บทที่ 80 อุปกรณ์สวมใส่ของเสิ่นเทียน

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 80 อุปกรณ์สวมใส่ของเสิ่นเทียน
ฟังคำตอบของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จนจบ นักพรตชรายอมรับว่าตัวเองถูกเกลี้ยกล่อมได้แล้ว

จริงตามนั้น เปิดสมบัติสุดยอดสองชิ้นติดกันในร้านแร่วิญญาณเล็กๆ ของสวนหมื่นวิญญาณ อีกทั้งคนที่เปิดได้สมบัติสุดยอดสองชิ้นนี้ยังเป็นเพียงหนุ่มน้อยด้วย

นอกจากมีมหาโชคอยู่กับตัวแล้ว ก็มีแต่เป็นบุตรแห่งโชคที่สวรรค์โปรดปรานเท่านั้น

นักพรตชราหาเหตุผลที่สองไม่พบจริงๆ

เขาเอ่ยถาม “ศิษย์น้อง เจ้าบอกว่ามีสองความเป็นไปได้ไม่ใช่รึ ความเป็นไปได้ที่สองคืออะไร”

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เดินไปกลางวิหารใหญ่อย่างเงียบๆ สายฟ้าประกายเซียนติดตามเขามาเป็นกลุ่ม

ยามนี้ แววตาเขาลุ่มลึกไปด้วยสติปัญญากว่าเมื่อก่อน เขาสูดลมหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง น้ำเสียงเฉยชาในตอนแรกสั่นไหว เห็นได้ชัดว่าเกิดคลื่นอารมณ์อีกแล้ว

“ความเป็นไปได้ที่สองคือ เจ้าเด็กนี่ไม่ใช่หน้าม้าแร่ลวงโลก”

นักพรตชราอึ้งไปเล็กน้อย “เจ้ากำลังจะบอกว่าเขาคือปรมาจารย์ชีพจรวิญญาณจริงๆ รึ”

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ส่ายหน้า “ไม่ ข้าไม่ได้ความว่าแบบนั้น ข้าหมายความว่าดวงชะตาของเขาอาจจะสูงกว่าที่พวกเราจินตนาการไว้!

ถ้าบอกว่าเขาไม่ได้มีวิชาวิญญาณสูงส่งอะไร แต่แค่เลือกหินแร่ให้คนอื่นตามใจ หินแร่ก้อนนั้นกลับสร้างกำไรได้เป็นสิบเท่า ทั้งยังทำหลายสิบครั้งโดยไม่พลาดเลย นี่หมายความว่าดวงชะตาของเขาอาจจะแกร่งยิ่งกว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงเสียอีก!

เกรงว่าจะใช้คำว่าบุตรแห่งโชคมาพรรณนาไม่ได้แล้ว เรียกเขาว่าบุตรแห่งวิถีฟ้าก็ไม่ถือว่าเกินไป!”

…….

นักพรตชราโคลงศีรษะ ก่อนจะยิ้มแห้งๆ “ศิษย์น้อง เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่! โลกนี้จะมีดวงชะตาเกินจริงเช่นนั้นได้อย่างไร นี่มันไม่สมเหตุผลเลย!”

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ส่ายหน้า “ดังนั้นข้าถึงบอกให้ศิษย์พี่อ่านหนังสือเยอะๆ หน่อยในยามว่าง อย่าใช้แนวคิดของคนมีดวงชะตาปกติมาวิเคราะห์ผู้มีมหาโชคยิ่งใหญ่

ลืมปรมาจารย์ชีพจรวิญญาณพวกนั้นไปแล้วหรือว่าธาตุไฟเข้าแทรกได้อย่างไร ข้ามีข้อมูลอยู่ชุดหนึ่ง ศิษย์พี่ลองดูเถอะ”

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เคลื่อนความคิดเล็กน้อย ส่งข้อมูลชุดหนึ่งไปให้นักพรตชรา

