ตอนที่ 112 คำเชิญจากคุณลุง

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 112 คำเชิญจากคุณลุง

ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าคำพูดของคุณแม่จี้มีประสิทธิภาพเพียงใด เพราะในตอนแรกทุกคนต่างคิดว่าเงินที่จี้เจี้ยนอวิ๋นใช้ซื้อรถนั้นต้องมาจากการที่เขาขายผลไม้ได้เงินเป็นจำนวนมากในครั้งนี้แน่ เขาจึงมีเงินมากพอที่จะซื้อรถได้

แต่เมื่อได้ยินคำอธิบายของคุณแม่จี้แล้ว ทุกคนก็พากันเห็นด้วย เหตุผลนั้นง่ายนิดเดียว ผลไม้แค่ชั่งเดียวมีราคาไม่เท่าไรหรอก ต่อให้มีปริมาณมหาศาลก็ตาม เมื่อคิดตามคำพูดของคุณแม่จี้แล้วก็จะพบว่าที่ผลไม้มากขนาดนั้นขายหมดเร็วก็เพราะว่ามันมีราคาถูก ไม่อย่างนั้นจะเป็นเพราะอะไรได้?

พวกเขาไม่มีร้านที่จะเก็บรักษา และต้องขายให้หมดภายในวันนั้น ถ้าไม่ขายออกไปแล้วจะทำอย่างไร? ผลไม้ปริมาณมากขนาดนั้นจะรอช้าไม่ยอมขายไม่ได้หรอก

ผลก็คือต้องขายออกไปในราคาที่ถูกลง

ดังนั้นเมื่อได้ฟังเหตุผลนี้แล้ว ทุกคนก็คิดใคร่ครวญอยู่ในใจ และพบว่าช่วงนี้ซูตานหงไม่ค่อยได้ออกจากบ้านจริง ๆ แม้จะแค่ออกไปเยือนบ้านหลักตระกูลจี้ด้วยสีหน้าที่ดูดีก็ตาม แต่ด้วยสภาพคนที่ดูอวบอ้วนขึ้น พวกเขาก็รู้แน่ชัดว่าซูตานหงจะต้องหาเงินได้

งานปักผ้าชิ้นหนึ่งสามารถขายได้เงินถึง 100 หยวน การไม่ได้ออกไปไหนมาไหนตลอดหลายเดือนนี้ ก็แสดงว่าเธอจะต้องปักผ้าได้เป็นสิบ ๆ ชิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วถึงจะสามารถหาเงินได้ครบ 1,000 หยวน

ด้วยเงินจำนวนนี้รวมกับเงินที่ได้จากการขายผลไม้บางส่วน มันก็เพียงพอที่จะซื้อรถได้คันหนึ่งแล้ว

แต่ตอนนี้ครอบครัวนี้ก็ได้ใช้เงินไปหมดแล้ว แถมยังต้องจ่ายค่าจ้างให้จี้หงจวินกับสวี่อ้ายตั๋งเป็นจำนวนไม่น้อยอีก

ดังนั้นหลังจากที่คุณแม่จี้ประกาศออกไปแบบนั้นแล้ว ผู้คนก็หายอิจฉาในเรื่องที่จี้เจี้ยนอวิ๋นซื้อรถในทันที

ถึงอย่างนั้นก็ยังมีหญิงชราคนหนึ่งมาหาคุณแม่จี้

คนที่มาหาคุณแม่จี้เป็นป้าสะใภ้ของจี้เจี้ยนอวิ๋นหรือภรรยาของคุณลุงที่เป็นญาติกันนั่นเอง ซึ่งครอบครัวนี้ก็เช่าภูเขาปลูกผลไม้ไว้เหมือนกัน แต่ในปีนี้ก็บอกได้ว่าไม่มีผลผลิตใด ๆ ออกมาเลย

