ตอนที่ 115 ท่านบรรพจารย์เย่กำลังหลอมยอดสมบัติ

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 115 ท่านบรรพจารย์เย่กำลังหลอมยอดสมบัติ

สวีฉิงเทียนมุมปากกระตุกทันทีที่ได้ยิน ก่อนจะถลึงตาใส่นักพรตฉางเสวียนด้วยความขุ่นเคือง

หนานกงเสวียนจีเป็นใคร ?

นั่นคือเทพหมากแห่งยุคเชียวนะ

ต่อหน้าหนานกงเสวียนจี เขาก็เป็นเพียงผู้น้อยคนหนึ่งเท่านั้น

บัดนี้เขาต้องการจะไปคารวะผู้อาวุโสท่านอื่น แต่กลับวิ่งไปขอยืมของขวัญจากหนานกงเสวียนจี

จะให้เขาเอ่ยปากขอได้เยี่ยงไรกัน ?

อีกทั้งต่อให้เขาหน้าหนาเพียงใดก็คงมิอาจเอ่ยปากได้ และมิกล้าเอ่ยปากอย่างแน่นอน

ตอนนั้นเองเหมือนว่านักพรตฉางเสวียนจะเข้าใจความคิดของสวีฉิงเทียน จึงลูบที่หนวดของตนเองและกล่าวว่า “พี่สวี อย่าได้มองข้าด้วยสายตาเช่นนี้ ข้าเพียงแค่หยอกท่านเล่นเท่านั้น”

สวีฉิงเทียนได้ยินดังนั้น ก็กวาดตามองนักพรตฉางเสวียนด้วยสีหน้าเย็นชา และเอ่ยถามเสียงเรียบ “เช่นนั้นเจ้าพูดมาสิว่าไปคารวะท่านบรรพบุรุษเย่ของพวกเจ้า ข้าควรนำของขวัญเช่นไรไปดี ? ”

“พี่สวี มิต้องกังวล ความจริงแล้วข้าได้เตรียมเอาไว้ให้ท่านเรียบร้อยแล้ว”

นักพรตฉางเสวียนเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มมีเลศนัย

“เจ้าเตรียมเอาไว้แล้วงั้นหรือ ? ”

สวีฉิงเทียนมีสีหน้าเปลี่ยนไป ขณะจ้องมองนักพรตฉางเสวียนด้วยแววตาเหลือเชื่อ

นักพรตฉางเสวียนพยักหน้ารับ ก่อนจะเพ่งสมาธิ ในมือพลันปรากฏกล่องผ้าไหมกล่องหนึ่งขึ้น

“พี่สวี นี่ก็คือของขวัญที่ข้าเตรียมเอาไว้ให้ท่าน”

นักพรตฉางเสวียนเอ่ยพร้อมส่งกล่องผ้าไหมไปตรงหน้าของสวีฉิงเทียน

สวีฉิงเทียนเหลือบมองกล่องผ้าไหมเล็กน้อย อดมิได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นพลางรู้สึกว่าทั้งหมดนี้มีบางอย่างแปลก ๆ

เหอฉางเสวียนใจดีเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?

ความจริงแล้วหากมิใช่เพราะเขารั้นที่จะอยู่ที่เขาไท่เสวียน

เมื่อวานนี้คงถูกเหอฉางเสวียนรวมทั้งเหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเกลี้ยกล่อมจนยอมกลับไปแล้ว

แต่บัดนี้เหอฉางเสวียนกลับเตรียมของขวัญเอาไว้ให้เขาแล้วเยี่ยงนั้นหรือ

แล้วจะมิให้เขาสงสัยได้อย่างไร ?

สวีฉิงเทียนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือออกไปหยิบกล่องผ้าไหมจากมือของนักพรตฉางเสวียนอย่างมิเกรงใจ

เขามองใบหน้าที่แฝงรอยยิ้มเรียบ ๆ ของนักพรตฉางเสวียนครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดกล่องออกด้วยความระมัดระวัง

หลังกล่องผ้าไหมถูกเปิดออก แท่งหมึกสีดำเหลือบม่วงแท่นหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตา

ขณะเดียวกันก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจาง ๆ

“เหอฉางเสวียน นี่เจ้าล้อข้าเล่นงั้นหรือ ? ”

สวีฉิงเทียนมีสีหน้าเย็นชาในพริบตา พร้อมกับจับจ้องไปยังนักพรตฉางเสวียนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ

