ฉินหร่านมองเฉิงเจวี้ยนด้วยความตกใจ
เธอไม่คิดเลยว่าเฉิงเจวี้ยนจะยื่นโน้ตบุ๊กให้เธอตรงๆ แบบนี้
ผู้บัญชาการเฉียนคนนี้สุขุมเยือกเย็นอย่างมาก ผู้บัญชาการห่าวพูดกับเขาหลายประโยค ผู้บัญชาการเฉียนกลับไม่พูดอะไรเลยสักคำ
หลายวันนี้ผู้บัญชาการห่าวรับรู้แล้วว่าคนในกองทัพคนนี้เย็นชาแค่ไหน
เพราะเขาใช้เวลาหลายวันผู้บัญชาการเฉียนก็ไม่สนใจเขา วันนี้ไม่รู้ว่าเพราะเฉิงเจวี้ยนอยู่หรือเปล่า ผู้บัญชาการเฉียนถึงยอมโผล่มา
ผู้บัญชาการห่าวละสายตาจากเขาและกำลังจะถามเจ้าหน้าที่ไอที ก็เห็นเฉิงเจวี้ยนยื่นโน้ตบุ๊กให้ฉินหร่าน ผู้บัญชาการห่าวขมวดคิ้วทันที “ท่านเจวี้ยน คุณเอาโน้ตบุ๊กให้เธอทำไม อย่ารบกวนโปรแกรมเมอร์เขาทำงานสิ”
พูดจบ ก็มองฉินหร่านด้วยสายตาไม่ชอบใจอีกครั้ง
ราวกับกำลังถามว่าทำไมเธอยังไม่ไปอีก
ลู่จ้าวอิ่งไม่เข้าใจ เขาเอียงหัวน้อยๆ เหมือนกำลังวิเคราะห์เจตนาของเฉิงเจวี้ยนอยู่เหมือนกัน
ฉินหร่านก้มหน้ามองโน้ตบุ๊กที่เฉิงเจวี้ยนถือไว้ในมือ ยื่นมือออกไปรับ ยังไม่ทันได้หันหลัง เจ้าหน้าที่ไอทีที่อยู่ไม่ไกลก็รีบลุกขึ้นมา ย้ายที่ให้ฉินหร่าน
ฉินหร่านนั่งลง ก้มหน้าเริ่มตั้งใจและจดจ่อกับการทำงาน
เธอเม้มปาก นิ้วมือเรียวเคาะบนแป้นพิมพ์ของโน้ตบุ๊ก สิ่งที่แสดงให้เห็นบนหน้าจอมีเพียงโค้ดอักษรที่มีแต่โปรแกรมเมอร์เท่านั้นที่จะเข้าใจ
“ระบุพิกัด” ฉินหร่านก้มหน้า คิ้วขมวดมุ่น ใบหน้าไม่มีความผ่อนคลายที่ไม่ยี่หระแบบนั้นอยู่แล้ว
ทุกครั้งที่เธอจริงจัง ท่าทีจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เจ้าหน้าที่ไอทีที่เฉยชาต่อผู้บัญชาการห่าวข้างๆ ได้ยินเสียงของเธอ ก็รีบล้วงมือถือออกจากกระเป๋า เปิดฝาพับออกแล้วกดปุ่มเปิดปิดตรงซ้ายมือทีหนึ่ง ก็กลายเป็นโน้ตบุ๊กขนาดเล็กทันที
“กำลังระบุตำแหน่ง” เจ้าหน้าที่ไอทีนั่งอยู่ข้างเธอ เปิดภาพเคลื่อนไหว
ไม่นานก็เจอตำแหน่งแห่งหนึ่งในทางเหนือของเมืองตามพิกัดที่ฉินหร่านระบุ
ทุกคนในที่นี้เห็นการทดลองของเจ้าหน้าที่ไอทีคนก่อนหน้านี้เต็มสองตา พวกเขามองเจ้าหน้าที่ไอทีจัดเรียงข้อมูลกับโค้ดที่ถี่ยิบจำนวนมากอย่างไม่ละสายตา
สุดท้ายก็ยังไม่ได้ผล
ผ่านไปไม่น่าถึงสิบนาที?
