ตอนที่ 116 อยู่ที่เมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่าเมืองเสี่ยวฉือ

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 116 อยู่ที่เมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่าเมืองเสี่ยวฉือ

ความจริงแล้วในใจของนักพรตฉางเสวียน มิได้อยากพาเจ้าสำนักชิงจื่อสวีฉิงเทียนผู้นี้ไปคารวะท่านบรรพจารย์เย่แต่อย่างใด

ประการแรก แม้แท่งหมึกสีดำม่วงแท่งนี้จะมิได้มีมูลค่าเทียบเท่ากับสมบัติโบราณ

ทว่าสำหรับยอดฝีมือเช่นท่านบรรพจารย์เย่แล้ว สมบัติโบราณกับของธรรดาเหล่านั้นจะมีสิ่งใดต่างกันเล่า

เช่นนั้นนักพรตฉางเสวียนคิดว่า มิว่าจะเป็นพู่กันโบราณที่สวีฉิงเทียนเสียเดิมพันให้แก่เขา หรือจะเป็นแท่งหมึกสีดำม่วงสองสิ่งนี้ล้วนแต่สำคัญด้วยกันทั้งคู่

ล้วนแต่เป็นของขวัญที่เดิมทีเขาต้องการมอบให้กับท่านบรรพจารย์เย่อยู่แล้ว

บัดนี้กลับต้องแบ่งให้สวีฉิงเทียนไปหนึ่งชิ้น

ภายในใจย่อมรู้สึกมิพอใจอยู่บ้าง

อีกประการหนึ่ง ท่านบรรพจารย์เย่เร้นกายอยู่ที่เมืองเสี่ยวฉือ

เขาเพิ่งจะมาคารวะไปเมื่อมินานมานี้

บัดนี้กลับพาตาเฒ่าสวีฉิงเทียนไปคารวะอีก

หากท่านบรรพจารย์เย่เกิดมิพอใจขึ้นมา เช่นนั้นมิเพียงแค่เขาที่จะได้รับความสูญเสีย แต่ทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเองก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย

แต่ที่เขาคาดมิถึงก็คือ

วันนี้ท่านบรรพจารย์เย่บังเอิญหลอมยอดสมบัติอยู่พอดี

เช่นนั้นเขาจึงมีข้ออ้างให้สวีฉิงเทียนตัดใจได้พอดี

นักพรตฉางเสวียนคิดได้ดังนั้นจึงเหลือบตามองสวีฉิงเทียนอย่างมิมีพิรุธ ก่อนส่ายหน้าเบา ๆ พลางถอนหายใจ “พี่สวี คราก่อนก็ทีหนึ่งแล้ว มาครั้งนี้อีก ดูเหมือนโชคชะตาจะทำให้ท่านมิอาจพบหน้าท่านบรรพจารย์เย่ได้ ! ”

สวีฉิงเทียนได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่มิได้โต้แย้งแต่อย่างใด

เขานั้นบำเพ็ญเพียรมาหลายพันปี

มีตบะบารมีเช่นทุกวันนี้ได้ เขาย่อมเข้าใจในสิ่งที่มีเหมือนมิมีเช่นนี้ได้

อาทิ วาสนาของคน ของเผ่าพันธุ์ รวมทั้งวาสนาของแคว้นโบราณ

สิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาก็มีเหตุผลเดียวกัน

แม้มันจะเป็นสิ่งที่เลือนราง แต่กลับมีอยู่จริง

คราก่อนเป็นเพราะหนานกงเสวียนจีขวางเอาไว้ ครานี้ก็เป็นเรื่องบังเอิญที่ท่านยอดฝีมือกำลังหลอมยอดสมบัติอยู่พอดี

กล่าวกันว่าเรื่องเดิมมิควรผิดพลาดเกินสามครา

‘นี่ก็คงเป็นโชคชะตาอย่างหนึ่งสินะ ! ’

‘หรือว่านี่จะเป็นโชคชะตาของข้าจริง ๆ ? ’

‘หรือเป็นเพราะว่าชิงเสวี่ยได้รับวาสนาจากยอดฝีมือท่านนี้แล้ว เช่นนั้นข้าจึงมิอาจสมปรารถนาได้อีก ? ’

‘มิเป็นไร เยี่ยงไรเสียชิงเสวี่ยก็เป็นผู้สืบทอดหญิงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง นางได้รับวาสนาเช่นนั้น ข้าก็ควรจะพอใจแล้ว’

สวีฉิงเทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลอบทอดถอนใจออกมา แต่มินานก็ปล่อยวางได้

จากนั้นเขาจึงเพ่งสมาธิหยิบกล่องผ้าไหมที่มีแท่งหมึกอยู่ภายในออกมา ส่งไปตรงหน้าของนักพรตฉางเสวียน

“พี่เหอ ในเมื่อนี่เป็นโชคชะตาของข้า ท่านได้โปรดรับแท่งหมึกชิ้นนี้คืนไปเถิด”

