บทที่ 88 ตามที่ได้พบ Ink Stone_Romance

คนและม้าอีกขบวนหนึ่งก็จากไปเสียงดังกึกก้อง ในหุบเขาเหลือเพียงกลุ่มคนและม้าของเด็กหนุ่ม ทำให้ยิ่งเงียบเหงามากขึ้น

“จวิ้นอ๋อง พวกเราก็ออกเดินทางกันเถิดขอรับ” ผู้ติดตามข้างกายเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา มองดูเด็กหนุ่มที่เหมือนว่ายังเหม่อลอยอยู่

เด็กหนุ่มส่งเสียงร้อง ‘อ้อ’ ยื่นมือมาเปิดหมวกออกแล้วมองดูทางที่จากมา หุบเขาสะท้อนเสียงกีบม้า จนสุดท้าย ก็เงียบสงัดไป

“จวิ้นอ๋อง นายหญิงผู้นั้นพูดอะไรกับท่านหรือขอรับ ทำไมจวิ้นอ๋องถึงเหม่อลอยไปเช่นนี้” คนที่ท่าทางดูเหมือนพ่อบ้านคนหนึ่งเดินออกมาแล้วยิ้มกล่าว เทียบกับความเคารพนบนอบของคนอื่นๆ แล้ว เขาดูทำตัวสบายๆ กว่านัก

เมื่อครู่เด็กหนุ่มและเฉิงเจียวเหนียงยืนอยู่ใกล้พูดเสียงแผ่วเบา นอกจากพวกเขาสองคนแล้ว คนอื่นต่างก็ไม่ได้ยินคำพูดสุดท้ายกัน

เด็กหนุ่มหันมา แล้วมองดูชายผู้นี้ เผยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน

จวิ้นอ๋องยิ้มเก่ง นิสัยก็ดี อาจเป็นเพราะถูกเลี้ยงดูในวังไร้ซึ่งความกังวลกระมัง

“นางถามข้าว่าเป็นท่านชายบ้านใด แต่งงานหรือยัง” เขายิ้มกล่าว

กลุ่มคนต่างหัวเราะเสียงกึกก้อง

“จวิ้นอ๋องหน้าตาดีหล่อเหลา มีสาวใดที่ได้พบเห็นแล้วจะไม่หลงใหลบ้าง” พ่อบ้านหัวเราะดังขึ้น

“เพียงแต่เสียดาย เสด็จพ่อรอไม่ถึงตอนข้าสมรส” เด็กหนุ่มกล่าว สีหน้าเศร้าซึม

เสียงหัวเราะเงียบไปทันใด คนรอบข้างต่างมีสีหน้าเศร้าโศกกัน

“จวิ้นอ๋องทำใจเถิด” พ่อบ้านกล่าว บีบน้ำตามาสองสามหยด “จิตใจกตัญญูของท่าน ท่านอ๋องได้รับรู้จากบนฟ้าแล้ว พวกเรารีบออกเดินทางกันเถิด”

เด็กหนุ่มพยักหน้า รับม้าที่ผู้ติดตามลากมาให้ด้วยความอาลัย

“รถม้าเสีย จวิ้นอ๋องเดินทางไม่สะดวก พวกเราไปด้านหน้านั้นเปลี่ยนเป็นเดินทางทางน้ำดีหรือไม่” พ่อบ้านเหมือนคิดอะไรได้แล้วกล่าวขึ้น

“แต่ว่าเปลี่ยนเป็นทางน้ำ จะอ้อมนะขอรับ” มีคนกล่าวขึ้น

“ยิ่งรีบก็ยิ่งช้า ร่างกายจวิ้นอ๋องสำคัญที่สุด ไม่เคยเดินทางไกลเช่นนี้มาก่อน หากถูกทำให้ตกใจกลัวไปอีกจะทำอย่างไร ฮ่องเต้ไทเฮาต่างก็ต้องเป็นห่วงกัน” พ่อบ้านกล่าวอย่างกังวลไม่สบายใจ

“เช่นนั้นก็ทำตามที่พ่อบ้านเลี่ยวว่าเถิด” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างสบายๆ “เดินทางอย่างปลอดภัยสำคัญที่สุด”