“ในนี้บันทึกเหตุการณ์ชั่วชีวิตของผู้มีมหาโชคทั้งหมดในรอบหมื่นปีมานี้ของดินแดนบูรพาไว้ ท่านดูเอา มีคนตกหน้าผา ปรากฏว่าได้มรดกมหาจักรพรรดิบรรพกาล มีคนถูกอสูรศักดิ์สิทธิ์จับตัวไป แล้วอาศัยจังหวะที่สายเลือดของเขาวิวัฒนาการทำให้เขาหลับ

มีบางคนเก็บแหวนธรรมดาได้ แต่ในนั้นมีเสี้ยววิญญาณของผู้แข็งแกร่งระดับเตรียมจักรพรรดิ คนพวกนี้มีจุดเด่นที่เหมือนกันคือทุกอย่างราบรื่นไปหมด ขอแค่พวกเขาอยู่ มหาโชควาสนาต่างๆ จะเป็นของพวกเขาเสมอ

ท่านกล้าใช้พลังบำเพ็ญสูงส่งแย่งโชคลิขิตของพวกเขาหรือไม่ ขออภัยด้วย สถิติส่วนใหญ่จะถูกสะท้อนกลับจนตาย ท่านคิดว่าสมเหตุสมผลหรือ”

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เดินไปเดินมาในวิหารเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ “ดังนั้นนะศิษย์พี่ ท่านต้องอ่านหนังสือมากเข้าไว้ เมื่อท่านอ่านชีวประวัติของผู้มีมหาโชคพันส่วนครบแล้ว ก็จะพบว่าโลกนี้ไม่มีเรื่องแปลกประหลาดเลย บางคนเป็นที่โปรดปรานของมหามรรคมาแต่กำเนิด แม้บุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงจะทำให้โลกตกตะลึง แต่ข้าคิดว่าเขาไม่ใช่บุตรแห่งโชคเพียงคนเดียว เจ้าหนุ่มนี่อาจจะไม่ด้อยไปกว่าเขา!”

……..

เฮือก!

พอได้ฟังเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์วิเคราะห์ นักพรตชราถึงกับสูดลมหายใจเย็น

‘ได้ มิน่าเล่าเห็นๆ อยู่ว่าข้าเป็นศิษย์พี่ แต่เจ้ากลับได้เป็นเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์!

สมองปราดเปรียวกว่าศิษย์พี่จริงๆ

แต่เจ้าไม่เคยแม้แต่เห็นหน้าเขา จะยอมรับว่าเขาเป็นบุตรแห่งโชคเช่นนี้จริงๆ หรือ’

นักพรตชราพูดด้วยความจนปัญญา “ศิษย์น้อง ถ้าเกิดเจ้าคาดการณ์พลาดเล่า!”

สายฟ้าประกายเซียนไหลบ่าไม่หยุด เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์แค่นเสียงขึ้นจมูก “เหลวไหล ข้าตัดเจ็ดอารมณ์หกความปรารถนาจะบรรลุขอบเขตคนกับฟ้ารวมเป็นหนึ่งแล้ว ได้รับมหาสติปัญญามา จะไปคาดเดาพลาดได้อย่างไร”

นักพรตชราทำปากเบ้ มักจะรู้สึกว่าสภาพศิษย์น้องรองของเขาไม่มั่นคงอยู่บ้าง

ตอนแรกเพื่อเติมเต็มวิชาเปลี่ยนร่างแปลงทัณฑ์สวรรค์ ถึงได้ฝึกคัมภีร์เสริมวิถีฟ้าที่ไม่สมบูรณ์นั่น ตอนนี้เดินออกมาไม่ได้ ต้องให้ศิษย์พี่กระตุ้นอารมณ์อยู่บ่อยครั้งถึงจะรักษาคลื่นอารมณ์ของมนุษย์เสี้ยวสุดท้ายเอาไว้ได้

