บทที่ 97 บรรดาชายงามแห่งหอซวีชิง

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

ภายในศิลารองรับฟ้า ผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังทำลายภาพมายาพลางฉวยโอกาสค้นหาของวิเศษถูกบังคับลากออกมาจากภาพมายาทีละคน พอออกมาจากภาพมายา สิ่งที่รอต้อนรับพวกเขาอยู่คือดาบประหารของผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่ สังหารหมู่ราวกับฝนโลหิตคาววายุจนโลหิตสดของผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานหลั่งไหลภายในทางเดินศิลาเป็นสายธาร ทุกแห่งหนล้วนน่าสังเวช

ภายในทางเดินศิลาอีกสาย มีคนสองคนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด หนึ่งในนั้นเห็นได้ชัดว่าตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ร่างกายได้รับบาดเจ็บ แขนสั่นสะท้านนิดๆ ส่วนคู่ต่อสู้ของเขา มือหมุนไผ่เขียวเบาๆ ดวงตาหรี่ลงมองบุรุษเบื้องหน้าที่ได้รับบาดเจ็บหนักอย่างสงบนิ่ง

“โม่อวี่จู๋ เจ้าเป็นคนของหอซวีชิง เหตุใดจึงลงมือต่อข้าอย่างอำมหิต พวกเราเป็นคนของโลกหนานซานเช่นเดียวกัน อีกทั้งตลอดมาหอซวีชิงของพวกเจ้าทุกคนถือคุณธรรม ไม่เคยกระทำเรื่องเลวทราม เหตุใดวันนี้จึงถูกมารเข้าสิง” ใบหน้าของผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานคนนี้เต็มไปด้วยโลหิตสด พยายามพูดกับเขาอย่างสุดชีวิต

คนผู้นี้พอดีเป็น โม่อวี่จู๋ ศิษย์พี่ใหญ่ของไป๋เจี่ยนจู๋ เขาไม่ได้เอ่ยตอบผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ เพียงแต่มองเขาด้วยสายตาเวทนา

“โม่อวี่จู๋ ต่อให้คนหอซวีชิงของพวกเจ้าร้ายกาจกว่านี้ ผู้บำเพ็ญเซียนที่ทรยศโลกหนานซานครั้งนี้ จะถูกทุกสำนักล้อมปราบ แม้แต่ตำหนักลั่วเซียนก็จะไม่ปล่อยพวกเจ้าไป” เห็นสายตาเวทนาของโม่อวี่จู๋ ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ก็ตะโกนอย่างเดือดดาลด้วยความสิ้นหวัง

“ไผ่เงียบงัน”

ไผ่เขียวในมือโม่อวี๋จู๋วาดเบาๆ แสงสีเขียวเบื้องหน้าพลันปรากฏหน้าตัดสีเขียว หลังสิ้นเสียงของเขา ไผ่เขียวเล็กละเอียดดุจนิ้วมือนับร้อยก็ปรากฏออกมาจากในหน้าตัดนั้นแล้วพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ปักร่างผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ราวกับลูกศรอันคมกริบ หลังเก็บไผ่เขียว ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ก็กลายร่างเป็นตะแกรง ตกตายแต่แรก

“ล้อมปราบพวกเรา? อย่าว่าแต่ตำหนักลั่วเซียน ต่อให้โลกหนานซานก็คงไม่มีอีกแล้ว” เสียงห้าวลึกของโม่อวี่จู๋ล่องลอยอยู่ภายในทางเดินศิลา  มือขวากุมไม้ไผ่เล็กละเอียด มือซ้ายถือมุกทลายเขตแดน แม้แต่กระเป๋าเก็บของของผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้เขายังไม่เหลือบแล ก็เดินเข้าไปในทางเดินศิลาอันมืดมิด เขาเพียงแค่มาสังหารคน ไม่ได้มารีดไถเงินทอง พฤติการณ์ปล้นชิงเช่นนี้ ศิษย์ผู้หยิ่งทะนงแห่งหอซวีชิงจะไม่กระทำ

