ตอนที่ 111 เหตุการณ์ที่ตามมาหลังจากซื้อรถ

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 111 เหตุการณ์ที่ตามมาหลังจากซื้อรถ

“ฉันแค่จะสื่อว่าทำไมคุณถึงไม่ทำตัวให้ก้าวหน้าบ้าง พวกคุณต่างลาออกจากกองทัพกันหมด แต่ดูเขาสิ ผ่านมาไม่นานเขาก็ซื้อรถได้แล้ว ในเมื่อมีความสัมพันธ์ที่ดีขนาดนี้แล้ว คุณไม่อยากให้เขาช่วยคุณให้ก้าวหน้าบ้างเหรอ ในฐานะที่พวกคุณเป็นสหายร่วมรบกัน ต่อให้ไม่กินเนื้อก็กินน้ำแกงร่วมกันได้นี่?” ภรรยาของเหล่าฉินหยิกเขาอย่างหมั่นไส้

เหล่าฉินย่นคิ้ว “เจี้ยนอวิ๋นเพิ่งจะออกจากกองทัพไม่นาน พื้นฐานของเขายังไม่มั่นคงพอหรอก แล้วเงินที่เขาหามาได้ในตอนนี้ก็นำไปซื้อรถหมดแล้ว ถ้าชีวิตของเขาดีขึ้นแล้ว ผมก็ไม่จำเป็นต้องบอกหรอกว่าเขาจะยังนับผมเป็นพี่ชายอยู่ไหม”

พวกเขาต่างมาจากค่ายทหารที่เดียวกัน และมีความสัมพันธ์แบบร่วมเป็นร่วมตายมาตั้งแต่ต้น มันจะไม่สั่นคลอนเพราะคำพูดไม่กี่คำของภรรยาตัวเองหรอก ซึ่งนั่นไม่ต่างอะไรกับการเอามีดมาแทงพี่น้องตัวเองเลย

และเจี้ยนอวิ๋นก็ยังอยู่ในสายตาเขา ทุกครั้งที่ได้ช่วยเหลือเขา เขาก็จะให้เขาอธิบายกับครอบครัวว่าจะเติมน้ำมันให้เต็มถังทุกครั้ง หรือไม่เขาก็จะออกเงินให้เล็กน้อย ซึ่งไม่ต้องบอกเลยว่าค่าจ้างที่เขาให้นั้นจะมากขนาดไหน คนอื่นคงไม่ได้เงินเดือนในหนึ่งเดือนมากเท่ากับที่เขาจ้างหรอก แถมคราวที่แล้วภรรยาของเขาก็นำขาหมูขาใหญ่มาให้ขาหนึ่ง แล้วคราวนี้เขาก็นำเงินกับเนื้อแกะมาให้อีก

เมื่อเขานำกลับมาที่บ้าน มันก็เป็นคำอธิบายได้อย่างหนึ่ง และใช้เป็นสิ่งที่ระงับความละโมบไปในตัวได้ หากจะขออะไรอีกก็เกรงว่าจะรบกวนมากเกินไป

“แล้วจะเป็นอะไรไปล่ะ? ในเมื่อคุณพาเขามาเรียนรู้ทักษะการทำสวนของคุณ ภูเขาที่เราอยู่ก็ไม่ได้แย่ไปกว่าภูเขาของเขา ทำไมเขาถึงปลูกได้ แต่เราปลูกไม่ได้เหมือนอย่างเขาล่ะ?” ภรรยาเหล่าฉินเอ่ย

“คุณพูดอย่างนั้นไม่ได้หรอก เจี้ยนอวิ๋นปลูกได้ก็ใช่ว่าผมจะปลูกได้เหมือนอย่างเขา มันขึ้นอยู่กับดวงล้วน ๆ” เหล่าฉินพูด

ในหมู่บ้านของเจี้ยนอวิ๋นมีคนทำสวนตามอย่างเขาอยู่หลายครอบครัวทีเดียว กล้าไม้ที่ซื้อมาจากที่นี่ต่างก็มีการคัดเลือกเป็นพิเศษ แต่ในตอนนี้เขาก็ได้เห็นแล้วว่าคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านต่างไม่สามารถปลูกได้งอกงาม