สวีฉิงเทียนเอ่ยกับนักพรตฉางเสวียนอย่างจนใจ

นักพรตฉางเสวียนอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พี่สวี เช่นนั้นเรื่องเกี่ยวกับอาวุธเทพจำแลงชิ้นนั้น ? ”

สวีฉิงเทียนโบกมือไปมา มิได้ตอบคำถาม “ข้าจะกลับไปก่อน ส่วนอาวุธเทพจำแลงชิ้นนั้น รอข้ากลับไปแล้วจะอธิบายให้พวกเขาฟังเอง”

สิ้นเสียงกล่องผ้าไหมกล่องนั้นก็ลอยอยู่กลางอากาศ

ส่วนสวีฉิงเทียนตอนนี้ได้แปลงกายเป็นลำแสงพุ่งไปยังท้องนภาเสียแล้ว

นักพรตฉางเสวียนเห็นดังนั้นก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง

แต่เพียงพริบตาใบหน้าก็ปรากฏความพึงพอใจขึ้นมาทันที

“ตาเฒ่าผู้นี้มิเห็นโลงศพมิหลั่งน้ำตาจริง ๆ เมื่อวานข้าพูดจนปากเปียกปากแฉะ มิว่าเยี่ยงไรก็มิยอมกลับ”

นักพรตฉางเสวียนเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะทอดสายตามองไปยังเมืองเสี่ยวฉือ พลางเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “แต่ว่านี่อาจจะเป็นโชคชะตาจริง ๆ ก็ได้ มิเช่นนั้นตาเฒ่านี่คงมิเจอกับอุปสรรคถึงสองครั้งสองคราเช่นนี้กระมัง”

นักพรตฉางเสวียนเหม่อมองอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาเกือบหนึ่งก้านธูป

แต่ระหว่างที่เขากำลังเตรียมจะหมุนตัวจากไปนั้น

จู่ ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างอีก

“วาสนาที่ปกคลุมเมืองเสี่ยวฉือหายไปแล้ว หรือว่าท่านบรรพจารย์เย่จะหลอมยอดสมบัติสำเร็จแล้วงั้นหรือ ? ”

นักพรตฉางเสวียนชั่งใจเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาจะมีประกายบางอย่างแวบผ่าน

เวลานี้เขาพกพู่กันโบราณด้ามนั้นติดตัวมาด้วย อีกทั้งยังมีแท่งหมึกเมื่อครู่อีกหนึ่งชิ้น

เมื่อครู่ท่านบรรพจารย์เย่พึ่งจะหลอมยอดสมบัติสำเร็จ เวลานี้คงจะอารมณ์ดีมากเป็นแน่

เข้าไปพบตอนนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีอย่างหาที่เปรียบมิได้อีกแล้ว

นักพรตฉางเสวียนรู้ดีว่าการหลอมยอดสมบัติ จะต้องใช้พลังทั้งในด้านจิตวิญญาณและพลังเวทย์อย่างมาก

แม้เขาจะมิรู้ว่าท่านบรรพจารย์เย่มีตบะบารมีแก่กล้าเพียงใด แต่เขาคิดว่าท่านบรรพจารย์เย่คงต้องใช้พลังไปมิมากก็น้อย

เช่นนั้นเขาจึงมิได้เร่งรีบเข้าไปในเมืองเสี่ยวฉือในทันที

เพียงแค่เปลี่ยนมาเป็นเดินเอามือไพล่หลังราวกับผู้เฒ่าธรรมดาคนหนึ่ง เดินไปบนภูเขารกร้างอย่างมิรีบร้อนใด ๆ

…………………………….

อีกด้านหนึ่ง หลังสวีฉิงเทียนเอ่ยลานักพรตฉางเสวียนแล้ว

ก็มิได้กลับไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงแต่อย่างใด

แม้จะมิได้พบท่านบรรพจารย์เย่แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน และเขาคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นโชคชะตาของเขา

แต่ส่วนลึกภายในใจของเขา ก็ยังอดที่จะรู้สึกหดหู่มิได้

สุดท้ายเขาจึงได้มาที่เมืองชิงเหอที่อยู่ใกล้เมืองเสี่ยวฉือที่สุดแทน

เมืองชิงเหอมีทิวทัศน์งดงาม ที่สำคัญที่สุดคืออาหารของที่นี่มีเอกลักษณ์เฉพาะที่หาทานที่ไหนมิได้

โดยเขาตัดสินใจว่าจะพักที่เมืองชิงเหอก่อนหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นค่อยกลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง

มิรู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด ขณะที่สวีฉิงเทียนนั่งอยู่ริมหน้าต่างชั้นสองของร้านสุราเพียงลำพัง

“หืม ? ”

จู่ ๆ เขาเหมือนสัมผัสได้ถึงไอพลังที่คุ้นเคยบางอย่าง จึงได้กวาดตามองไปยังถนนด้านล่างทันที