พ่อบ้านขานรับอย่างดีใจ แล้วไปจัดแจงถ่ายทอดคำสั่ง มองดูข้างหลังเขา เด็กหนุ่มมุมปากยิ้มอย่างเย้ยหยัน

จะคอยดู ว่าผู้ใด กล้าจะเอาชีวิตตน

เหยื่อกลายเป็นผู้ล่าแล้ว แต่ผู้ล่ายังไม่รู้ตัว ความรู้สึกนี้ช่างสะใจยิ่งนะ

เด็กหนุ่มหยุดยิ้มแล้วมองไปยังทางที่จากมา

ตระกูลหนึ่งแซ่เฉิน ตระกูลหนึ่งแซ่โจว แล้วหญิงผู้นี้แซ่โจวหรือแซ่เฉินกัน

เขายื่นมือมาสวมหมวก ตบท้องม้าแล้ววิ่งจากไป

ทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดหย่อน วิ่งไปทั้งทางใหญ่เล็ก เมืองหลวงเข้าใกล้ขึ้นทุกวัน

“พ่อบ้านเฉา ของซื้อมาแล้วขอรับ”

เหล่าผู้ติดตามถือของห่อใหญ่เล็กเดินก้าวเข้าประตูโรงเตี๊ยมมา

ในห้องโถงนั้นพ่อบ้านเฉาและคนอื่นๆ กำลังกินข้าวอยู่

“ส่งไปส่งไป รีบกินแล้วรีบออกเดินทาง” พ่อบ้านเฉากล่าว

ผู้ติดตามขานรับแล้วเดินเข้าไป

“นายหญิงจะกินอะไรหรือขอรับ” มีคนเอ่ยถามอย่างสงสัย มองดูอาหารมากมายบนโต๊ะ “พวกนี้ไม่ถูกปากเลยหรือขอรับ”

ระหว่างทางมานั้นทั้งลมดินทรายทั้งการเดินทางทั้งวันคืนไม่หยุดหย่อน การกินการดื่มก็แค่ประทังอาการหิวกระหายเท่านั้น เห็นว่าอีกไม่กี่วันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว ทุกคนต่างก็ผ่อนคลายลงอย่างมาก ถึงแม้จะอยากเข้าเมืองหลวงเสียเดี๋ยวนี้เลย แต่นายเฉินสี่ก็มีความอดทนพอจึงให้ทุกคนได้หยุดพักที่นี่ก่อน ได้กินอาหารมากมายลานตานี้

ที่นี่เป็นที่ที่ทุกคนคุ้นเคยกัน เลือกร้านที่มีชื่อเสียง สั่งรายการอาหารแนะนำ แต่นายหญิงผู้นั้นกลับชิมเพียงคำเดียวก็ไม่กินอีก

“ไม่ดี” นางกล่าว

จากนั้นก็อ่านรายการแปลกประหลาดมากมาย ให้ออกไปซื้อมา นางจะทำเอง

ทำไมถึงไม่ดีเล่า ของดีเช่นนี้…

นายหญิงผู้นี้ ช่างเลือกเกินไปแล้ว

นายเฉินสี่กล่าวโดยอ้อมประมาณว่าเดินทางคงไม่ได้ดั่งใจทุกอย่าง อะไรที่พอถูไถไปได้ก็ถูไถไป

“พวกเจ้าบอกเองว่าจะพัก” เฉิงเจียวเหนียงมองเขาแล้วกล่าว

นางกล่าวอย่างง่ายๆ แต่สาวใช้จะอธิบายเพิ่มเติม

“ตลอดทางมา นายหญิงข้าไม่ได้ยอมถูไถหรือ” สาวใช้กล่าวอย่างไม่พอใจ “ตอนที่ทุกคนเร่งเดินทางอย่างยากลำบาก นายหญิงข้าไม่ได้ปริปากสักคำ”

ก็จริง

หญิงสาวผู้นี้เงียบจริงๆ เงียบจนนายเฉินสี่และคนอื่นๆ ลืมนึกไปว่านางเป็นผู้หญิง อย่างเช่นคืนนั้นที่เจอฝูงหมาป่า หากเป็นหญิงอื่น คงจะตกใจกลัวส่งเสียงกรีดร้องร้องไห้ไปแล้ว นางกลับเงียบสงบ เมื่อควรนั่งก็นั่ง เมื่อควรร้องเพลงก็ร้อง…