ใบหน้านักพรตฉางเสวียนยังคงเรียบนิ่ง ก่อนยกยิ้มอย่างมั่นใจ “พี่สวี ท่านพูดอะไรเช่นนั้นเล่า ? ”

“เจ้าเห็นข้าตาบอดหรือไง ? ”

สวีฉิงเทียนเอ่ยเสียงเข้ม “นี่เป็นเพียงแท่งหมึกดูมีอายุแท่งหนึ่งเท่านั้น เจ้าจะให้ข้าเอาของธรรมดาเช่นนี้ไปเป็นของขวัญพบหน้าท่านบรรพจารย์เย่ของพวกเจ้า ถึงตอนนั้นท่านบรรพจารย์เย่จะมองข้าเช่นไร ? ”

นักพรตฉางเสวียนยังคงยิ้มเรียบ ๆ โบกมือไปมาเบา ๆ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พี่สวี ท่านบรรพจารย์เย่ของพวกเราเป็นคนเช่นไร คิดว่าบัดนี้ท่านคงพอจะรู้มาบ้างแล้วใช่หรือไม่ ? ”

สวีฉิงเทียน “……”

“ข้าคิดว่ายอดฝีมือเช่นท่านบรรพจารย์เย่นั้น อย่าว่าแต่สมบัติโบราณชิ้นหนึ่งเลย ต่อให้อาวุธเซียนอยู่ตรงหน้าก็มิได้อยู่ในสายตาของเขาอยู่ดี”

นักพรตฉางเสวียนเอ่ยต่ออย่างมั่นใจ “และเท่าที่ข้ารู้ ท่านบรรพจารย์เย่เร้นกายอยู่ที่เมืองเสี่ยวฉือ ปกติแล้วเขาชอบฝึกเขียนอักษรพู่กัน หรือไม่ก็วาดภาพ”

“อีกทั้งแท่งหมึกในมือท่านแท่งนี้ ข้าได้ให้คนไปซื้อมาจากเมืองหลวงของแคว้นต้าเยี่ยนโดยเฉพาะเชียวนะ ว่ากันว่ามีต้นกำเนิดมาจากดินแดนลึกลับเก่าแก่แห่งหนึ่ง หากมิใช่เพราะคำสัญญาก่อนหน้านี้ ข้าจะเป็นคนมอบของสิ่งนี้ให้ท่านบรรพจารย์เย่ด้วยตัวเองอย่างแน่นอน”

นักพรตฉางเสวียนเอ่ยถึงตรงนี้ก็ประสานมือคารวะไปทางเมืองเสี่ยวฉือ ท่าทางเต็มไปด้วยความนอบน้อม

สวีฉิงเทียนได้ยินเช่นนั้นก็อดมิได้ที่จะนิ่งเงียบไป

คำพูดของเหอฉางเสวียนมิได้ไร้เหตุผล

ยอดฝีมือเช่นนั้นจะขาดแคลนสมบัติโบราณเยี่ยงนั้นหรือ ?

ขอเพียงตั้งใจพอ อีกฝ่ายย่อมรับรู้ได้อย่างแน่นอน

สวีฉิงเทียนคิดได้ดังนั้นก็มีท่าทีอ่อนลง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มขึ้น และเอ่ยกับนักพรตฉางเสวียนว่า “พี่เหอ เรื่องนี้เป็นข้าเองที่คิดมิรอบคอบ”

นักพรตฉางเสวียนพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง “พี่สวี แม้ท่านและข้าจะเป็นมิตรต่อกันมานาน แต่คำโบราณว่าเอาไว้พี่น้องกันเรื่องเงินทองต้องพูดให้ชัดเจน แท่งหมึกแท่งนี้ข้าซื้อมาด้วยสองล้านศิลาวิญญาณ เช่นนั้นคงต้องรบกวนท่านจ่ายคืนให้ข้าด้วย”

สองล้านศิลาวิญญาณเชียวหรือ ?

แท่งหมึกแท่งหนึ่งราคาสองล้านศิลาวิญญาณ !

ตาเฒ่าผู้นี้ละโมบยิ่งนัก !