พิกัดก็ออกมาแล้วเหรอ
…อะไรกันเนี่ย เธอน่ะเหรอ
ผู้บัญชาการห่าวอ้าปากค้าง สายตาเปลี่ยนจากไม่เข้าใจเป็นตกใจ และสุดท้ายก็ตัวชาในตอนนี้ มีเสี้ยววินาทีหนึ่งที่เขาคิดว่าตัวเองตาฝาดไป
ผู้บัญชาการเฉียนไปยกชาถ้วยหนึ่งมาจากข้างนอก วางลงข้างมือขวาของฉินหร่าน “นี่เป็นชาเขียว ฉันใส่ใบชาแค่เจ็ดใบ ไม่เข้มเกินไป”
พูดจบ ก็หันมาพูดกับผู้บัญชาการห่าวว่า “โรงงานร้างทางตอนเหนือของเมือง ผมส่งคนไปแล้ว”
คราวนี้ผู้บัญชาการห่าวพูดอะไรไม่ออกอย่างสิ้นเชิง
ลู่จ้าวอิ่งหดคอกลับมา แต่ก็อดมองฉินหร่านครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ได้
“ท่านเจวี้ยน นายรู้นานแล้วเหรอ” ลู่จ้าวอิ่งหาเสียงของตัวเองเจอสักที
เฉิงเจวี้ยนกำมือ วางลงข้างปาก กระแอมหนึ่งที “ก่อนหน้านี้แค่สงสัย แต่เพิ่งเดาได้เมื่อกี้”
อันที่จริงตั้งแต่เจอเบาะแสของฉินหร่านจาก 712 เฉิงเจวี้ยนก็รู้สึกว่ามีอะไรชอบมาพากลแล้ว ตอนหลังก็มองพวกนี้ออกจากรหัสมอร์ส
แน่ใจอย่างแท้จริงก็ตอนที่ผู้บัญชาการเฉียนโผล่มากะทันหัน
“ผู้บัญชาการเฉียนน่าจะไม่เคยได้ยินชื่อฉันมาก่อน จากที่พวกนายพูด ผู้บัญชาการห่าวมาหาเขาหลายครั้งเขาก็ไม่โผล่มา บ่งบอกว่าเขาไม่อยากยุ่งกับเรื่องนี้”
ลู่จ้าวอิ่งพูดไม่ออก “แต่นี่ก็เป็นแค่การคาดเดาไม่ใช่เหรอ”
“หลังผู้บัญชาการเฉียนเข้ามา สายตาก็เอาแต่มองไปทางเธอโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นปฏิกิริยาของจิตใต้สำนึก หากดูจากการแสดงออกทางใบหน้าอย่างรวดเร็วและโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาเคารพเธอมาก” เฉิงเจวี้ยนยิ้ม “อีกนัยหนึ่งก็คือ คดี 712 นั่น เธอมีบทบาทเป็นตัวแปรสำคัญ”
“712?” ลู่จ้าวอิ่งงงหนักกว่าเดิม “สามปีก่อนเหรอ เธออายุเท่าไหร่กัน”
เฉิงเจวี้ยนไม่พูดอะไร
“โห…พวกนายแต่ละคนวิปริตกันแบบนี้หมดเลยเหรอ…”
ผ่านไปครู่ใหญ่ ลู่จ้าวอิ่งได้สติในที่สุด เขาลูบหน้า โพล่งประโยคหนึ่งออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เจ้าหน้าที่ไอทีสนใจแต่ฉินหร่าน ผู้บัญชาการเฉียนที่เย็นชากับผู้บัญชาการห่าวมากก็สนใจแต่ฉินหร่านเช่นเดียวกัน
ลู่จ้าวอิ่งไม่กล้ารบกวน แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรกับเฉิงเจวี้ยนเหมือนกัน ทำได้แค่ตบบ่าผู้บัญชาการห่าว “ที่จริงผู้บัญชาการเฉียนไม่ได้เย็นชาหรอกมั้ง คุณดูท่าทางกระตือรือร้นที่เขามีต่อฉินเสี่ยวหร่านสิ ทั้งยกชาให้ทั้งเทน้ำให้ ทำเหมือนพ่อกำลังประคบประหงมเลย!”
ผู้บัญชาการห่าวที่ถูกผู้บัญชาการเฉียนและคนอื่นเมินเฉย “…”
“คุณพูดอะไรบ้างสิ!” ลู่จ้าวอิ่งโยกไล่ของเขา
เขาอัดอั้นจะตายแล้ว ไม่มีใครพูดกับเขา เขาต้องระเบิดแน่
ผู้บัญชาการห่าว “…”
พูดบ้าอะไร! นายจะให้เขาพูดอะไร!
