิ้งหยานั่งอยู่ในรถม้า สั่งให้คนนำป้ายขอเข้าพบไปยื่นที่หน้าประตู

    หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ชายวัยกลางคนท่าทางใจดีพาภรรยาและลูกๆ รวมถึงสาวใช้ออกมาต้อนรับหลินเมิ้งหยา

    “ไม่รู้ว่าพระชายาจะเสด็จมาที่นี่ จึงไม่ได้ทำการต้อนรับ พระชายาได้โปรดให้อภัยด้วย”

    ป๋ายซูพยุงหลินเมิ้งหยาลงจากรถม้า กิริยามารยาทงดงาม สมสง่าพระชายา

    “ท่านลุงเยว่อย่ามากพิธีเลย ข้าควรมาเยี่ยมเยียนท่านลุงนานแล้ว แต่เพราะงานที่จวนมีค่อนข้างมาก ดังนั้นวันนี้พอมีเวลาว่างจึงเดินทางมาที่นี่ หวังว่าท่านลุงเยว่จะไม่โทษที่ข้าเสียมารยาท”

    เยว่ซื่อหลินกระตุกยิ้มอ่อนโยน มองดูพระชายาที่อายุยังน้อย แต่กลับสง่างามสมกับเป็นพระชายาอย่างหลินเมิ้งหยา นัยน์ตาเผยให้เห็นร่องรอยของความปีติยินดี

    “ไม่หรอกพ่ะย่ะค่ะ แค่พระชายาเสด็จมาเยี่ยมเยียนด้วยตัวเองเช่นนี้ พวกเราก็มีความสุขแล้ว เชิญด้านในเถิด”

    ทุกคนเดินเข้าไปภายในจวน หลินเมิ้งหยาลอบสำรวจ เหตุใดในกลุ่มคนเหล่านี้จึงไร้ซึ่งเงาของฮูหยินหลินและพี่เยว่ถิง

    จู่ๆ ร่างบางที่คุ้นเคยพลันปรากฏในแนวสายตา เยว่ฉียืนอยู่ด้านหลังคนกลุ่มนั้น อีกทั้งยังกะพริบตาให้นางไม่หยุด

    ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่เผยให้เห็นสีหน้ากังวล หัวใจของหลินเมิ้งหยากระตุก หรือเกิดเรื่องอันใดกับพี่เยว่ถิง?

    คนทั้งหมดเดินมาหยุดอยู่ที่ห้องรับแขก หลังจากหลินเมิ้งหยาโน้มน้าวอยู่นาน เยว่ซื่อหลินจึงยอมนั่งลงยังตำแหน่งเจ้าบ้าน

    สาวใช้ในจวนตระเตรียมชาหอมขึ้นชื่อเอาไว้แล้ว หลินเมิ้งหยาจิบเล็กน้อย ความหอมของชาพลันพวยพุ่งเข้าไปในกระพุ้งแก้ม

    “ไม่ทราบว่าพระชายาอยู่ที่จวนสุขสบายดีหรือไม่? สหายมู่จื่อยังรักษาการอยู่ที่แถบชายแดน มู่จือจะต้องคิดถึงพระชายาเป็นอย่างมากแน่นอน”

    เยว่ซื่อหลินและหลินมู่จือเป็นสหายที่ดีต่อกัน ทั้งสองร่วมรบในสงครามนับครั้งไม่ถ้วน

    ดังนั้นเขาจึงมองหลินเมิ้งหยาเป็นเสมือนญาติสนิทคนหนึ่ง

    ยิ่งไปกว่านั้นหลินเมิ้งหยายังเฉลียวฉลาด อีกทั้งยังลักษณะนิสัยคล้ายคลึงกับหลินมู่จือ ดังนั้นเขาจึงคุยได้อย่างถูกคอ

    “ข้าสบายดี ข้าทำให้ท่านลุงเยว่ต้องเป็นห่วงแล้ว ข้าเองไม่ได้รับข่าวคราวจากท่านพ่อและท่านพี่นานมาก ข้าเองก็คิดถึงพวกเขาเช่นกัน”