นักพรตชราพูดอย่างจนปัญญา “คาดเดาพลาดก็ไม่เป็นไร ตามบัญญัติของบรรพชนแล้ว เจ้าหนูนี่เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ได้ ในบัญญัติบรรพชนยังมีอีกข้อหนึ่ง เจ้าหนูนั่นมีสิทธิ์ตบแต่งกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ นั่นลูกสาวที่รักของเจ้านะ เจ้าไม่อาลัยอาวรณ์หน่อยเลยรึ”

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เฉยชา แววตายังคงลุ่มลึก ในนั้นมีประกายแห่งสติปัญญาวาววับ

เสียงของเขายังคงเย็นชา “ถ้าซีเอ๋อร์อยู่กับเขา ภายภาคหน้าจะไม่ลำบาก”

นักพรตชรายิ้ม “แล้วฟางฉางเล่า! ข้าว่าเขาอาจจะสู้ตายกับเจ้าเด็กนั่นก็ได้”

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กล่าวนิ่งๆ “ข้าจะเตือนเขาเองเพื่อความปลอดภัยของเขา”

นักพรตชราเหมือนนึกอะไรออก จึงพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่สิ! ถ้าเจ้าหนูนั่นสำคัญขนาดนั้น เหตุใดเจ้าถึงไม่ให้ข้าสั่งสอนเขา”

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กล่าว “ก็เพราะเขาสำคัญมาก กระทั่งทำให้ฝ่ายเราเจริญรุ่งเรืองเหมือนแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงได้ ดังนั้นถึงให้คารวะท่านเป็นอาจารย์ไม่ได้”

นักพรตชราพูด “เจ้าคนสกุลจาง เจ้ามั่นใจนะว่าเจ้าไม่มีความรู้สึกแล้วจริงๆ”

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เอ่ยอย่างเฉยชา “เอาอย่างนี้แล้วกัน! ศิษย์พี่เอาจี้มังกรพยัคฆ์มาให้ข้า แล้วก็รบกวนท่านตามซีเอ๋อร์ไปอาณาจักรต้าเหยียน ไปรับตัวเจ้าหนูนั่นมา รอจนเจ้าหนูนั่นมาถึงแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็ให้เขาเลือกเองว่าจะคารวะใครเป็นอาจารย์ ดีหรือไม่?”

นักพรตชรากลอกตาไปมา คิดว่าสมเหตุผลไม่มีปัญหา

นักพรตชราจะไปอาณาจักรต้าเหยียนเพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีกับเจ้าหนูนั่น และใช้ทุกวิถีทางให้เขายอม ตกลงกับเจ้าหนูนั่นเรื่องศิษย์และอาจารย์กันก่อน เมื่อถึงตอนนั้นทุกอย่างก็เลยตามเลยแล้ว

หากทำเช่นนี้ต่อไป ขอแค่ปฏิเสธเจ้าศิษย์น้องโง่นี่ก็หมดเรื่อง

ช่วงนี้ฝึกฝนคัมภีร์คบเพลิงพอดี ไม่ว่าจะหาศิลาวิญญาณอย่างไรก็ไม่เคยพอ รอให้รับเจ้านี่มาเป็นศิษย์ ข้าก็จะอาศัยดวงชะตาเขาไปได้ตลอด

ตอนนั้นยังต้องกลัวว่าตอนออกไปปล้น…เอ่อ ไปฝึกฝน จะไม่เจอสมบัติสุดยอดอีกหรือ

ครั้นนึกถึงตรงนี้นักพรตชราก็กระปรี้กระเปร่าไปทั้งตัว ก่อนจะวิ่งออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว

“ลูกศิษย์น่ารักบุตรแห่งวิถีฟ้าของข้าเอ๋ย รอรับความโปรดปรานจากอาจารย์ได้เลย! จี้มังกรพยัคฆ์เอาไว้กับศิษย์พี่ก่อน จะถ่ายทอดให้เจ้าส่วนหนึ่ง”

พูดจบ นักพรตชราก็หายวับไปนอกประตู

ประกายแสงสีทองสามสายพุ่งเข้ามาในร่างเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มองแผ่นหลังของนักพรตชรา สายฟ้าประกายเซียนเริ่มจะสงบลง

“ศิษย์พี่ หลายปีมานี้ท่านไม่เปลี่ยนไปเลย ไม่โตเป็นผู้ใหญ่เลยสักนิด ซีเอ๋อร์เป็นบุตรสาวข้า เสิ่นเทียนจะคารวะท่านเป็นอาจารย์ได้อย่างไรกัน!”

