บทที่ 87 ไร้มารยาท Ink Stone_Romance
กล่าวคำร่ำลาจบ เฉิงเจียวเหนียงก็กวักมือเรียกพ่อบ้านเฉา
ครั้งนี้พ่อบ้านเฉาฉลาดขึ้นมาก มาถึงก็ยืนวางมือด้านหน้ารอรับฟังคำสั่ง ไม่ถามไม่พูดอะไร
“ให้เงินพวกเขา” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
พ่อบ้านเฉาไม่เอ่ยถามใดๆ ยื่นมือไปหยิบถุงเงินให้คนกลุ่มนี้ในทันที
มองดูถุงเงินที่พ่อบ้านเฉายื่นมาให้ เหล่าพี่น้องเขาเม่าหยวนก็รีบถอยหลังโบกมือไม่รับ
“จะเอาเงินของนายหญิงอีกได้อย่างไร ขายหน้ายิ่งนัก ขายหน้ายิ่งนัก” พวกเขากล่าวอย่างพร้อมเพรียง
“เงิน มีไว้เพื่อใช้ไม่ใช่หรือ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “ในเมื่อเป็นชายชาตรี ก็อย่า ทำเช่นนี้อีกเลย”
ชายหนุ่มที่ป่วยหน้าตาเคร่งขรึม แล้วคำนับ
“บุญคุณใหญ่หลวงนัก” เขากล่าว ยื่นมือรับถุงเงินเอาไว้
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเดินไปทางรถม้ากับสาวใช้
ชายหนุ่มกลุ่มนั้นถือถุงเงินไว้แล้วมองส่งด้วยสายตา แฝงไปด้วยความอาลัยอาวรณ์
“นายหญิงผู้นี้ ช่างเป็นคนดีเสียจริง”
หมื่นร้อยพันคำไม่รู้จะพูดอย่างไร สุดท้ายก็กลายเป็นประโยคนี้
“เรื่องราวชั่วพริบตา บุตรสาวแยกหนีหายยังหวนกลับ จะตีเหล็กตนก็ต้องแข็งแกร่งก่อน เราเหล่าพี่น้องจะตอบแทนบุญคุณ ก็รีบไปสร้างตัวกันก่อนเถิด” ชายหนุ่มที่ป่วยยิ้มกล่าว
“ใช่ ผู้มีพระคุณไปทางเมืองหลวง ไว้พวกเราค่อยไปหานางก็ได้” พี่ใหญ่กล่าว “เมื่อครู่ข้าแอบไปสืบมาว่า นี่เป็นคนสองตระกูล ตระกูลหนึ่งแซ่เฉิน ตะกูลหนึ่งแซ่โจว ถึงแม้นายหญิงผู้นั้นไม่ได้บอก หากเราจริงใจ อย่างไรเสียก็ต้องหาผู้มีพระคุณเจอเป็นแน่”
ทุกคนตอบรับเสียงกึกก้อง ใช้โครงไม้แบกชายหนุ่มผู้นี้ขึ้นรถม้าของตนไป
เหมือนดั่งตอนที่พวกเขามาเมื่อคืนนี้ โห่ร้องแล้วจากไปไกล
ในหุบเขานั้นเงียบเหงาขึ้นมาทันใด
สาวใช้ละสายตามา พยุงเฉิงเจียวเหนียงขึ้นรถ
“บุญคุณที่ช่วยชีวิต ไม่รู้ชื่อแซ่ไม่เป็นไร อย่างน้อยควรรู้หน้าตามิใช่หรือ มิเช่นนั้นไม่เป็นการเนรคุณหรอกหรือ” เสียงเด็กหนุ่มดังขึ้นจากด้านหลัง
ทุกคนหันหน้าไปมอง เห็นท่านชายเด็กหนุ่มก้าวเท้าเดินเข้ามา ในขณะเดินไปใบหน้าใต้หมวกก็เผยให้เห็นรำไร ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเช้า ดูส่องแสงเป็นประกาย
เจ้าเด็กเกเรนี่!
กล้าหยาบคายถึงขนาดจะดูรูปลักษณ์หญิงสาวเชียวหรือ!