    อันที่จริง ท่านพ่อมักจะส่งคนให้นำจดหมายมาส่งให้ทุกเดือน

    แต่จดหมายเหล่านั้นล้วนถูกซ่างกวนฉิงริบไป

    ของเล่นที่พี่ชายส่งมาให้ ล้วนถูกหลินเมิ้งหวู่แย่งไปทั้งสิ้น

    ส่วนของที่พวกนางไม่ชอบ พวกนางมักจะโยนทิ้งอย่างไม่ไยดี

    ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงเป็นห่วงพี่ชายและพ่อของตนเองมาก พวกเขาต้องอยู่ในบ้านกับหมาข้างถนนสองตัวนั้น

    “มู่จือเองก็สบายดี เมื่อวันก่อนข้าเพิ่งได้รับจดหมายจากเขา ตอนนี้แถบชายแดนกำลังหนาวเหน็บ ทว่าเหล่าทหารเองก็ทุ่มเทให้กับการสู้รับกับศัตรูอย่างเต็มที่ เหตุเพราะชื่อเสียงของพ่อท่าน ดังนั้นพวกศัตรูจึงมิกล้าย่ำกราย เป็นผลทำให้บ้านเมืองสงบสุขเช่นนี้”

    ความรู้สึกภาคภูมิใจพลันปรากฏขึ้นในหัวใจ ในภาพความทรงจำ ท่านพ่อผู้สง่างามน่าเกรงขาม มักปฏิบัติกับตนเองอย่างอ่อนโยนและใจดีเสมอ

    เขามิเคยเผยความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรักให้นางได้เห็น

    เหตุเพราะได้รับความรักจากท่านพ่อ โลกทั้งใบของนางจึงมีแต่ความสุข

    “เช่นนั้นข้าก็วางใจ ที่เมิ้งหยามาในวันนี้ก็เพราะมีเรื่องสำคัญอยากขอร้องท่านลุง”

    “ข้าน้อยมิบังอาจ พระชายารับสั่งมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

    หลินเมิ้งหยาหัวเราะ ก่อนจะเอ่ยคำขอ

    “นี่เป็นเสื้อผ้าที่ข้าเตรียมเอาไว้ให้ท่านพ่อและพี่ชาย แถบชายแดนหาได้สุขสบายเหมือนอย่างที่บ้านไม่ ข้าได้ยินมาว่าปีที่แล้วเกิดการขาดแคลนเสื้อผ้ากันหนาว ดังนั้นท่านพ่อจึงยกเสื้อผ้ากันหนาวของตนเองให้กับพวกทหาร ท่านสวมใส่เพียงเสื้อกันหนาวบางๆ เท่านั้น ข้าที่เป็นลูกสาวเจ็บปวดใจยิ่งนัก ข้าอยากขอร้องท่านลุงเยว่ ได้โปรดส่งมอบสิ่งของเหล่านี้ให้ท่านพ่อ เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดให้กับเมิ้งหยาด้วย”

    หลินเมิ้งหยายกกล่องขนาดใหญ่ขึ้นมา เยว่ซื่อหลินมองกล่องใบใหญ่ด้วยความสงสัย

    เป็นเสื้อกันหนาวแบบใดกันนะ เหตุใดต้องบรรจุลงกล่องเช่นนั้น?

    ทว่าเมื่อเขาเปิดออกดู กลับได้เห็นเพียงเสื้อกันหนาวที่ถูกวางเบียดเสียดเต็มกล่อง ของในนี้มิได้มีเพียงชุดสำหรับหลินมู่จือและหลินหนานเซิงเพียงสองคนอย่างแน่นอน

    “นี่มัน…”

    “ในกล่องนี้มีทั้งหมดหนึ่งพันแปดร้อยชุด ท่านอ๋องเป็นผู้ตระเตรียมเอาไว้ให้ ที่แถบชายแดนมีทหารหนึ่งแสนคน ของเหล่านี้มีเพียงหยิบมือเท่านั้น เมิ้งหยาและท่านอ๋องมีความสามารถไม่มาก แต่หวังเหลือเกินว่าจะสามารถทำให้เหล่าทหารมีขวัญกำลังใจ”

    แน่นอนว่าหลงเทียนอวี้เป็นผู้ตระเตรียมชุดเหล่านี้

    นับตั้งแต่วันที่เงินเดือนของเหล่าทหารถูกริบไป พวกเขาไม่เพียงต้องอดทนฝ่าฟันอันตราย แต่กลับยังต้องอดทนต่อการขาดแคลนอาหาร