ส่วนภายในทางเดินศิลาอีกเส้น มีผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานสามคนอยู่ด้วยกัน เฟิงอวิ๋นจู๋ที่ถือมุกทลายเขตแดนคิดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีผู้บำเพ็ญเซียนสามคนเข้าไปในภาพมายาที่แตกต่างกันในเวลาเดียวกัน เขาเพิ่งเดินมาถึงที่นี่ก็ทำให้คนทั้งสามออกมา

คนทั้งสามกำลังทลายฉากในภาพมายาที่แตกต่างกัน ที่จริงหลักๆ คือค้นหาของวิเศษ ทันใดนั้นเบื้องหน้าก็พร่าพรายปรากฏตัวขึ้นในทางเดินศิลา นี่ไม่เหมือนที่ทางสำนักบอกไว้ เงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเบื้องหน้ามีผู้บำเพ็ญเซียนหอซวีชิงสวมชุดขาวปักใบไผ่สีเข้มยืนอยู่คนหนึ่ง ในมือของเขาถือมุก กำลังมองดูพวกเขาอย่างยิ้มแย้ม

“ที่แท้เป็นสหายเซียนของหอซวีชิง สองท่านนี้ก็เป็นสหายเซียนของโลกหนานซานหรือ?” คนทั้งสามเป็นฝ่ายทักทายก่อน

“ข้าเป็นศิษย์สำนักหยางเฉิงแห่งโลกหนานซาน”

“ที่แท้ทุกคนล้วนเป็นศิษย์ของโลกหนานซาน บังเอิญจริงๆ” ได้พบคนจากโลกเดียวกันในสถานที่แบบนี้ ทุกคนต่างยินดียิ่ง ดีกว่าพบผู้บำเพ็ญเซียนจากโลกเซียวไท่มากนัก

“จะทำอย่างไรดี ไม่ทราบว่าทั้งสามท่านช่วยข้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่?” เฟิงอวิ๋นจู๋มองคนทั้งสามเผยสีหน้าลำบากใจ

คนทั้งสามเห็นเฟิงอวิ๋นจู๋มีสีหน้าลำบากใจ ทั้งยังเป็นฝ่ายขอร้องให้พวกเขาช่วยเหลือ นี่เป็นโอกาสดีที่จะได้ประจบหอซวีชิง จึงยิ้มพลางถามว่า “ไม่ทราบสหายเซียนท่านนี้มีเรื่องอันใด ขอเพียงสามารถช่วยเหลือหอซวีชิงได้ พวกเราจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่”

เฟิงอวิ๋นจู๋โล่งอก “ข้าอยากให้พวกท่านฆ่าตัวตายที่นี่”

“สหายเซียน เจ้าหมายความว่าอย่างไร” พอคนทั้งสามฟัง ก็รู้สึกผิดปกติ สีหน้าอึมครึมระแวดระวังขึ้นมา

เฟิงอวิ๋นจู๋คว้าจับในความว่างเปล่า ไผ่เขียวเล็กละเอียดกิ่งหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ เขาถือไผ่เขียวอีกมือลูบศีรษะพลางเอ่ยยิ้มๆ “ข้าก็จนหนทาง ใครจะคิดว่าข้าจะโชคร้ายปานนี้ ทำให้คนออกมาสามคนในคราวเดียว ถ้าลงมือกับพวกเจ้าทีละคน มิยุ่งยากเกินไปหรือ พวกเจ้าฆ่าตัวตายจะสบายกว่า อีกอย่างเมื่อครู่พวกเจ้ายังบอกว่า ขอเพียงช่วยเหลือหอซวีชิงได้ จะพยายามอย่างสุดความสามารถ”