ผู้ติดตามรอบๆ มองกันด้วยสายตาโมโห
“เดิมทีก็ไม่ได้มีบุญคุณอะไร จะเรียกว่าเนรคุณได้อย่างไร” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว แล้วให้สาวใช้พยุงหันมา
“ไม่มีบุญคุณต่อกันหรือ แล้วทำไมถึงช่วยรักษาพวกเขาเล่า” เด็กหนุ่มเดินเข้าใกล้เอ่ยถามเสียงใส
เฉิงเจียวเหนียงหยุดเดินแล้วหันหน้ามา
“ตอนนั้น คนผู้นี้ป่วยหนักรักษาไม่ได้ใกล้จะตาย ข้างกายมีเพียง พี่น้องพวกนี้ ที่พักก็ไม่ให้เข้าพักไล่ออกไป ในที่กันดารไร้สิ้นหนทาง ชายหนุ่มสูงใหญ่แต่กลับทำได้แค่ร้องไห้โทษโชคชะตา เจ้าว่า ตอนนั้นข้า ทำไมถึงช่วยแก้ไขความทุกข์ยากลำบากของพวกเขากันเล่า” นางเอ่ยถาม
“ทำไมหรือ” เด็กหนุ่มมองดูนางแล้วเอ่ยถาม
“เจ้าไม่รู้สึกว่า เช่นนี้ สะใจดีหรือ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวอย่างช้าๆ
สะใจ ความสะใจ อย่างสะใจ
คำนี้อักษรตัวนี้ เด็กหนุ่มเคยได้ยินเคยได้เขียนเคยได้พูดมานับครั้งไม่ถ้วน คำที่สว่างสดใสเพียงนี้ ไม่คิดว่า ณ ขณะนี้เพียงพูดออกมา กลับทำให้เขารู้สึก…สับสนซับซ้อนเป็นอย่างมาก
ที่สำคัญที่สุด เขาดันฟังเข้าใจแล้ว หากเป็นเหมือนคนอื่น มึนงงสับสนเหมือนเช่นพวกชายฉกรรจ์จากป่าเขาอะไรพวกนี้ก็คงจะไม่เป็นไร
คนเราหากฉลาดเกินไปก็ไม่ดีเช่นกัน
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น มองดูหญิงสาวที่หันหน้าเล็กน้อยและกำลังเหยียบขึ้นเก้าอี้รถม้าตรงหน้า
หมวกคลุมตกลงมาโดยไม่รู้ตัว เผยใบหน้าออกมาข้างนอก
ดวงตาสุกสว่าง จมูกสูงโด่ง คิ้วยาวเข้าขมับ สีหน้าตกตะลึงไม่มีรอยยิ้มใด ผนวกกับความเย็นชาที่ไม่เหมาะกับอายุ
ท่านชายน้อยผู้นี้หน้าตาไม่เลวนัก คนในที่นั้นต่างก็กล่าวอยู่ในใจ
ท่านชายเด็กหนุ่มได้สติก็ยกมือมาจับหมวกปิดหน้าอีกครั้ง คล้ายว่าไม่อยากให้ใครเห็นหน้าตาของเขา
เฉิงเจียวเหนียงหันหน้ามายกกระโปรงขึ้นรถไป
“นายหญิงช้าก่อน” เด็กหนุ่มส่งเสียงเรียก “นายหญิง ก็ช่วยข้าเช่นกัน”
เฉิงเจียวเหนียงหยุดเดินแล้วหันหน้ามาอีกครั้ง
เด็กหนุ่มเห็นเฉิงเจียวเหนียงมองมา จึงยื่นมือไปชี้ทางด้านหลัง
“รถม้าของข้า…” เขากล่าว
รถม้าทำไมหรือ
ทุกคนต่างก็มองไป เห็นผู้ติดตามของเด็กหนุ่มกำลังปลดรถม้าคันหนึ่งทิ้งอยู่พอดี เมื่อคืนท่ามกลางฝูงหมาป่านั้นม้าตกใจจนลากรถวิ่งไปกระทันหัน เมื่อกลางดึกไม่มีเวลาได้ดูอย่างละเอียด ตอนนี้เหมือนว่าล้อของรถม้าคันนั้นเสียหายไปครึ่งหนึ่งแล้ว
“หากไม่ใช่เพราะนายหญิงเตือนไว้ ข้าอาจจะถูกฝูงหมาป่าล้อมกัดก็เป็นได้” เด็กหนุ่มกล่าว
ผู้ติดตามข้างกายเฉิงเจียวเหนียงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะมองเฉิงเจียวเหนียงแล้วมองสาวใช้
พวกเขาจำได้ว่าได้เตือนจริงๆ แต่ว่า ไม่ใช่สาวใช้เป็นคนเตือนหรอกหรือ
เฉิงเจียวเหนียงมองดูเขา เผยมุมปากที่โค้งขึ้น
“เช่นนี้ ก็จริง” นางกล่าว
เพิ่งจะพูดจบ ก็เห็นเด็กหนุ่มผู้นั้นก้าวเท้าเข้ามา ยื่นมือมาเปิดหมวกของเฉิงเจียวเหนียง
ใบหน้าของหญิงสาวปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขา
เด็กหนุ่มมองค้าง มองดูใบหน้านี้ตรงหน้า
จะว่าก็ว่า สาวน้อยนี้ก็ไม่มีอะไรโดดเด่นนัก…
ก็แค่ผิวเนียนขาวกว่าคนปกติอยู่บ้าง…
คิ้วตาสวยกว่าอยู่บ้าง…
เพียงแต่ดวงตานั้นอยู่บนใบหน้านี้รู้สึกโดดออกมาไม่เข้ากันอย่างมาก ผนวกกับสีหน้าอันแข็งทื่อ ดูแล้วแปลกประหลาดอยู่บ้าง
เหมือนไม่ใช่คนจริง เหม่อลอยไม่มีชีวิตชีวา
เป็นผู้ป่วย…จริงด้วยสินะ
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา เพราะเขาทำไวมาก ทุกคนต่างก็ไม่ทันได้ตอบสนอง และก็ไม่คิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะมีการกระทำบุ่มบ่ามเช่นนี้
หลังจากเหม่อลอยไปสักครู่ สาวใช้ก็ส่งเสียงกรีดร้อง ตามติดมาด้วยผู้ติดตามตะคอกขับไล่
“เจ้าหมอนี่ไร้มารยาทยิ่งนัก!”