    ดังนั้น หลงเทียนอวี้สั่งลูกน้องให้นำเสื้อผ้าเก่าเก็บของตนเองไปมอบให้ทหารเหล่านั้น

    ทว่าเขากระทำการอย่างลับๆ

    ทว่าคราวนี้หลินเมิ้งหยาต้องการขอร้องเยว่ซื่อหลินเพื่อส่งมอบเสื้อผ้ากันหนาวเหล่านั้น ทั้งหมดที่ทำเพื่อต้องการให้ทุกคนได้รับรู้เรื่องนี้ แต่หาใช่เพื่อโอ้อวดไม่

    ถึงอย่างไร ก็มิได้ส่งไปในนามแห่งจวนอวี้ ส่วนจะพูดอย่างไรนั้นก็คงต้องพึ่งเยว่ซื่อหลินแล้ว

    “ไอ้หยา ข้าต้องขอขอบพระทัยแทนเหล่าทหารในแถบชายแดนด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

    แม้เยว่ซื่อหลินจะเป็นขุนนาง แต่เขากลับมีความซื่อสัตย์เป็นอย่างมาก

    โลกใบนี้ช่างโหดร้าย เหล่าขุนนางแสวงหาเพียงผลประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้น ไท่จื่อมองเห็นเพียงความสุขส่วนพระองค์ แต่กลับไม่เคยเห็นถึงความลำบากของทหารในแถบชายแดนเหล่านั้น

    การเดินหมากของหลินเมิ้งหยาในคราวนี้ สามารถซื้อใจของเยว่ซื่อถิงได้อย่างง่ายดาย

    นางต้องการแค่เพียงทำให้หลงเทียนอวี้ถือครองอำนาจที่อาจใช้ประโยชน์ได้ไว้ในมือ

    “ไม่หรอกท่านลุงเยว่ แต่ข้าหวังเหลือเกินว่าเรื่องนี้จะถูกเก็บไว้เป็นความลับ หากมีคนถาม ขอให้ท่านลุงเยว่ตอบเพียงว่าข้าและท่านอ๋องเพียงแต่ทำไปเพราะความกตัญญูเท่านั้น ท่านเองก็รู้ว่าข้ากับท่านอ๋องมีข้อจำกัดในการจัดการเรื่องเหล่านี้มากขนาดไหน”

    หลินเมิ้งหยาเอ่ยเตือนเยว่ซื่อหลินด้วยท่าทางร้อนใจ ใบหน้าแสร้งแสดงความรู้สึกขมขื่น

    “พระชายาได้โปรดวางใจเรื่องนั้นได้พ่ะย่ะค่ะ”

    เอ่ยวาจาหนักแน่นเพื่อให้สัญญากับหลินเมิ้งหยา อีกฝ่ายพยักหน้าลงเบาๆ

    ชุดกันหนาวถูกยกออกไป เจ้าของบ้านและแขกสนทนาอย่างออกรสออกชาติ หลินเมิ้งหยารู้สึกได้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาดีขึ้นมาก

    จากนั้นจึงเอ่ยถาม

    “จริงสิ พี่เยว่ถิงค่อนข้างสนิทสนมกับข้า แต่เหตุใดวันนี้จึงไม่เห็นนางเลยเล่า?”

    หลินเมิ้งหยาแสร้งเอ่ยถามอย่างไม่ตั้งใจ สีหน้าของเยว่ซื่อหลินเปลี่ยนไปเล็กน้อย ขณะที่คิดจะตอบ เยว่ฉีที่อดรนทนไม่ไหวรีบชิงตอบคำถามแทน

    “พี่หลิน ท่านรีบไปช่วยพี่สาวของข้าเถิด นาง…นางใกล้จะถูกท่านแม่บีบบังคับจนตายแล้ว”

    คำพูดของเยว่ฉีทำให้สีหน้าของหลินเมิ้งหยาและเยว่ซื่อหลินเปลี่ยนไป

    “ฉีเอ๋อร์ อย่าเสียมารยาท รีบออกไปเดี๋ยวนี้”

    แม้เยว่ซื่อหลินจะเอ่ยเช่นนี้ แต่น้ำเสียงกลับเสมือนคนทำอะไรไม่ถูก

    หลินเมิ้งหยาพอจะเข้าใจเหตุการณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว ดูท่าฮูหยินเยว่ผู้นั้นคงคิดจะเลียแข้งเลียขาผู้มีอำนาจ

    นางแค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจ นางจะยอมปล่อยให้พี่สะใภ้แสนดีของตนเองถูกพรากไปได้อย่างไร?