“แม่เจี้ยนอวิ๋น ฉันจะถามอย่างไม่เกรงใจแล้วนะจ๊ะ ทั้งสองตระกูลต่างก็มีพ่อแม่เดียวกัน คุณจะให้คำแนะนำกับฉันได้ไหมคะว่าทำไมสวนผลไม้ของคุณถึงเจริญงอกงามดีนัก?” คุณป้าหลี่เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา

คุณแม่จี้ถึงกับหัวเราะเหอะ ๆ ความจริงแล้วนางกับป้าสะใภ้คนนี้มีความสัมพันธ์ราบเรียบยิ่งนัก อาจกล่าวได้ว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ดีนักก็ยังได้ ซึ่งถึงจะบาดหมางกันน้อยลงเนื่องจากผ่านเวลาอันยาวนานมาแล้ว แต่คุณแม่จี้ก็ไม่รู้สึกประทับใจอย่างมากกับนางอยู่ดี

“เธออยากจะให้ฉันพูดอะไรล่ะ? ฉันไม่เข้าใจ ฉันเองก็เคยลงทุนลงแรงกับพ่อเจี้ยนอวิ๋นมาหลายปีเหมือนกัน แต่มันก็ไม่ดีขึ้น ในตอนนั้นเธอยังหัวเราะเยาะฉันเลยไม่ใช่เหรอ” คุณแม่จี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ตลกหรือเปล่า? ในตอนนั้นความล้มเหลวในการปลูกพืชบนพื้นที่หลังภูเขานับว่าเป็นเรื่องใหญ่ แล้วยายป้าคนนี้ก็หัวเราะเยาะนางทั้งต่อหน้าและลับหลัง แต่พอตอนนี้มาเห็นว่าสวนผลไม้ของลูกชายนางเจริญงอกงามดีแล้วกลับจะมาขอเคล็ดลับเสียอย่างนั้น ช่างไร้ค่าสิ้นดี!

คุณป้าหลี่ได้ฟังก็ถึงกับหน้าเขียวสลับขาว นางเองก็รู้ว่าตนเป็นที่ไม่พอใจของอีกฝ่าย จึงเอ่ยขึ้น “เราก็คนบ้านเดียวกันนะ แล้วนั่นมันก็ผ่านมานานเท่าไหร่แล้ว ฉันรู้ตัวว่าทำเกินไป แต่ไม่ใช่ว่าสิ่งต่าง ๆ ในตอนนี้ดีขึ้นแล้วเหรอ?”

ฉันลุกขึ้นมาได้ก็เพราะลูกชายกับลูกสะใภ้ของฉันเถอะย่ะ ถ้าฉันลุกไม่ขึ้น เธอก็คงไม่พ้นที่จะหัวเราะเยาะฉันอยู่ต่อไปสินะ!…คุณแม่จี้คิดกับตัวเอง

แต่เพื่อเห็นแก่ญาติพี่น้อง คุณแม่จี้ก็ตอบกลับ “เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันจะเก็บคำพูดเธอไปถามเจี้ยนอวิ๋นให้แล้วกันนะ”

“ได้สิ บอกเจี้ยนอวิ๋นด้วยนะว่าลุงของเขาเชิญไปกินมื้อค่ำวันนี้ แล้วก็ขอให้เขามาร่วมดื่มกับลุงของเขาตอนหกโมงเย็นด้วยนะจ๊ะ” คุณป้าหลี่บอก

เมื่อคุณแม่จี้กลับมาถึง นางก็บอกจี้เจี้ยนอวิ๋น “เป็นเพราะแกแท้ ๆ เลยเจี้ยนอวิ๋น พอสวนผลไม้แกงอกงามดี ก็มีแต่คนอยากจะทำตามแกกันหมด”

แม้จะรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ แต่คุณแม่จี้ก็รู้สึกสลดใจมาก เพราะเรื่องนี้มันง่ายนิดเดียว หากทั้งหมู่บ้านมีสวนผลไม้เหมือนกันหมด สวนของเจี้ยนอวิ๋นก็จะไร้ความหมาย เมื่อถึงเวลานั้นที่อื่น ๆ ก็จะมาเรียนรู้ตาม ถ้ามีผลไม้ออกมามากขึ้นแล้วพวกเขาจะขายได้อย่างไร?

