บทที่ 106 โล่คริสทัลที่ถูกเสริมพลัง

ไหปีศาจ

บทที่ 106

โล่คริสทัลที่ถูกเสริมพลัง

เนื่องจากลั่วอู๋กำลังจะเดินทางไปยังส่วนลึกของป่าหวงชา ฉะนั้นเขาควรเตรียมตัวให้พร้อมดี

มีน้ำพุใสสะอาดอยู่ในมิติไห ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำ ลั่วอู๋จึงเตรียมแค่เก็บอาหารไว้ให้เพียงพอในมิติไห

เขายังคงกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปของศาลาไป่หยู่ในตอนที่เขาออกเดินทาง เพราะลั่วอู๋ได้เรียกสัตว์วิญญาณตั๊กแตนจำนวนมากจากมิติไห มาไว้ในส่วนที่มีแดดส่องของลานด้านหลังร้าน

ตั๊กแตนขู่เซิงนั้นอ่อนโยนและชอบอาบแดด มันไม่ค่อยชอบเคลื่อนไหว มันไม่น่าจะก่อปัญหาใด ๆ ในลานหลังร้านได้

ลั่วอู๋บอกคนงานร้านทิ้งท้ายไว้ว่า “สัตว์วิญญาณต้นไม้เหล่านี้ควรได้รับการดูแลอย่างดี รดน้ำมันทุกวันและอย่าตัดแต่งกิ่งและใบของมันโดยไม่ได้รับอนุญาต จงปล่อยมันไว้เงียบ ๆ ในลาน อย่าไปรบกวน”

“ขอรับ” แม้ว่าพวกเขาจะแปลกใจที่จู่ ๆ ก็มีต้นไม้มาจากไหนไม่รู้ 5 ต้นในลานบ้าน แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมและจดจำสิ่งที่นายน้อยของตนเองพูดไว้

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ลั่วอู๋ได้ซื้ออาวุธที่มีความซับซ้อนมากมาหลายชิ้น

อาวุธเหล่านี้ถูกนำกลับไปยังมิติไหโดยลั่วอู๋ พวกมันได้ถูกปรับแต่งใส่แก่นวิญญาณลงไปได้สำเร็จ ทำให้พวกมันกลายเป็นอาวุธวิญญาณ พลังของพวกมันก็ได้รับการเสริมแกร่งขึ้นอย่างมาก

และสิ่งที่ลั่วอู๋ต้องทำเป็นอย่างสุดท้าย

เขาต้องสร้างโล่ที่ดีให้กับตัวเอง

ลั่วอู๋มีโล่คริสทัลอันทรงพลัง แต่เขาต้องการจะเข้าไปในส่วนลึกของป่าหวงชา โล่คริสทัลธรรมดา ๆนั้นยังไม่เพียงพอที่จะปกป้องเขาได้

เพราะคราวนี้พวกเขากำลังจะเดินทางไปหาสัตว์วิญญาณระดับทอง

ลั่วอู๋จึงเริ่มพยายามที่จะสังเคราะห์

มันคงยากที่จะได้รับโล่ที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม

ในการปรับแต่งสัตว์วิญญาณ จำเป็นจะต้องใช้สัตว์วิญญาณตัวอื่นที่แข็งแกร่งกว่ามาก มารวมเข้าด้วยกัน จากนั้นก็จะได้รับสัตว์วิญญาณที่แข็งแกร่งขึ้นตามที่ต้องการ

แต่โล่นั้นไม่เหมือนกับสัตว์วิญญาณ

เขาต้องการโล่ที่มีการป้องกันที่ดีกว่าโล่คริสทัลเพื่อมารวมเข้ากับโล่คริสทัลงั้นเหรอ?