…
ตำแหน่งของเฉิงมู่ออกมาแล้ว ผู้บัญชาการห่าวจดจ้องฉินหร่านแวบหนึ่ง จากนั้นก็ตามลู่จ้าวอิ่งไปช่วยเฉิงมู่
ฉินหร่านถูกหลายคนที่นี่รุมล้อมไว้อย่างแน่นหนา
เฉิงเจวี้ยนยืนอยู่มุมหนึ่ง มองดูเจ้าหน้าที่ไอทีคนนั้นมองฉินหร่านตาลุกวาว คนข้างๆ เธอก็ถามเธอเสียงจ้อกแจ้กจอแจ รายล้อมเธอจนอากาศไม่ถ่ายเท
ลู่จ้าวอิ่งไปกับพวกผู้บัญชาการห่าวแล้ว
นิ้วของเฉิงเจวี้ยนเคาะเคสมือถือ หรี่ตามองพวกเขาแวบหนึ่ง
หลายคนที่อยู่รอบๆ ฉินหร่านก็ได้ยินเสียงที่ตั้งใจกดให้ต่ำลงดังขึ้น “เธอยังมีควิซที่ยังทำไม่เสร็จไม่ใช่เหรอ”
คนรอบตัวพวกนี้วุ่นวายเกินไปแล้ว ฉินหร่านรู้สึกว่าเริ่มปวดหัวนิดหน่อยแล้ว
สมองเริ่มเลือนรางไปบ้างแล้ว
เสียงของเฉิงเจวี้ยน เพราะกดให้ต่ำลงจึงมีความอ่อนโยนที่น่าฟังเจืออยู่นิดหน่อย
แยกแยะได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน
ราวกับมีความคิดโผล่ขึ้นมาในหัวของฉินหร่าน เธอพุ่งตัวออกจากกลุ่มคน
จากนั้นหันหน้า บอกกลุ่มคนข้างหลังว่า “จริงด้วยสิ ฉันยังมีควิซที่ทำไม่เสร็จ ครูยังรอตรวจอยู่แน่ะ”
ใบหน้าเย็นชาที่คุ้นเคยค่อยๆ โผล่ออกมาอย่างเชื่องช้า ฉินหร่านโล่งอก พูดเสียงเบาว่า “เรากลับกันเถอะ”
เฉิงเจวี้ยนพยักหน้าอย่างนิ่งสงบ มองสีหน้าของเธอที่ผ่อนคลายลงทันที ก็หัวเราะเบาๆ
“อืม เรากลับกันเถอะ”
ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หันหลังออกจากห้องไป แต่กลับเผลอลดฝีก้าวให้ช้าลงโดยไม่รู้ตัว
…
ตอนที่เฉิงมู่ถูกพวกผู้บัญชาการห่าวช่วยออกมา ก็เป็นเวลาสองชั่วโมงให้หลัง ห้าโมงเย็นแล้ว
เพราะผู้บัญชาการห่าวกับลู่จ้าวอิ่งต้องไปธุระต่อ เฉิงมู่จึงไม่ได้กลับมาพร้อมกับลู่จ้าวอิ่ง แต่นั่งรถของผู้บัญชาการเฉียนกลับห้องพยาบาลของโรงเรียน
พอถึงห้องพยาบาล เขาถึงได้เจอกับผู้บัญชาการห่าวกับลู่จ้าวอิ่งที่กำลังออกมาหลังบันทึกข้อมูลเสร็จแล้ว
“ฉันคิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าพวกนายหลายวันซะอีก” เฉิงมู่พอเห็นผู้บัญชาการห่าวกับลู่จ้าวอิ่ง ในใจยังนึกกลัวอยู่ แถมยังซาบซึ้งใจมาก “ทำไมผู้บัญชาการเฉียนถึงตกลงช่วยล่ะ อีกอย่างพวกนายหาฉันเจอได้ยังไง ฉันถามผู้บัญชาการเฉียนแต่เขาไม่พูดอะไรเลย เขาเย็นชามาก…”
เฉิงมู่ยังอยากพูดอะไรต่อ
หางตาก็เห็นฉินหร่านยกน้ำแก้วหนึ่งออกมาจากห้องครัว เขารีบหยุดเป็นพัลวัน ไม่กล้าพูดอะไรต่อหน้าเธออีก
ฉินหร่านดื่มน้ำไปคำหนึ่ง เหลือบมองเขาทีหนึ่ง แต่ก็ไม่ใส่ใจ นั่งลงบนเก้าอี้ มือหนึ่งเท้าคาง เริ่มทำควิซอย่างไม่ตั้งใจเอาเสียเลย
เฉิงมู่มองเธอแวบหนึ่งแล้วย่นคิ้ว กระซิบบอกพวกเขาสองคนว่า “พวกเราออกไป…”
เขายังไม่ทันพูดจบประโยค ผู้บัญชาการห่าวก็พูดแทรกเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ไม่ต้องแล้ว”
“อะไรนะ”
“ไม่ต้องออกไปพูดข้างนอก และไม่ต้องเลี่ยงเธอด้วย” ผู้บัญชาการห่าวมองฉินหร่านโดยตรง พูดด้วยสายตาที่สับสน “เธอเป็นคนช่วยชีวิตนายไว้”