“แม่อย่าห่วงเลยครับ ผมรู้ว่าต่อให้พวกเขาได้เคล็ดลับไปมันก็ทำไม่ได้ง่าย ๆ หรอก เพราะหมู่บ้านของเราไม่เหมาะที่จะปลูกผลไม้มาแต่แรกแล้ว” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูด

สวนผลไม้ของครอบครัวเขาเจริญงอกงามได้ก็เพราะว่าโชคดี เป็นเพราะภรรยาของเขาคนเดียว คนอื่น ๆ หรืออย่าแม้แต่จะคิดเลย

คุณแม่จี้เองก็นึกขึ้นได้ สีหน้าของนางจึงกลับมาดูดีขึ้นเล็กน้อย “ดีแล้วล่ะ แกก็มีน้ำใจกับพวกเขาหน่อยก็แล้วกัน ถ้าพวกเขาอยากได้ปุ๋ยได้น้ำที่บ้านก็แบ่งไปให้พวกเขาสักหน่อย จะได้ลดเสียงบ่นจากพวกเขาลงได้บ้าง จากนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาดูแลสวนของตัวเองไป แกยังต้องคอยดูคนอื่นอยู่นะ”

หลังจากนั้นคุณแม่จี้ก็ขึ้นไปบนภูเขา

ตอนนี้คุณแม่จี้มีพลังใจที่แข็งแกร่งแล้ว ขณะเดียวกันญาติคนอื่น ๆ ก็เริ่มมีไมตรีให้เล็กน้อย ส่วนคนอื่น ๆ ต้องการให้นางก้มหัวลงหรือจะพูดง่าย ๆ ก็คือยอมอ่อนข้อให้ผลประโยชน์แก่พวกเขาบ้างเสียหน่อย แต่อย่าคิดมากเลย ตอนนี้นางหาเงินได้เองและแบ่งกันกับตานหงแล้ว ซึ่งปีนี้นางมีเงินเก็บมากถึง 200 หยวนเลยทีเดียว!

แล้วในอนาคตก็จะได้เงินเพิ่มขึ้นอีก ทีนี้นางจำเป็นจะต้องไว้หน้าคนอื่นด้วยเหรอ?

มีแต่คนอื่นจะต้องไว้หน้านางเท่านั้นแหละ

อย่างไรเสียมันก็เป็นสิ่งที่ลูกชายของนางต้องสู้

หลังคุณแม่จี้ออกไปแล้ว ซูตานหงก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “คุณจะทำอย่างไรต่อไปดีคะ?”

“ผมคิดว่าพวกเขาคงต้องการมูลแกะกับไก่บนภูเขาจริง ๆ งั้นก็ให้พวกเขามาเก็บไปเถอะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก “อืม คราวที่แล้วป้าสะใภ้ของผมเห็นจี้หงจวินมาตักน้ำไป หล่อนก็เลยถามว่าจะขอใช้น้ำในสวนหลังบ้านเราได้ไหม ซึ่งผมก็คิดว่าพวกเขาน่าจะมาตักน้ำไปด้วย”

“ค่ะ” ซูตานหงยิ้ม

จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้มเช่นกันเมื่อเห็นเธอเป็นแบบนี้ ภรรยาของเขาเข้าใจสิ่งที่เขากำลังจะบอกแล้ว

“แต่ถ้าเราให้ทั้งหมดนี้ไปแล้วพวกเขายังปลูกไม่ขึ้นอีกล่ะคะ?” ซูตานหงถาม

“ไม่มีทางหรอก ผมกะว่าจะขยายเล้าไก่ให้ใหญ่ขึ้นอีกหน่อยน่ะ บนภูเขายังขาดแรงงานอยู่บ้าง ถ้าเป็นอย่างนั้นผมจะเรียกญาติคนรองของผมมาช่วย เขาทำงานได้นะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นตอบอย่างวางแผนไปถึงอนาคตแล้ว