คำถามคือถ้าเขามีโล่ที่มีการป้องกันที่ดีแล้วทำไมเขายังต้องการ โล่คริสทัลมันไม่มีทางเลยที่เขาจะทำแบบนั้น ลั่วอู๋ทำได้แค่ใช้วิธีที่โง่ที่สุด

ก็คือการสังเคราะห์อย่างต่อเนื่อง

เนื่องจากการสังเคราะห์มีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะได้รับไอเท็มเสริมประสิทธิภาพ โล่คริสทัลจึงถูกทิ้งลงในส่วนต่อประสานการสังเคราะห์โดยลั่วอู๋อย่างต่อเนื่อง

[ได้รับเศษโล่คริสทัล, แต้มเซียน + 10]

[ได้รับเศษโล่คริสทัล, แต้มเซียน + 10]

……

ผ่านมาแล้วกว่า 173 ครั้งติดต่อกันมีเพียงแค่เศษโล่ธรรมดาเท่านั้นที่ถูกสร้างขึ้น

นั่นหมายความว่าลั่วอู๋ได้สูญเสียโล่คริสทัลใส 173 ชิ้น หากเปลี่ยนเป็นหินวิญญาณลั่วอู๋ได้สูญเงินไปแล้วอย่างน้อยกว่า 100,000 หินวิญญาณ

แต่โชคดียังดีที่สิ่งเหล่านี้เขาทำขึ้นเองทั้งหมด มันจึงเพียงแค่ต้องคำนวณในส่วนของต้นทุนและค่าแรง

ในที่สุดเมื่อถึงครั้งที่ 174 เขาก็ประสบความสำเร็จ

[ได้รับ โล่คริสทัล (ปรับปรุงแล้ว), แต้มเซียน + 40]

โล่คริสทัลตรงหน้าเขานั้นเป็นวงกลมที่ใหญ่กว่าโล่คริสทัลธรรมดา โล่คริสทัลธรรมดาเป็นโล่กลม แต่โล่คริสทัลที่ได้รับการปรับปรุงนั้นคล้ายกับโล่ของทางหอคอยหวงชามากขึ้นและสามารถครอบคลุมทั่วทั้งร่างกายได้เกือบทั้งหมด

โล่คริสทัลที่ได้รับการเสริมพลังยังคงใสและมีวัสดุเป็นเหมือนคริสทัลดังเดิม มันค่อนข้างหนักในตอนแรก แต่มันเบากว่าโล่ธรรมดามาก

ลวดลายลึกลับหลายเส้นปรากฏอยู่กับพื้นผิวของโล่และขอบ มุมใต้โล่นั้นดูชัดเจน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการยับยั้ง

ลั่วอู๋รู้สึกตื่นเต้นที่ได้ถือโล่

มันน่าจะมีประโยชน์มาก ดูเหมือนว่าจะมีการปรับแต่งเป็นที่เรียบร้อย

ลั่วอู๋ลองตรวจดูเล็กน้อย คุณภาพของโล่คริสทัลที่ปรับปรุงแล้ว มันแข็งแกร่งกว่าเดิมมากเมื่อเทียบกับโล่คริสทัลธรรมดา แม้ว่าจะถูกสัตว์วิญญาณสีเงินโจมตีเป็นร้อย ๆ ครั้งก็ไม่สะเทือน

อย่างไรก็ตามลั่วอู๋ไม่กล้าพอที่จะปล่อยให้สัตว์วิญญาณระดับทองโจมตี เพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของโล่

เพราะถ้าหากโล่แตกขึ้นมาการป้องกันของมันจะลดลงอย่างมาก และค่าใช้จ่ายในการสร้างโล่นั้นค่อนข้างแพง

หลังจากที่ได้พักผ่อนและเตรียมตัวอย่างเต็มที่ ไม่กี่วันหลังจากนั้น ในที่สุดพวกเขาก็ออกเดินทางโดยมีคนรวมกัน 10 คนในทีม

ผู้นำทางเย่, หลิวหู พี่น้องห้าคนจากทีมคมมีด, ลั่วอู๋, หลี่หยิน และฉูจงฉวน

สำหรับไร้หน้า ลั่วอู๋ขอให้เขาอยู่เฝ้าศาลาไป่หยู่เพื่อฝึกฝน ดูเหมือนว่าในไม่ช้าเขาน่าจะฝ่าด่านแรกของการพัฒนาวิชาผีเสริมกระดูกได้แล้ว