ผู้ติดตามข้างกายเด็กหนุ่มมาปกป้องเขาไว้ก่อนแล้ว
“ข้าไม่สนใจคนอื่นหรอก อย่างไรเสียข้าก็จะจดจำใบหน้าผู้มีพระคุณเอาไว้” เด็กหนุ่มถอยไปหนึ่งก้าว กล่าวพลางอมยิ้ม
เมื่อเทียบกับความตกใจโมโหของคนรอบข้างแล้ว เฉิงเจียวเหนียงสีหน้าไร้อารมณ์ สาวใช้ที่ทั้งโกรธทั้งกลัวนั้นเป็นคนสวมหมวกให้นางใหม่อีกครั้ง
นายเฉินสี่ไม่ออกหน้าไม่ได้แล้ว แฝงความแข็งกร้าวไม่พอใจส่งสัญญาณให้เด็กหนุ่มผู้นี้ออกไปเสีย
“นายหญิง เจ้าก็ช่วยข้าเอาไว้ เจ้ารู้สึกสะใจเช่นกันหรือไม่” เด็กหนุ่มอมยิ้มพลางถอยหลัง แล้วยกมือขึ้นกล่าว
เฉิงเจียวเหนียงหยุดเดินอีก แล้วหันมา
“ช้าก่อน” นางกล่าว
“ท่านชายอย่าเพิ่งไปเจ้าค่ะ” ถึงแม้จะไม่ค่อยยินยอม แต่สาวใช้ก็ยังคงตะโกนเรียกเสียงดัง
เด็กหนุ่มหยุดเดินแล้วมองมา
เฉิงเจียวเหนียงกวักมือเรียกเขา
นายหญิงน้อยผู้นี้เผชิญหน้ากับความไร้มารยาทเช่นนี้ไม่เคยตื่นตระหนกหรือโมโห แต่กลับกวักมือเรียกเจ้าหมอนั่นเข้ามาหรือ
แต่ว่า คนที่ขนาดฝูงหมาป่ายังไม่กลัว พวกนี้จะทำให้นางหวาดกลัวได้อย่างไร
เด็กหนุ่มเดินยิ้มเข้ามา ไม่สนใจสายตาเหยียดหยามรอบข้าง แล้วยืนอยู่ตรงหน้าเฉิงเจียวเหนียง
ถึงแม้เขาจะสูงกว่าหญิงสาวผู้นี้ แต่หญิงสาวผู้นี้ดันยืนอยู่บนเก้าอี้ไม่ยอมลงมา ระหว่างทั้งสองคนนี้กลับกลายเป็นว่าหญิงสาวผู้นั้นสูงกว่าเล็กน้อย มีความรู้สึกเหมือนมองจากด้านบนอย่างนั้น
“ช่วยเจ้านั้น ยังไม่ถือว่าสะใจ” เฉิงเจียวเหนียงมองดูเขาแล้วกล่าวขึ้น ใช้มือข้างหนึ่งยกหมวกขึ้นเล็กน้อย เผยใบหน้าออกมา “ช่วยเจ้าครั้งที่สอง ถึงจะเรียกว่าสะใจ”
เด็กหนุ่มส่งเสียงร้อง ‘อ้อ’ มองดูหญิงสาวตรงหน้า
เมื่อคืนนั่งห่างกัน วันนี้พบกันครั้งแรก คุยโต้ตอบกันไม่เกินสามสี่ประโยค คำพูดแปลกแต่ไม่แปลกหน้า
“แล้วต้องทำอย่างไรหรือ” เขาเอ่ยถาม มือข้างหนึ่งก็ยกหมวกขึ้นเช่นกัน เห็นมุมปากที่ยิ้มเล็กน้อย
เฉิงเจียวเหนียงโน้มตัวไปเล็กน้อย
“เมื่อคืน ฝูงหมาป่า มีคน ชักนำมา” นางกล่าวเสียงแผ่วเบา
เด็กหนุ่มสีหน้าหวาดกลัวไปกระทันหัน
“เช่นนี้ เจ้าว่า ทำอย่างไรหรือ” เฉิงเจียวเหนียงยืนเหยียดตรงขึ้นมา มองดูเขาพลางกล่าวไป
……………………………………………………….