คนทั้งสามฟังคำพูดของเฟิงอวิ๋นจู๋จบอย่างประหลาดใจ นี่มิใช่บอกพวกเขาตรงๆ ว่าข้าจะฆ่าพวกเจ้าหรือ คิดไม่ถึงว่าหอซวีชิงจะฉวยโอกาสตอนต่อสู้กับศัตรูภายนอก กระทำเรื่องฆ่าคนปล้นชิงผู้บำเพ็ญเซียนโลกเดียวกัน ไม่เหมือนภาพลักษณ์ของหอซวีชิงในยามปกติเลย ทำให้คนทั้งสามไม่อยากจะเชื่อ คาดเดาว่าคนผู้นี้ใช่เป็นผู้อื่นสวมเสื้อผ้าของหอซวีซิงปลอมตัวมาหรือไม่

ผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักหยางเฉิงตกตะลึงเกินไป อดเอ่ยถามอย่างสงสัยไม่ได้ “เจ้าเป็นใคร คิดไม่ถึงว่าจะปลอมตัวเป็นผู้บำเพ็ญเซียนของหอซวีชิงคิดจะหลอกให้พวกเราคลายการระวังป้องกัน ถ้าถูกคนของหอซวีชิงรู้เข้า แค่คิดดูก็รู้จุดจบของเจ้า”

“ฮ่าๆๆ…” เฟิงอวิ๋นจู๋หัวเราะฮาๆ ดังลั่น ตนเองนำไผ่ซวีชิงออกมา คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะบอกว่าตนเองปลอมตัวมา ท่าทางสำนักหยางเฉิงจะเล็กเกินไปจริงๆ นี่คงเป็นครั้งแรกที่ออกเดินทางไกล

ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนอื่นๆ อีกสองคนในยามนี้กลับขยับร่างวิ่งไปยังทางเดินศิลาด้านหลังอย่างบ้าคลั่ง

“สหายเซียนทั้งสองท่านอย่าไปสิ เรื่องที่พวกเจ้ารับปากจะช่วยเหลือยังไม่ได้ทำเลย” เฟิงอวิ๋นจู๋หยุดหัวเราะ ไผ่ซวีชิงหมุนเบาๆ รอบหนึ่ง ประตูมิติบานหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ พอเขาก้าวเข้าไปในประตูมิติก็หายไปจากที่เดิม อึดใจเดียว ประตูมิติก็ปรากฏขึ้นอีกด้านหนึ่งของทางเดินศิลา เฟิงอวิ๋นจู๋ก้าวออกจากประตูมิติ ยิ้มจนดวงตาสองข้างดุจเดือนเสี้ยว

“ขอเสี่ยงล่ะ หอซวีชิงแล้วอย่างไร วันนี้ข้าอยากจะดูสิว่า ที่แท้หอซวีชิงร้ายกาจเพียงใด” เห็นว่าหนีไม่รอด ผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งก็คำรามอย่างเดือดดาล ใช้เวทมนตร์ทำให้ก้อนทองขยายใหญ่จนมีขนาดเท่าทางเดินศิลาบดขยี้ไปทางเฟิงอวิ๋นจู๋

“ไผ่กลืนกิน”

เฟิงอวิ๋นจู๋ยิ้มตาหยีโยนไผ่ในมือ ไผ่ซวีชิงพลันขยายใหญ่กลายเป็นงูไม้ไผ่ยักษ์อ้าปากสะอึกเข้ารับ เสียงดังตูม ก้อนทองและงูไม้ไผ่ยักษ์กระแทกติดเข้าด้วยกัน ผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นตะโกนอย่างชั่วร้าย “ก้อนทองของข้าแข็งแกร่งสุดเปรียบปาน หนักดุจขุนเขา ไม้ไผ่ของเจ้าถึงแปลงเป็นงูก็มิอาจเอาชนะมันได้ ทั้งสองท่านยังรีรออะไรอยู่ ลุยพร้อมกันเถอะ สังหารคนของหอซวีชิงทิ้ง พวกเราจะมีชื่อเสียงระบือลือไกล”

“พูดได้ถูกต้อง ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่จะสังหารคนของหอซวีชิง ในตัวของเจ้าพวกนี้มีของดีๆ ไม่น้อย” ผู้บำเพ็ญเซียนจอมทะเยอทะยานที่หนีมาด้วยกัน คายมุกเปลวเพลิงออกมาจากปากกลายร่างเป็นวิหคเพลิงพุ่งไป วิหคเพลิงเบียดแทรกเข้าไปในรอยแยกของก้อนทอง พุ่งไปยังเฟิงอวิ๋นจู๋ที่อยู่ทางด้านหลัง

