บทที่ 105 กระบี่สวรรค์ยมโลก

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 105

กระบี่สวรรค์ยมโลก

“กระบี่คู่สวรรค์กับยมโลกนี้มีวิญญาณสิงสถิตอยู่ และถ้าพวกเจ้าเข้าสิงกระบี่มันจะต้องเป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้าแน่นอน” หลินซีเหยียนกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่มองไปที่ลูกไฟทั้งสองลูกที่ต่างก็ดีใจอยากที่จะลอง

เจียงหวายเย่ที่ยืนอยู่ข้างๆหลินซีเหยียนนั้น ก็เห็นว่านางนั้นกำลังพูดอยู่คนคนเดียว ทำให้ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย และอดคิดไม่ได้ถึงพลังวิเศษของหลินซีเหยียน

เขานั้นไม่อยากจะเชื่อว่าคนคนหนึ่งจะเปลี่ยนไปได้มากขนาดนั้นเพียงแค่ 5 ปีก็กลายมาเป็นหมอระดับโลกได้ แล้วยิ่งนิสัยของนางที่เปลี่ยนไปแทบจะเป็นคนละคนนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง

หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่บัวแดงที่เข้าสิงกระบี่สวรรค์ได้ แต่หน่อเขียวกลับไม่สามารถเข้าสิ่งกระบี่ยมโลกได้ หลินซีเหยียนจึงได้คิ้วขมวดแล้วจากนั้นก็ได้เผยรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์ที่มุมปากของนาง “องค์ชาย ข้าขอยืมเลือดของท่านสักหยดนะ”

เมื่อพูดจบนางนั้นไม่รอให้เจียงหวายเย่ได้ทันตั้งตัว หลินซีเหยียนได้หยิบกระบี่ยมโลกขึ้นมา แล้วนางก็เฉือนเข้าที่นิ้วของเจียงหวายเย่เป็นแผลเล็กๆ แล้วเลือดสีแดงก็ได้ไหลออกมาบนกระบี่ยมโลก หลังจากนั้นสักพักกระบี่ยมโลกก็ได้เรืองแสงสีขาวขึ้นมา

ในเวลานี้ทั้งสองกระบี่นั้นเล่มหนึ่งได้จดจำหลินซีเหยียน ส่วนอีกเล่มได้จดจำเจียงหวายเย่ หลังจากที่กระบี่ได้ซึมซับเลือดของเจียงหวายเย่ไป หน่อเขียวก็สามารถเข้าสิงกระบี่ยมโลกได้

ด้วยแสงที่เรืองรองออกมาจากกระบี่ทั้งสองเล่มนี้ นึกไม่ถึงว่าด้วยวิญญาณเร่ร่อนบัวแดงและหน่อเขียวที่ได้เข้าไปสิงนั้น จะทำให้กลายเป็นกระบี่วิญญาณที่ทรงพลังขึ้นมา

หลินซีเหยียนก็รู้สึกพอใจมากกับผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงนี้ แล้วจากนั้นก็ได้ปิดกล่องกระบี่นั้นแล้วเตรียมที่จะนำกลับไปที่จวนมหาเสนาบดี

“แม่นางหลินไม่มีอะไรที่จะพูดกับเปิ่นหวางหน่อยเหรอ?” เจียงหวายเย่ก็ได้ยกนิ้วของเขาขึ้นมาแกว่งไปมาตรงหน้าของ หลินซีเหยียน

หลินซีเหยียนก็รู้สึกคิดผิดขึ้นมาแล้วกล่าวกลับไป “องค์ชายเย่ ข้าไม่คิดว่ากระบี่คู่นี้จะเป็นกระบี่ที่ดีพอที่ข้าจะมอบให้แก่ท่านนะ”

เจียงหวายเย่ก็ได้ยักคิ้วขึ้นมา แล้วจ้องมองไปที่กล่องใส่กระบี่ที่หลินซีเหยียนกำลังถืออยู่ และมองไปที่หลินซีเหยียนอย่างน่าสงสัย

หลินซีเหยียนก็รู้สึกไม่ค่อยดีกับการจ้องเงียบๆของ เจียงหวายเย่เช่นนี้ นางจึงได้กล่าวไป “องค์ชาย ท่านอย่ามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นนะ ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อตัวท่านเอง อย่างไรเสียท่านก็เป็นถึงเทพสงครามท่านก็ย่อมที่จะมีกระบี่เป็นของตัวเองอยู่แล้ว การที่ท่านจะเอากระบี่ยมโลกไปอีกมันอาจจะไม่สะดวกสำหรับท่านได้!”