    นางโบกมือ เรียกเยว่ฉีให้เข้ามาใกล้ ก่อนจะส่งเสียงอ่อนโยน

    “พี่เยว่ถิงเป็นอะไรไป เจ้าเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่?”

    เยว่ฉีสูดน้ำมูก ก่อนจะระเบิดเสียงร้องไห้ออกมา

    “ท่านแม่พยายามบีบบังคับให้ท่านพี่ไปแต่งงาน ท่านพี่ไม่ยอม ท่านแม่จึงขังท่านพี่เอาไว้ในห้อง ท่านพี่เองไม่ยอมกินไม่ยอมดื่ม ฉีเอ๋อร์กลัวว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ท่านพี่จะต้องแย่แน่ๆ”

    หลินเมิ้งหยาแอบขำในใจ เด็กคนนี้แสดงละครเกินจริงไปหรือไม่

    ทั้งที่เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งวันเท่านั้น คนเราจะหิวตายได้อย่างไร

    แต่ในเมื่อเยว่ฉีเอ่ยเช่นนี้ เช่นนั้นนางจะรับช่วงต่อเอง

    “ท่านลุงเยว่ นี่…ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ? พี่เยว่ถิงหมั้นหมายกับสกุลหลินเอาไว้แล้ว เหตุใดจึงจะให้นางแต่งงานกับผู้อื่น?”

    เมื่อถูกผู้มีอายุน้อยกว่าถามเช่นนั้น ใบหน้าของเยว่ซื่อหลินพลันร้อนผ่าว

    เขาไม่เคยเห็นด้วยที่จะให้ลูกสาวแต่งงานออกเรือนไปไกลบ้าน ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องการถูกเลือกเมื่อวานก็ผ่านไปแล้ว

    เหตุใดวันนี้ฮูหยินของเขาจึงเอาความเป็นความตายมาล้อเล่น

    แม้เขาจะไม่มีทางยกเลิกสัญญาหมั้นกับลูกชายของมู่จือ แต่ถึงกระนั้นก็ยากเหลือเกินที่จะบีบบังคับฮูหยินของตนเอง

    “คือ…เฮ้อ ล้วนเป็นความผิดของกระหม่อมที่จัดการเรื่องภายในบ้านได้ไม่ดี”

    เยว่ซื่อหลินถอนหายใจ เอ่ยออกมา

    สีหน้าแสดงให้เห็นถึงความเสียใจ เขาดูแก่ลงหลายปี

    หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ย

    “เรื่องนี้เป็นปัญหาภายในครอบครัว หากท่านลุงเยว่เชื่อใจข้า ข้าขอเข้าไปโน้มน้าวฮูหยินเยว่ได้หรือไม่?”

    หลินเมิ้งหยาที่เป็นฝ่ายเสนอตัวก่อน ทำให้เยว่ซื่อหลินรู้สึกซาบซึ้งใจ

    ยิ่งไปกว่านั้น สถานะของนางในตอนนี้ มากเพียงพอที่จะโน้มน้าวฮูหยินเยว่

    “เช่นนั้นกระหม่อมขอรบกวนพระชายาด้วยพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้ไม่ควรเปิดเผยให้คนนอกรู้เลยจริงๆ”

    หลินเมิ้งหยากลับเอ่ยปลอบโยน

    “คนนอกที่ไหนกัน วันใดพี่เยว่ถิงแต่งงานเข้าบ้านมา พวกเราก็ถือเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ท่านลุงได้โปรดวางใจ เมิ้งหยาเก่งเรื่องการโน้มน้าวคน ข้าไม่มีทางทำให้ท่านลุงต้องลำบาก”

    เยว่ซื่อหลินครุ่นคิด สุดท้ายก็พยักหน้า

    “เช่นนั้น ขอรบกวนพระชายาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”