สวนผลไม้ในที่ดินของเจี้ยนอวิ๋นนั้นเขียวชอุ่มและดูดีอย่างมากจนเป็นที่อิจฉาของผู้อื่นที่ได้เห็น ในขณะที่กล้าผลไม้ของคนอื่นนั้นทั้งเล็กและผอม ทั้งที่พวกเขาบอกว่าดูแลประคบประหงมเป็นอย่างดีแล้วก็ไม่สามารถปลูกให้มันงอกงามได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือคุณลุงถังที่เจี้ยนอวิ๋นเคยพูดคุยด้วย แต่เจี้ยนอวิ๋นล่ะจะรู้อะไร?

จนถึงตอนนี้มันนานเท่าไหร่แล้วที่เขาลาออกจากกองทัพ? ถ้าบอกว่าเขามีเล่ห์เหลี่ยมอะไรบางอย่าง แน่นอนว่าเหล่าฉินไม่มีทางเชื่อหรอก

ดังนั้นมันขึ้นอยู่กับโชคชะตาจริง ๆ

“คุณลองไปถามเขาดูว่าเขาอยากจะช่วยคุณในฐานะพี่น้องหรือไม่ ถ้าเขาเต็มใจที่จะช่วย เขาก็จะบอกคุณ ฉันไม่เชื่อหรอกว่ามันจะไม่มีกลอุบายอะไร!” ภรรยาของเหล่าฉินบอก

เหล่าฉินเหลือบมองหล่อน “ถ้ามีเวลาผมจะไปถามเจี้ยนอวิ๋นแล้วกัน”

ความจริงแล้วเขาเองก็รู้สึกละโมบไม่น้อยเช่นกัน เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายขายดีเหลือเกิน แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร และไม่รู้ว่าจะตั้งตัวได้ขนาดนั้นไหมด้วย ถ้าตั้งตัวไม่ได้ จะต้องสูญเงินลงทุนไปเท่าไหร่?

ดังนั้นพักสถานการณ์ของที่นี่เอาไว้ก่อน

อีกฝั่งหนึ่ง จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ได้ขับรถบรรทุกคันใหญ่กลับมา แถมยังเป็นรถคันใหม่เอี่ยม โดยเฉพาะการที่เขายืนยันด้วยตัวเองว่าเพิ่งซื้อมา ซึ่งทันทีที่เขาซื้อมานั้น เขาก็ได้หย่อนระเบิดกลางหมู่บ้านจนกลายเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว

“เจี้ยนอวิ๋น รถคันนี้ราคาเท่าไหร่น่ะ?”

“ต้องเป็นเงินมหาศาลแน่ ๆ เลย คุณมีเงินมากขนาดนั้นได้อย่างไร เป็นเงินที่ได้จากการขายผลไม้เหรอ?”

“ผลไม้น่ะขายง่ายอยู่หรอก แต่จะทำเงินได้มากขนาดนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ”

“หรือว่าภรรยาของคุณปักผ้าขายแล้วช่วยออกเงินให้คุณกัน? ฉันได้ยินมาว่างานปักผ้าของหล่อนขายได้ราคาสูงมากเลยนะ แค่งานเดียวก็ขายได้ 100 ถึง 200 หยวนแล้ว!”

“…..”

ทุกคนในหมู่บ้านต่างมารุมล้อมด้วยความตื่นเต้น มองรถบรรทุกคันใหม่เอี่ยมนี้ราวกับมุงดูทารกพิเศษที่หายาก พวกเขาบางคนถึงกับค่อย ๆ แตะและไม่กล้าลูบคลำแรงนัก

แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็อดตั้งคำถามขึ้นมาไม่ได้ว่ารถคันนี้ราคาเท่าใด และได้เงินมาจากไหน?