ญาติคนรองของเขาคนนี้ได้ไปเรียนรู้การจัดการสวนผลไม้กับเหล่าฉินพร้อมกับเขามาแล้วเหมือนกัน ซึ่งทางนั้นยังมีญาติสาม และเหนือเขาขึ้นไปก็เป็นญาติคนโต แต่ญาติสามนี้เขาจะไม่พาไปด้วย เพราะเขาเป็นคนโง่ ซึ่งเขาคิดว่าญาติคนรองนั้นดีที่สุดแล้ว เพราะตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือญาติรองนี้ไม่ใช่เด็กแล้ว เขามีอายุได้ 40 ปี ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาไม่ได้มีการวางแผนครอบครัวและมีลูกทั้งหมด 4 คนจนครอบครัวประสบหนี้สินล้นพ้น และต้องแยกกันอยู่ตั้งแต่ยังหนุ่มสาว เขาผู้เป็นเสาหลักของครอบครัวจึงไม่อาจไม่ขยันได้

ภรรยาของญาติคนรองนี้เป็นคนตรงไปตรงมา เรื่องการทำงานก็ถือว่าดีไม่น้อย คราวที่แล้วที่ไปเก็บผลไม้ คุณแม่จี้ยังเรียกหล่อนไปช่วยเลย

ซูตานหงพยักหน้าเมื่อเห็นว่าเขาพร้อมแล้ว เธอยังอยากได้ภูเขาของพวกเขามาทำเป็นสวนของตนเองอยู่ แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดถึงเลย สวนของเธอไม่ได้เล็กพอที่จะจัดการเองไหวหรอก

ในเย็นนั้นเอง จี้เจี้ยนอวิ๋นก็นำอาหารมาด้วย และยังคงเป็นอาหารหนัก เพราะภรรยาของเขาได้ทำไส้หมูทอด เขาที่อยากกินจึงซื้อมาล้างด้วยตัวเองจนหมดกลิ่นก่อนจะให้เธอทอด ไม่อย่างนั้นภรรยาของเขาคงจะไม่ทนดมกลิ่นของมันหรอก

“เจี้ยนอวิ๋น เธอนี่ช่างมีน้ำใจจริง ๆ มาถึงทั้งทีก็เอาไส้หมูทอดจานใหญ่มาด้วย” คุณลุงจี้หัวเราะอย่างมีความสุข

คุณป้าหลี่เห็นแล้วก็ยิ้ม “ทำไมพูดแบบนั้นกับเจี้ยนอวิ๋นล่ะคะ? เจี้ยนอวิ๋นเองก็คิดถึงคุณเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นเขาจะเอากับแกล้มจานใหญ่ขนาดนี้มาร่วมดื่มกับคุณเหรอคะ?”

จี้เจี้ยนชวนผู้เป็นญาติคนรองกับญาติอีกสามคนของเขาก็อยู่ที่นั่น จี้เจี้ยนชวนนั้นไม่เอ่ยอะไร แต่จี้เจี้ยนเหอผู้เป็นญาติสามมองเห็นไส้หมูทอดจานใหญ่แล้วดวงตาของเขาก็เป็นประกาย

จี้เจี้ยนชวนแยกตัวออกไปแล้ว เหลือแต่จี้เจี้ยนเหอที่ยังไม่แยกบ้าน เขาเพิ่งจะแต่งสะใภ้ได้ อีกอย่างคุณป้าหลี่ก็รักเขามาก ดังนั้นเขาจึงไม่แยกตัวออกมา

“พี่เจี้ยนอวิ๋น พี่ช่างน่าสนใจจริง ๆ ผมชอบไส้หมูทอดนี่จริง ๆ เลย”

จี้เจี้ยนเหอเอ่ย เขาหยิบไส้หมูทอดชิ้นใหญ่ส่งเข้าปากและรู้สึกพึงพอใจในทันที ชีวิตก็เป็นแบบนี้ล่ะ คนที่เป็นสามียังจะต้องการอะไรอีก?

……………………………………………