เจียงหวายเย่ก็ได้มีสายตาที่มืดดำมากขึ้นเมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น แล้วก็กล่าวออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้ง “กระบี่ของเปิ่นหว่างได้หักไประหว่างการรบแล้ว”

“หัก?” หลินซีเหยียนทำสีหน้าอย่างคาดไม่ถึง แล้วจากนั้นนางก็ได้ลูบไปที่เจียงหวายเย่ที่มีดวงตาที่เจ็บปวด นางจึงได้กัดฟันยอมหยิบเอากระบี่ยมโลกออกมาแล้วส่งให้กับเจียงหวายเย่ “ขอโทษด้วยก็แล้วกันที่ข้าทำให้ท่านรู้สึกเสียใจ ข้าจะให้กระบี่ยมโลกแก่ท่านก็แล้วกัน และหวังว่าท่านจะดูแลมันให้นี้ เพราะว่ามันไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้แล้ว เพราะอีกไม่นานนักกระบี่เล่มนี้จะมีจิตวิญญาณเป็นของตัวเองขึ้นมา”

เจียงหวายเย่มองดูหลินซีเหยียนที่มีสีหน้าที่จริงจัง ราวกับว่านางกำลังมอบลูกของตัวเองให้แล้ว ทำให้มุมปากของเขายิ้มขึ้นมาแล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน “ได้”

ถึงแม้ว่าจะเป็นคำพูดสั้นๆคำเดียว แต่ก็เพียงพอสำหรับหลินซีเหยียนแล้ว เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงเทพสงครามผู้ไม่เคยผิดคำพูด

เจียงหวายเย่ก็ได้ถือกระบี่ยมโลกไว้ในมือของเขา แล้วก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมาในจิตใจของเขา ราวกับว่าเขาเคยใช้กระบี่เล่มนี้มานานนับไม่ถ้วนแล้ว

หลินซีเหยียนเองก็ได้ถือกระบี่สวรรค์เอาไว้ในมือ แล้วตัวกระบี่สวรรค์ก็ได้เรืองแสงออกมาทันทีที่ชักออกมาจากฝัก แล้วจากนั้นกระบี่ทั้งสองเล่มก็ได้ส่งเสียงออกมา แล้วเสียงของกระบี่ทั้งสองก็ได้ดังไปทั่วทั้งห้องนั้น

ในขณะที่ทั้งสองคนที่เก็บกระบี่เข้าไปในฝักนั้นเอง พวกเขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา หลินซีเหยียนกับ เจียงหวายเย่ก็ได้มองหน้ากันแล้วจากนั้นก็กล่าว “เข้ามาได้”

“รบกวนคุณชายทั้งสองท่านด้วย วันนี้ช่างโชคไม่ดีจริงๆเนื่องจากทางร้านของเราได้ถูกจองเหมาเอาไว้ ข้าน้อยจึงขอกราบเรียนให้พวกท่านช่วยกลับออกไปก่อนด้วยขอรับ” เสี่ยวเอ้อกล่าวอย่างช่วยไม่ได้

หลินซีเหยียนก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ก็รู้สึกสนใจขึ้นมานิดหน่อยว่าเศรษฐีคนนั้นเป็นใครกันนางจึงได้ถามออกไป “ใครกันเหรอที่คิดเช่าร้านนี้ทั้งร้านน่ะ?”

เสี่ยวเอ้อก็ได้เดินเข้าไปใกล้ๆหลินซีเหยียนแล้วพูดเบาๆ “คุณชายข้าก็ไม่ทราบหรอกว่าเป็นใคร แต่เห็นว่าเป็นคุณชายจากจวนมหาเสนาบดีที่คิดจะจัดงานฉลองอะไรบางอย่าง จึงได้เช่าเหมาโรงน้ำชาแห่งนี้ขอรับ”

หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัว และสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆในใจว่าน้องชายตัวดีของนางมาทำอะไรที่นี่กันแน่?

“ทั้งสองท่านช่วยรีบออกไปด้วยนะขอรับ ส่วนข้าน้อยจะรีบไปแจ้งให้ลูกค้าท่านอื่นทราบก่อน” หลังจากที่เสี่ยวเอ้อกล่าวจบ เขาก็ได้รีบไปที่ห้องส่วนตัวห้องอื่นๆทันที

แล้วหลินซีเหยียนก็ได้ยินเสียงก่นด่าดังออกมาเป็นครั้งคราว แต่ไม่นานก็หยุดลงทันที นางคิดว่าคงไม่มีใครที่กล้าไปยั่วโมโหมหาเสนาบดีหลินผู้ที่อยู่เหนือผู้คนเป็นหมื่นคนแน่!

“เสี่ยวเหยียนเอ๋ออยากที่จะอยู่ต่องั้นเหรอ?” ท่าทีของเจียงหวายเย่ก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเพราะกระบี่

หลินซีเหยียนที่ได้ยินก็ได้รีบหันหน้าไปหาเจียงหวายเย่ด้วยดวงตาที่เป็นประกาย

เจียงหวายเย่ก็ได้จ้องไปที่นาง แล้วที่มุมปากของเขาก็ได้ยิ้มขึ้นมาอย่างชัดเจน แล้วจากนั้นเขาก็ได้อาศัยโอกาสที่ หลินซีเหยียนไม่ทันได้ตั้งตัวคว้าเอาเอวของหลินซีเหยียนแล้วเหาะขึ้นไปบนหมอนรองหลังคา แล้วสักพักเสี่ยวเอ้อที่ไปแจ้งรอบๆเสร็จแล้วก็ได้กลับมาดูข้างในห้อง หลังจากที่ยืนยันได้ว่าไม่มีใครแล้ว เขาก็ได้ปิดประตูแล้วจากไป