แม้ว่าคนที่มาถามจะเป็นญาติกับตระกูลจี้และมีสวนผลไม้อยู่ที่บ้านเหมือนกัน แต่ปีนี้พวกเขาก็ไม่ได้ผลผลิตใด ๆ ถึงจะเป็นอย่างนั้นจี้เจี้ยนอวิ๋นก็ไม่ตอบ ทำเพียงยิ้มแล้วก็บอกว่ามันไม่ได้แพงมากหรอก

บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่เหล่านั้นมีสิทธิ์ถามคำถามแบบนี้กับเขาด้วยเหรอ? ขนาดพ่อของเขาเองยังไม่ถามเรื่องส่วนตัวมากขนาดนี้ แล้วทำไมผู้ใหญ่พวกนี้ต้องมาถามเขาด้วย?

แล้วคำถามสำคัญก็ยังไม่ได้รับการตอบและเป็นปริศนาต่อไป แต่คำถามต่อไปที่ถามว่าเขาขับรถเป็นตั้งแต่เมื่อไรนั้น จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ตอบไปอย่างไม่ถือตัวว่าเขาขับรถเป็นตั้งแต่อยู่ในกองทัพก็ทำใบขับขี่มาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ถ้าไม่มีใบขับขี่ก็ไม่สามารถขับรถได้เนื่องจากรถจะถูกยึด และตัวคนขับเองก็จะถูกคุมขังเนื่องจากขับรถโดยไม่มีใบขับขี่

อาจพูดได้ว่าคนในหมู่บ้านอันโดดเดี่ยวเกือบทั้งหมู่บ้านนี้อยากจะยืมรถของเขามาขับเลยทีเดียว

ไม่ต้องพูดถึงคนในหมู่บ้านที่มามุงอยู่เป็นเวลานานเลย แม้แต่คุณพ่อคุณแม่จี้ที่อยู่บนภูเขาก็ยังลงมาดูหลังจากได้ข่าว เมื่อพวกเขาเห็นรถเข้าก็มีท่าทางตื่นเต้นทันที

คุณพ่อจี้มีสีหน้าดีขึ้นมาบ้าง ส่วนคุณแม่จี้นั้นแสดงอาการอย่างชัดเจนว่ามีความสุขเสียจนน้ำตาแทบไหล แล้วนางก็ร้องไห้ด้วยความดีใจอยู่ตรงนั้น

ลูกชายนางช่างโชคดีเหลือเกินที่ซื้อรถคันใหญ่นี้กลับมาได้ เพราะงั้นนางจะรู้สึกผิดหวงได้อย่างไร

นางคิดว่าอนาคตของเจี้ยนอวิ๋นจะดับมืดหลังออกจากกองทัพแล้วเสียอีก แต่ไม่คิดเลยว่าจะพลิกผันได้ขนาดนี้ แถมยังนำความเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิมยามกลับสู่ครรอบครัวกลับมาด้วย ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงสภาพจิตใจของคุณแม่จี้เลย

ความจริงแล้วต่อให้ก่อนหน้านี้นางจะลำเอียงไปทางครอบครัวสี่นิดหน่อย แต่ความลำเอียงก็ส่วนลำเอียง ไม่ใช่เพราะเจี้ยนเหวินเรียนหนังสือเก่งมาตลอดหรอกหรือ? นางจึงหวังว่าเขาจะประสบความสำเร็จและรอคอยเขาตอบแทนกลับมา แต่ในใจของนางก็รู้ดีว่าลูกชายคนไหนจะกลับมาดูแลพวกเขาในยามแก่เฒ่า ซึ่งเจี้ยนเหวินนั้นไม่เหมาะสม ดังนั้นแล้วเจี้ยนอวิ๋นจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

แต่ก่อนหน้านั้นตานหงยังเด็ก นางจึงไม่กล้าเอ่ย ทว่าต่อมาตานหงก็ปรับปรุงตัวเองจนไม่ได้แย่ไปกว่าเจี้ยนอวิ๋นและยังทำทุกอย่างโดยไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ดูแลบ้าน และการเดินทาง ซึ่งไม่มีตอนไหนที่เธอไม่นึกถึงสองผู้เฒ่าอย่างพวกเขาเลย