“เด็กน้อยจริงๆ” ภายในทางเดินศิลามีเสียงหัวเราะเบาๆ ของเฟิงอวิ๋นจู๋ดังมา สิ้นเสียง ก้อนทองก็ส่งเสียงปริแตก รอยร้าวสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้นกลางก้อนทอง สุดท้ายตรงกลางก้อนทองก็ทะลุเป็นรูขนาดใหญ่ ตลอดร่างงูไม้ไผ่พกพาเปลวไฟชำแรกออกมาจากในก้อนทอง ด้วยลำตัวไม้ไผ่ของมัน คิดไม่ถึงว่าจะกัดก้อนทองซึ่งเป็นอาวุธเวทแก่นชีวิตของอีกฝ่ายซึ่งแข็งแกร่งจนเป็นรูขนาดใหญ่ได้ ทั้งยังไม่ได้รับผลกระทบจากเปลวเพลิง พกพาเปลวไฟพุ่งเข้าใส่สองคนนี้

งูไม้ไผ่พุ่งขึ้นไปม้วนผู้บำเพ็ญเซียนที่ปล่อยมุกเปลวเพลิงออกมา ตอนนี้เปลวเพลิงที่ตนเองปล่อยออกมากลับเผาไหม้ตนเอง พอการรับรู้ของเขาขยับ เปลวเพลิงบนร่างของงูไม้ไผ่ก็หายไป เผยให้เห็นส่วนที่ถูกเผาเกรียมจำนวนมาก เพื่อให้ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้เก็บเพลิงในมุกเปลวเพลิงกลับคืน เฟิงอวิ๋นจู๋จึงปล่อยผู้บำเพ็ญเซียนอีกคนหนึ่ง ให้งูไม้ไผ่พุ่งไปถึงร่างของคนที่ร่ายเวท บีบให้เขาเป็นฝ่ายเก็บเปลวเพลิงกลับคืน

เปลวเพลิงล่าถอย งูไม้ไผ่ซึ่งเป็นลำไผ่ที่ไหม้เกรียม พยายามรัดร่างของเขาไว้ราวกับงูจริง ยิ่งรัดยิ่งแน่น ส่วนหัวงูก็ค่อยๆ เชิดขึ้น ดวงตาที่ทำจากไม้ไผ่บนหัวงูมองเขาอย่างไม่มีความรู้สึกใดๆ สุดท้ายอ้าปากกว้างกัดเข้าที่ลำคอของเขา

ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนที่โยนก้อนทองออกมาเป็นคนแรกสุดยามนี้ไม่รู้ว่าใช้เวทมนตร์อะไรหลบหนีอย่างไม่คิดชีวิต พอหายร่างแวบก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า กระพริบวาบๆ หลบหนีไปในทางเดินศิลา ร่างของเขาไม่หยุดชะงัก ปรากฏขึ้นเพียงชั่วพริบตาก็หายไปอีก ทำให้คนจับกุมเงาร่างของเขาไม่ได้

“ฮึ ไผ่พิรุณ” เฟิงอวิ๋นจู๋เห็นว่าจับกุมเงาร่างของเขาไม่ได้ ก็แนบมือลงบนกำแพงศิลา เห็นในฝ่ามือมีแสงสีเขียวกระพริบ ต้นไผ่งอกออกมาจากด้านบนถ้ำศิลาราวกับพายุ เสียงดังฟุ่บๆ ป่าไผ่อันหนาแน่นปักลงในทางเดินศิลาตลอดทั้งสาย ในป่าไผ่แสดงให้เห็นผู้บำเพ็ญเซียนที่ถูกเสียบเป็นเนื้อเสียบไม้ย่าง

ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ตายจนไม่อาจตายได้อีก ก้อนทองคำก็กลายเป็นภัสมธุลีตามไปด้วย เฟิงอวิ๋นจู๋เดินมา “กลับมา” เขายื่นมือออกไปยิ้มตาหยีพลางเอ่ย งูไม้ไผ่สลัดซากศพที่ถูกรัดตายทิ้ง กลายเป็นกิ่งไผ่เขียวกลับมาอยู่ในมือเขา สุดท้าย เขาก็เดินไปหาศิษย์น้องเล็กสำนักหยางเฉิงที่หวาดกลัวจนสั่นสะท้านทั่วร่างคนนั้น จากนั้นภายในทางเดินศิลามีเสียงอู้อี้ดังมา แล้วกลับคืนสู่ความสงบดังเดิม ราวกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

ผู้บำเพ็ญเซียนของโลกเซียวไท่แบ่งกันเป็นกลุ่มๆ ถือมุกทลายเขตแดนฉุดลากผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานที่งุนงงออกมา ต่อมาล้อมเป้าหมาย ฉวยโอกาสที่มีคนมากกว่าสังหารพวกเขา จากนั้นแบ่งสินสงครามเท่าๆ กัน คนของหอซวีชิง กลับอยู่คนเดียว ในมือแต่ละคนถือมุกทลายเขตแดน ค้นหาผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่เข้าไปในภาพมายาเพียงคนเดียว

หลังจากสังหารผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานที่ไม่ทราบชื่อเบื้องหน้าหลายคน ไป๋เจี่ยนจู๋ก็พบคนรู้จัก ฮวาลั่วฉิง ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานของสำนักเฟยเทียนซึ่งเป็นหนึ่งในห้าของตำหนักลั่วเซียน สำนักเฟยเทียนอยู่บนเกาะลอยได้ซึ่งมีเกาะเล็กๆ ทั้งเจ็ดแขวนอยู่ด้านบน ดอกไม้สดที่ล่องลอยรอบเกาะเฟยเทียนเหล่านั้นเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของพวกนาง

“ศิษย์พี่ไป๋ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร บังเอิญจริง เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ เหตุใดจึงมีสีหน้าปั้นยาก” ฮวาลั่วฉิงออกมาจากภาพมายาอย่างงุนงง ก็เห็นไป๋เจี่ยนจู๋ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักมีสีหน้าเขียวคล้ำ ภายในทางเดินศิลาว่างเปล่า มีเพียงพวกเขาสองคน ไม่มีคนอื่น พอคิดถึงตรงนี้ ใบหน้าของฮวาลั่วฉิงก็แดงก่ำขึ้นมา ฮวาลั่วฉิงชื่นชมไป๋เจี่ยนจู๋มาตลอด เห็นที่นี่มีเพียงตนเองกับเขา เป็นโอกาสอันดีที่สวรรค์ประทาน ต้องพัวพันเขาไว้ให้ได้ เดินในศิลารองรับฟ้าจนสุดทางด้วยกันสองคน

สีหน้าของไป๋เจี่ยนจู๋ยิ่งมายิ่งเขียวคล้ำ เขารู้จักสตรีผู้นี้เป็นอย่างดี อีกทั้งจากดวงตาที่หวาดกลัวสับสนยังมีท่าทางเอียงอาย แสดงว่าสตรีผู้นี้ยังชื่นชมตนเองเหมือนเมื่อก่อน ถึงปกติตนเองจะชิงชังสตรีที่ชอบตนเองและเข้ามาพัวพันตนเองไม่หยุดหย่อน ทว่าต้องสังหารสตรีที่ชื่นชมตนด้วยมือของตนเอง เขารู้สึกว่าทำไม่ลงจริงๆ

ถ้าทำไม่ลงก็คือไม่เชื่อฟังคำสั่งอาจารย์ ถ้าลงมือ อีกฝ่ายกลับไม่ระวังป้องกันเลยสักนิด ไป๋เจี่ยนจู๋ไม่เคยทำเรื่องไร้คุณธรรมเช่นนี้มาก่อน เขาจมดิ่งลงในความลังเล ภายในจิตใจกำลังประเมินผลความถูกและความผิด