บนถนนด้านล่างปรากฏชายชราชุดเทาผู้หนึ่ง พร้อมกับสตรีผู้งดงามทว่าใบหน้าแฝงไว้ด้วยความเย็นชา

ส่วนด้านหลังของคนทั้งคู่ก็มีชายวัยกลางคนที่มีไอพลังอันแข็งแกร่งหลายคนติดตามมา แต่ละคนล้วนมีตบะบารมีที่มิธรรมดา

สวีฉิงเทียนขมวดคิ้วมุ่น พลางพึมพำว่า ‘เหตุใดไอพลังของคนผู้นี้จึงเหมือนกับผู้เป็นอมตะของแคว้นต้าเยี่ยนท่านนั้นได้ ? ’

ขณะนั้นเองราวกับว่าชายชราชุดเทาสัมผัสได้ถึงบางอย่าง จู่ ๆ จึงหยุดฝีเท้าลง

“ท่านบรรพบุรุษ ? ”

สตรีงดงามที่อยู่ด้านข้างชายชราชุดเทาขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย

มุมปากของชายชราชุดเทาหยักโค้งขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เหมือนจะพบคนรู้จัก”

สิ้นเสียงสวีฉิงเทียนที่อยู่ด้านบนของร้านสุราก็โบกมือไปมา พร้อมเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม “พี่เยี่ยน มิได้พบกันเสียนาน เชิญขึ้นมาดื่มด้วยกันสักจอกเถิด”

ชายชราชุดเทาผู้นั้นก็คือท่านบรรพบุรุษแห่งแคว้นต้าเยี่ยน

เยี่ยนเทียนซาน

ส่วนหญิงงามนางนั้น

ย่อมต้องเป็นองค์หญิงเก้าที่เดินทางผ่านเมืองชิงเหอคราก่อน

เยี่ยนปิงซิน

เพียงแต่เยี่ยนปิงซินเวลานี้ อาจเป็นเพราะภายในร่างกายมีรากปราณธาตุน้ำแข็งเพิ่มขึ้นมา

จึงทำให้บุคลิกท่าทางของนางเกิดจึงเปลี่ยนไปด้วย

“ในเมื่อพี่สวีเชื้อเชิญเช่นนี้ ข้าก็มิอาจปฏิเสธน้ำใจได้”

เยี่ยนเทียนซานตอบรับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพาเยี่ยนปิงซินเดินเข้าไปยังร้านสุรา

มินานสวีฉิงเทียนและเยี่ยนเทียนซานก็ได้นั่งลงตรงข้ามกัน

ส่วนเยี่ยนปิงซินนั้นยืนอยู่ทางด้านหลังของเยี่ยนเทียนซาน

“พี่สวี งานประลองระหว่างสองสำนักของพวกท่านจบลงแล้วงั้นหรือ ? ”

เยี่ยนเทียนซานเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

“จบลงตั้งแต่สองวันก่อนแล้วล่ะ”

สวีฉิงเทียนพยักหน้า พลางเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ข้าว่าง ๆ จึงตัดสินใจออกท่องเที่ยวเช่นคนทั่วไปดูน่ะ”

สวีฉิงเทียนเอ่ยถึงตรงนี้แล้วถามกลับว่า “ใช่แล้ว พี่เยี่ยนเมืองชิงเหอเป็นเขตชายแดนระหว่างแคว้นต้าเยี่ยนของพวกท่านกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน เหตุใดท่านจึงได้มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้เล่า ? ”

เยี่ยนเทียนซานยิ้มออกมา แววตามีประกายบางอย่างที่อ่านมิออกแวบผ่าน “ความจริงแล้วก่อนหน้านี้ ทายาทของข้าผู้นี้ได้พบกับปรมาจารย์ที่มีความแตกฉานในด้านอักษรพู่กันท่านหนึ่ง”

“ตัวข้าเองเก็บตัวบำเพ็ญเพียรมาหลายปี ก็ค่อย ๆ หลงใหลในอักษรพู่กัน เช่นนั้นจึงตั้งใจมาขอคำชี้แนะ”

“หืม ? ”

สวีฉิงเทียนมีสีหน้าประหลาดใจขึ้นมาทันที

เยี่ยนเทียนซานมีตบะบารมีเพียงใด เขาย่อมรู้ดีและสัมผัสได้

การที่สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับแดนเทวาให้ความสำคัญเพียงนี้ ทั้งยังมาพบด้วยตนเอง

ดูก็รู้ว่าปรมาจารย์ที่เยี่ยนเทียนซานเอ่ยถึง ย่อมมิใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน

สวีฉิงเทียนคิดถึงตรงนี้จึงเอ่ยถามขึ้นอีกว่า “พี่เยี่ยน หรือว่าปรมาจารย์ที่ท่านพูดถึงจะอยู่ที่เมืองชิงเหอ ? ”

เยี่ยนเทียนซานชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าและกล่าวว่า “มิได้อยู่ที่เมืองชิงเหอหรอก แต่อยู่ที่เมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่าเมืองเสี่ยวฉือน่ะ”