ดังนั้นคุณแม่จี้จึงยิ่งหวังมากขึ้นไปอีกว่าลูกชายคนที่สามจะตั้งตัวได้

เมื่อตอนนี้ได้เห็นรถบรรทุกคันใหญ่แล่นกลับมาแล้ว คุณแม่จี้ก็ได้แต่อธิบายออกมาด้วยน้ำตาแห่งความปิติที่มีอย่างท่วมท้นใจ

บรรดาแม่เฒ่าคนอื่น ๆ พากันปลอบนางว่าอย่าร้องไห้ มีอะไรน่าเสียใจกับเรื่องนี้งั้นเหรอ ลูกชายมีชีวิตดีขนาดนี้แล้วมันก็ดีแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร คนบ้านอื่นไม่อาจหวังได้แบบนี้หรอกนะ

จี้เจี้ยนกั๋วกับจี้เจี้ยนเยี่ยต่างได้ยินเรื่องนี้ในตอนที่พวกเขาทำงานอยู่ในไร่นา พวกเขาถึงกับวางจอบลงและรีบวิ่งมาในทันที จากนั้นก็ได้เห็นรถคันใหญ่ในทันทีที่วิ่งมา

พี่ชายทั้งสองต่างรู้สึกอิจฉาอย่างแรงกล้า ทั้งที่เป็นพี่น้องท้องเดียวกันแท้ ๆ แต่ทำไมถึงห่างชั้นกันได้ขนาดนี้?

หลังจากเป็นที่ฮือฮากันอยู่นาน ความคิดต่าง ๆ ของผู้คนก็เริ่มจะสลายตัว

คุณพ่อจี้ไม่เอ่ยอะไรมากนักก่อนเดินกลับขึ้นภูเขา

ส่วนคุณแม่จี้นั้นยังอยู่รั้งท้ายและกระซิบกระซาบขึ้น “ตอนที่ญาติ ๆ พากันมาถามราคารถน่ะ พวกเธอได้บอกไปไหมว่าเท่าไหร่?”

“ฉันไม่ได้พูดเลยค่ะ” ซูตานหงตอบ

“เราจะพูดแบบนั้นได้อย่างไรล่ะครับแม่” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยอย่างจนใจ

“งั้นก็ดีแล้ว” คุณแม่จี้บอก ถ้าเกิดบอกราคาไปล่ะก็สิ่งที่พวกเขาพูดไปคงไม่เป็นความจริงแล้วว่าคราวนี้สวนผลไม้ทำเงินได้เท่าไหร่?

“แม่จะไปกันท่าให้พวกเขาแยกย้ายกันก่อน พวกเขาจะได้ไม่มาหมายตาสวนผลไม้ของเรา” หลังจากคุณแม่จี้พูดแล้วนางก็ผละจากไป

เงินที่ซื้อรถต้องยกให้เป็นความชอบของตานหง จะได้กล่าวเลี่ยงได้ และไม่สะดุดตาเท่ากับการบอกว่าเป็นเงินจากสวนผลไม้ถูกไหมล่ะ?

คุณแม่จี้จึงออกไปบอกว่ารถคันนี้ซื้อมาด้วยเงินจำนวนมาก แต่ตานหงเองก็ช่วยออกให้เยอะมากเช่นกัน การจะซื้อรถคันนี้ได้ ทำให้เธอต้องปักผ้าทั้งวันทั้งคืน พวกคุณเห็นไหมว่าช่วงนี้เธอไม่ค่อยได้ออกไปไหน? ก็เพราะเธอนั่งปักผ้าหาเงินมาซื้อรถอยู่อย่างไรล่ะ!

สวนผลไม้ทำเงินได้ก็จริง แต่ก็ต้องรู้ด้วยว่าผลไม้ขายได้เงินแค่ไหน ถ้าจะหวังพึ่งเงินจากการขายผลไม้อย่างเดียวก็ฝันไปเถอะว่าจะซื้อรถได้

…………………………………………