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เดินมาที่ประตูใหญ่วิหารเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ แววตาลุ่มลึกมองทอดไกล

“ในที่สุดบทต้องห้ามก็กลับมาแล้ว วันแห่งความรุ่งโรจน์ของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ของข้าคงอีกไม่ไกลแล้ว!”

………

กลับมาที่ตำหนักใจพิสุทธิ์แห่งอาณาจักรต้าเหยียน

เสิ่นเทียนไม่รู้ว่าเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์คิดว่าเขาเป็นบุตรแห่งโชคไปแล้ว

ยามนี้เสิ่นเทียนกำลังปลุกใจ ศึกษาการปรับปรุงเกราะเต่าดำอย่างเต็มที่!

หลังจากผ่านความพยายามไม่ย่อท้อมาหลายชั่วยาม เขาก็ประสบผลสำเร็จยิ่งใหญ่

เมื่อประกอบโครงสร้างตามฉบับเกราะเต่าดำแล้ว เขาก็ยกระดับชุดเกราะแรดดำไปอีก จนในที่สุดอัสนีเทพคุ้มกายชุดเกราะแรดดำที่ตอนแรกคงอยู่ได้ไม่ถึงสามนาที ตอนนี้คงอยู่ได้สามนาทีครึ่งโดยไม่คืนร่าง

เอาละ วุ่นอยู่กับเต่าดำมานานมากจริงๆ

ไม่ว่าอย่างไร จากนี้ไปถ้าเจอคู่ต่อสู้ต้องดูก่อนว่าอีกฝ่ายเก่งหรือไม่

ถ้ากำลังรบธรรมดา ข้าจะเรียกชุดเกราะแรดดำมาเลย เป็นเกราะครึ่งตัวควบคุมได้อย่างงดงาม

ถ้าเจอกำลังรบค่อนข้างแกร่ง ข้าจะใช้เกราะสะท้อนเต่าดำคุ้มกาย ยิงอัสนีเทพธาตุน้ำลำดับแปดออกไป จากนั้นเรียกกุ้ยกงกง เสี่ยวเกา และจิ่วเอ๋อร์มาพร้อมกัน ก่อนจะรุมโจมตีฝ่ายตรงข้าม

แล้วถ้าเจอคนที่มีพลังบำเพ็ญแกร่งมาก ก็จะไม่เกรงใจแล้ว

จะใช้ป้ายคำสั่งเจ้ากระบี่ จู่โจมด้วยความเป็นเทพทรู!

พูดได้คำเดียว สุขุมทรงพลัง!

……

หลังวางกลยุทธ์การรบแล้ว หลายวันต่อมาเสิ่นเทียนถึงค่อยหยุดพัก

เขาไม่คิดเรื่องปวดหัวอะไรอีก แต่จะฝึกบำเพ็ญในตำหนักใจพิสุทธิ์เงียบๆ ทุกวัน

ฝึกบำเพ็ญเหนื่อยแล้ว ก็ถือลูกประคำเก้าโอรสเดินเล่นในตำหนัก เสพสุขกับชีวิตเงียบสงบ

ขณะใช้ชีวิตที่เป็นไปตามระเบียบแบบแผน เวลาก็ผ่านไปสองวันในพริบตา

พิธีอำลาองค์ชายหกเสิ่นเอ้าเริ่มขึ้นแล้ว

…………………………………..