พวกเขามุ่งหน้าเดินทางไปที่ส่วนลึกของป่าหวงชา

แม้ว่าเขตหวงชาจะเป็นทะเลทราย ที่มีสภาพอากาศอันแห้งแล้งและร้อนระอุ แต่ทุกคนในทีมต่างก็เป็นผู้ใช้พลังวิญญาณ จึงไม่มีปัญหาอะไรกับสภาพอากาศที่รุนแรงเช่นนี้

“ตอนนี้พวกเราอยู่ในพื้นที่ริมป่าหวงชา ถ้าเดินเข้าไปในพื้นที่ตอนกลางจริงๆ มันอาจจะทรมานจนทนไม่ได้เลยล่ะ” เย่กล่าว

ลั่วอู๋ถาม “ถ้าอย่างนั้นเป็นไปได้ใช่ไหมว่าอุณหภูมิในส่วนลึกของป่าหวงชาจะสูงขึ้นไปอีกมาก”

“นั่นคือสิ่งที่พวกเราคิดไว้ในทีแรก” เย่ ส่ายหัวช้า ๆ และพูดอธิบาย “แต่ข้าไม่คาดคิดว่าพวกเราทุกคนในตอนนั้นต่างก็คิดผิด”

ทุกคนไม่เข้าใจ

“ลึกเข้าไปในป่าหวงชาสภาพอากาศนั้นผิดปกติมาก ราวกับว่าเป็นมิติที่แยกออกมา บางครั้งก็ร้อนจัดบางครั้งก็มีพายุ บางครั้งก็หนาวเป็นน้ำแข็งและสภาพอากาศอันเลวร้ายนั้นก็ยังสลับกันได้ 7-8 แบบในหนึ่งวัน ”

ทุกคนต่างตกตะลึง

สภาพแวดล้อมดังกล่าวอยู่ในส่วนลึกของป่าหวงชา

มีเพียงฉูจงฉวนเท่านั้นที่พยักหน้า เพราะเขาได้เรียนรู้จากนักผจญภัยอาวุโสมาแล้วว่ามันเป็นเช่นนั้น

หลิวหูคือคนที่ประหลาดใจที่สุด ครั้งหนึ่งเขาเคยพาทีมคมมีดเดินไปรอบ ๆ ส่วนใหญ่ของพื้นที่ลึกและจับปีศาจยาหลงมาได้สองตัว

ซึ่งจากระยะทางนั้นมันยังคงไกลจากพื้นที่ส่วนลึก ทำให้เขาไม่สามารถได้พบสภาพอากาศอย่างที่ชายชรากล่าว

เฒ่าเย่ดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่หลิวหูคิดในใจแล้วพูดว่า “นั่นคือเหตุผลที่ข้าบอกว่ามันเหมือนมิติที่แยกออกมา”

ทีมงานเข้าไปใกล้บริเวณส่วนลึกของป่าหวงชาอย่างช้าๆ

ระหว่างทางพวกเขาได้พบกับสัตว์วิญญาณมากมาย แต่ลั่วอู๋และพวกเขาทั้งหมดเลือกที่จะอยู่ห่างจากการต่อสู้ที่ไร้ความหมาย

ในเวลานี้ต้าหวงดูเหมือนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง และเห่าไปในทิศทางของทะเลทราย

“โฮ่ง!”

“โฮ่ง!”

คณะเดินทางหยุดลง

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าสุนัขมีประสาทสัมผัสในการดมกลิ่นที่ดีที่สุด

แต่เมื่อพวกเขามองไปในทิศทางของการเห่าของต้าหวงก็ไม่มีอะไรผิดปกติ นอกจากทะเลทรายอันไร้ขอบเขต

ลั่วอู๋นั่งยอง ๆ เพื่อสงบอารมณ์ของต้าหวงและถามว่า “ต้าหวง เจ้าเป็นอะไรไป”

ด้วยกระแสพลังวิญญาณที่เชื่อมกัน ในไม่ช้าลั่วอู๋ก็รู้ความหมายของต้าหวงและขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง

ฉูจงฉวนถามในทันที “มีอะไรงั้นเหรอ?”