สวีฉิงเทียนได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าเขียวคล้ำขึ้นมาอีกครั้ง มุมปากกระตุกเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “สูงสุดห้าแสนศิลาวิญญาณ”

นักพรตฉางเสวียนพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “เอาล่ะ ในเมื่อพี่สวีเอ่ยเช่นนี้ ข้าก็จะถอยให้ท่านหนึ่งก้าว ห้าแสนก็ห้าแสน”

สวีฉิงเทียนปรายตามองนักพรตฉางเสวียน แล้วถามต่อว่า “เช่นนั้นเราจะไปคารวะท่านบรรพจารย์เย่ที่เมืองเสี่ยวฉือเมื่อใดงั้นหรือ ? ”

“ผู้อาวุโสหนานกงพึ่งจะเข้าญาน เช่นนั้นมิสู้พวกเราไปกันวันนี้เลยจะดีหรือไม่”

นักพรตฉางเสวียนยังคงเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “เดินทางเดี๋ยวนี้เถิด”

“จริงหรือ ? ”

สวีฉิงเทียนถามขึ้นมาอย่างมิอยากจะเชื่อ

นักพรตฉางเสวียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เดี๋ยวนี้เลย”

สิ้นเสียง นักพรตฉางเสวียนก็แปลงกายเป็นลำแสงทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า

สวีฉิงเทียนเห็นดังนั้นดวงตาก็เปล่งประกายขึ้น ท่าทางสับสนเล็กน้อย

แต่เพียงมินาน เขาก็ได้แปลงกายเป็นลำแสงตามนักพรตฉางเสวียนไปติด ๆ

เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งก้านธูป

ขณะที่อยู่ห่างจากเมืองเสี่ยวฉืออีกราวสองถึงสามลี้

นักพรตฉางเสวียนและเจ้าสำนักจื่อชิงสวีฉิงเทียนเหมือนกับรับรู้ถึงบางอย่าง จึงหยุดการเคลื่อนไหวลงกระทันหัน

ขณะเดียวกันทั้งคู่ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปในพริบตา

“พี่สวี ท่านก็สัมผัสได้ใช่หรือไม่ ? ”

นักพรตฉางเสวียนหันไปเอ่ยกับสวีฉิงเทียนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

สวีฉิงเทียนขมวดคิ้วมุ่น พร้อมกับตอบว่า “ใช่ น่าจะเป็นวาสนา”

“นับแต่บรรพกาล วาสนาเป็นสิ่งที่ลึกลับที่สุด”

นักพรตฉางเสวียนลูบหนวดอย่างครุ่นคิด “ท่านบรรพจารย์เย่ ก่อนหน้านี้เคยมอบวาสนานับอนันต์ให้แก่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน มาบัดนี้ก็ยังมีวาสนามากมายเช่นนี้ปกคลุมเมืองเสี่ยวฉืออีก”

“ข้าสงสัยยิ่งนักว่าท่านบรรพจารย์เย่แท้จริงแล้วมีตบะบารมีแก่กล้าเพียงใดกันแน่ จึงสามารถใช้สิ่งที่ลึกลับที่สุดในโลกเช่นวาสนาได้ตามใจชอบ……”

ในตอนนั้นเองสวีฉิงเทียนเหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางอย่างอีกครั้ง พลันสีหน้าก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง “พี่เหอ วาสนาที่ปกคลุมเมืองเสี่ยวฉือเหมือนกำลังหายไป”

“ข้าก็สัมผัสได้เช่นกัน”

นักพรตฉางเสวียนเอ่ยขึ้นอย่างตื่นตระหนก “มิเพียงเท่านั้น ยังหายไปอย่างรวดเร็วอีกด้วย”

สวีฉิงเทียนขมวดคิ้วแน่น “หรือว่าท่านบรรพจารย์เย่ของพวกท่านกำลังกลั่นยอดสมบัติบางอย่างอยู่งั้นหรือ ? ”

“เป็นไปได้ ! ”

นักพรตฉางเสวียนเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ไม่สิ แต่เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน”

สวีฉิงเทียนเอ่ยอย่างหวาดกลัว “พี่เหอ หากท่านบรรพจารย์เย่หลอมยอดสมบัติอยู่ เช่นนั้นวันนี้ก็คงมิสะดวกที่พวกเราจะเข้าไปคารวะแล้วสิ ? ”

ได้ยินดังนั้นแม้แต่นักพรตฉางเสวียนก็ยังอดมิได้ที่จะรู้สึกลังเลขึ้นมา