บางทีห้องส่วนตัวที่เจียงหวายเย่กับนางเข้ามานั้นดูจะหรูหรามากที่สุดแล้ว ห้องนี้จึงได้ถูกหลินเฉิงอวี้เลือก

เจียงหวายเย่ที่นั่งอยู่บนคานพร้อมกับหลินซีเหยียนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาก็ได้มองเห็นผู้คนที่อยู่ข้างล่างได้อย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“นายน้อยเรียกหาผู้เฒ่าคนนี้ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรอย่างนั้นเหรอขอรับ?” ชายชราที่มีผมสีขาวกล่าวอย่างให้เกียรติ

หลินอวี้เฉิงที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ ก็ได้นั่งท่าไขว่ห้างในท่าทางที่ดูสบายๆ “ผู้เฒ่าจาง ที่ข้าตามหาท่านก็เพื่อที่จะให้ท่านกำจัดใครบางคนน่ะ”

แล้วก็มีแววตาสีดำปรากฏขึ้นมาในดวงตาของชายชรา แล้วจากนั้นก็ได้พูดขึ้นมาอย่างตะกุกตะกัก “ชายชราผู้นี้แก่มาแล้ว ข้าจึงไม่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้อีกแล้ว”

“เจ้าคิดว่ายังจะมีทางเลือกอื่นหลังจากที่ทำเรื่องเช่นนี้ไปแล้วอย่างนั้นเหรอ?” หลินอวี้เฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งราวกับว่าที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นแค่มดตัวหนึ่งเท่านั้น

“ในเมื่อข้าชราแล้ว ข้าเองก็อยากที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบสุขบ้าง ไม่ใช่ว่าฮูหยินอวี้เองก็เห็นด้วยกับคำขอนี้ของข้าหรอกหรือ?” สีหน้าของผู้เฒ่าจางก็ได้มืดหม่นลงไปเรื่อยๆ

ตาเฒ่าจางหากว่าเจ้าไม่ทำแล้ว ข้าก็จะหาวิธีทำให้ลูกชายของเจ้าลงมือเอง เช่นเดียวกับที่เจ้าเคยโดยเมื่อก่อนนั่นแหละ” หลินอวี้เฉิงก็ได้กล่าวอย่างชั่วร้ายมาก

ตาเฒ่าจางจึงได้แต่ส่ายหัวแล้วกล่าว “ข้าทำก็ได้”

“ก็ตอบแบบนี้เสียแต่แรกก็จบแล้ว พรุ่งนี้จะมีคนไปที่วัดต้าเปยที่อยู่นอกเมืองเพื่อจุดธูปขอพร แล้วจากนั้นก็ให้เจ้าจัดการสังหารหญิงตั้งครรภ์ที่อยู่ในรถม้าเสีย” หลินเฉิงอวี้ก็ได้กล่าวด้วยสีหน้าที่ดุดันและเหยียดหยาม มีเขาที่เป็นนายน้อยจวนมหาเสนาบดีคนเดียวก็พอแล้ว เขาไม่ต้องการให้มีนายน้อยโผล่มาเพิ่มอีก

หลินซีเหยียนก็ได้มองดูสิ่งที่เกิดขึ้นข้างล่างอย่างเงียบๆบนคาน แล้วปรากฏแววตาสีดำขึ้นมาในดวงตาของนางอย่างชัดเจน นี่แหละคือจวนมหาเสนาบดี ถึงแม้จะเป็นตระกูลใหญ่โตแต่ก็น่าขยะแขยง กะอีแค่ตระกูลหลินมันจะไปมีค่าอะไรนักหนา

แล้วทั้งสองคนก็ได้วางแผนลงมือกันอยู่พักหนึ่ง แล้วจากนั้นหลินเฉิงอวี้ก็ได้ออกไป ส่วนตาเฒ่าเฉิงยังไม่ได้ออกไปทันที เขายังคงนั่งลงแล้วดื่มชาเย็นๆที่อยู่ตรงหน้าเขา จากนั้นก็ค่อยลุกขึ้นยืนแล้วออกไป

“คนที่พวกเขาพูดถึงจะต้องเป็นเฉิงเหยียนแน่ๆ ไม่นึกเลยว่าฮูหยินอวี้นั้นจะสามารถทำได้แม้กระทั่งเด็กที่ยังไม่เกิด” หลินซีเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักอึ้ง เจียงหวายเองก็รู้ว่านางนั้นไม่ชอบเรื่องแบบนี้แต่มันก็เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้

เจียงหวายเย่ที่อุ้มหลินซีเหยียนอยู่ในอ้อมแขนนั้นก็ได้กล่าวอย่างหดหู่ “ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนโลกที่โสมมนี้ไม่ได้ แต่ตราบที่เปิ่นหวางอยู่ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าต้องตกอยู่ในวงเวียนนี้แน่”