“ต้าหวง บอกว่ามีคนติดตามเรามาตลอดและเพิ่งแสดงเจตนาที่จะฆ่าเรา ต้าหวงรู้สึกได้ว่ามันกำลังเข้ามาหาเรา และพวกมันไม่ใช่ทีมล่าสัตว์ที่ผ่านทางมา” ลั่วอู๋กล่าว

หลังจากได้รับการเลื่อนขั้นเป็นระดับเงินแล้วต้าหวงไม่เพียง แต่จะเพิ่มสัมผัสในการดมกลิ่นของมันเท่านั้น แต่ยังสัมผัสได้ถึงสิ่งลวงตาและเจตนาฆ่า

ทุกคนเริ่มตื่นตัว

การฆ่าและปล้นสะดมไม่ใช่เรื่องแปลกในทะเลทรายแห่งนี้

แต่ในด้วยสถานะของพวกเขาแต่ล่ะคน ไม่มีทางที่คนธรรมดากล้าจะเข้ามาปองร้าย

มันเป็นการลงทุนที่ได้ไม่คุ้มเสีย

“ให้ข้าสังเกตการณ์ดูลาดเลาก่อนแล้วกัน” ผู้เฒ่าเย่เรียกสัตว์วิญญาณของเขาออกมา

มันเป็นอินทรีตรวจเมฆาที่ทรงพลังมาก ด้วยดวงตาอันเฉียบคมและสถานะของสัตว์วิญญาณระดับสีเงิน ที่มีความสามารถในการตรวจจับอันแข็งแกร่งและความสามารถในการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม

สัตว์วิญญาณ แบบนี้มักถูกกองทัพกักขังและปรับแต่งให้เป็นหน่วยสอดแนมที่สมบูรณ์แบบที่สุดน่าเสียดายที่ไม่มีสัตว์วิญญาณแบบนี้ใน เขตหวงชา

“ไปได้”

นกอินทรีตรวจเมฆกลายร่างเป็นสายลมบินตรงไปในท้องฟ้าและหายไปในกลุ่มเมฆ

ครู่ต่อมานกอินทรีก็บินกลับมา

“นัยน์ตาแห่งวิหค!”

อินทรีตรวจเมฆา มีทักษะระดับ B อันหายาก [นัยน์ตาแห่งวิหค] ซึ่งไม่เพียง ทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆในระยะไกลได้อย่างชัดเจน แต่ยังสามารถฉายภาพได้อีกด้วย

ทักษะประเภทนี้ไม่ใช่ระดับสูง แต่พบได้น้อยมากในสัตว์วิญญาณ

ลั่วอู๋สนใจทักษะนี้

หากมีโอกาสในอนาคตเขาจะต้องได้อินทรีตรวจเมฆามาครอบครอง

ภาพที่คลุมเครือปรากฏต่อหน้าทุกคนราวกับภาพลวงตา แม้ว่ามันจะไม่เป็นภาพในสถานที่จริงซะทีเดียว แต่มันก็สะท้อนถึงภาพเหตุการณ์จริงออกมาได้ดี

ในภาพนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังติดตามพวกเขาตลอดเวลา

ผู้นำกลุ่มสวมหน้ากาก เขาดูนิ่งมากแต่กลับมีบรรยากาศที่น่ากลัว ท่าทีสบาย ๆ และการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ล้วนเผยให้เห็นประสบการณ์ในการฆาตกรรม

เขาเหมือนนักฆ่าผู้เชี่ยวชาญ

“นั่นมันชิงซู!” ลั่วอู๋รู้สึกประหลาดใจ เขาจำผู้นำกลุ่มคนนั้นได้

เจ้าของร้านของหอคอยหวงชาสาขาเมืองพินาศ

เขาได้เห็นอีกฝ่ายจากระยะไกล

ลั่วอู๋ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเจ้าของร้านแห่งหอคอยหวงชาในเมืองพินาศจะมีจิตสังหารเช่นนี้