ลำบากได้ แต่ก็ช่างเลือกเอาแต่ใจ ช่างย้อนแย้งกันนัก

ผู้ติดตามที่เอาของไปส่งกลับมาขอเบิกเงินจากพ่อบ้านเฉา

“เงินนี้ช่างใช้ได้เร็วยิ่งนัก” เขากล่าว

“พวกนางหญิงสาวสองคนจะกินมากเท่าไรเชียว” นายเฉินสี่ยิ้มกล่าว แล้วกวักมือเรียกผู้ติดตามของตน “ข้าจ่ายเอง ข้าจ่ายเอง”

มิได้หรอก พ่อบ้านเฉารีบห้ามปราม

“ใช้ไม่เยอะนัก ใช้ไม่เยอะนักขอรับ” เขายิ้มกล่าว

“นายหญิงใช้ไม่มากหรอก ที่ให้พี่น้องเขาเม่าหยวนนั้นสิมาก” ผู้ติดตามกล่าวอธิบายเช่นกัน

“ไม่เป็นไรหรอก นายหญิงใจดีมีเมตตา” พ่อบ้านเฉากล่าวอีก

เขายังกลัวว่านายหญิงผู้นี้จะไม่ยอมใช้เงินของตน ไม่คิดว่าใช้อย่างสบายใจเช่นนี้ ยอมให้พวกเขาจ่ายเงิน ก็หมายความว่าเห็นเป็นคนกันเอง นี่ก็ดีแล้ว นี่ก็ดีแล้ว

ตอนมานายท่านและท่านชายก็บอกไว้แล้ว อยากได้อะไรก็ให้ไป แค่เงินทองเท่านั้น ขอเพียงคนอยู่ เรื่องเงินไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่

สาวใช้ยื่นผักที่หั่นละเอียดมาให้ แล้วมองดูเฉิงเจียวเหนียงเทใส่ในหม้อ

ในหม้อเล็กนั้นเดือดปุดๆ

“นายหญิงเจ้าคะ นายหญิงใจดีเสียจริงเจ้าค่ะ ให้เงินคนของเขาเม่าหยวนไปเยอะเลย” สาวใช้กล่าว

เฉิงเจียวเหนียงขยับไปข้างๆ ใช้ช้อนตักน้ำปรุงรส เช่น น้ำมันงา ซีอิ๊ว ต่างๆ ใส่น้ำแกงเพื่อปรุงรส เทต้นหอมซอยลงไปแล้วยื่นให้สาวใช้

สาวใช้รับมาอย่างเหม่อลอย ยังไม่รู้ว่าต้องกินอย่างไร

“รอหม้อเดือดแล้ว เนื้อกระต่ายลงไปลวก แล้วจิ้มกิน” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

สาวใช้เข้าใจในทันที มองดูเตาเล็กๆ และหม้อทองแดงตรงหน้า เนื้อบางๆ เป็นจานๆ ผักสดเขียว แล้วพอได้กลิ่นหอมของเหล้าและพริกในหม้อ ช่างน่ากินจนน้ำลายสอ

“ไม่ใช่เงินข้าเสียหน่อย เอามาทำกุศล มีอะไรน่าเสียดายกัน” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว ตนก็ปรุงเสร็จถ้วยหนึ่งแล้วเช่นกัน หันมาแล้วนั่งลง

สาวใช้หัวเราะคิกคัก เห็นเฉิงเจียวเหนียงคีบเนื้อกระต่ายใส่ในหม้อ นางก็ทำตาม

ในห้องพักชั้นหนึ่งมีไอและกลิ่นหอมหวนล่องลอย เสียงเป่าของสาวใช้และเสียงพูดของเฉิงเจียวเหนียงดังขึ้นเป็นพักๆ

“ร้อน ใส่ในน้ำจิ้มให้เย็นลงหน่อย”

“อื้มๆ อร่อย อร่อยเจ้าค่ะ”

“ไม่ถือว่าอร่อยนัก ไม่มีเหล้าชั้นดี”

“นายหญิง นี่เรียกเป็นการกินแบบใดเจ้าคะ”

หลังจากเงียบไปสักพัก

“ปอสยาก่ง” เฉิงเจียวเหนียงมองดูผักและเนื้อในหม้อที่เดือดพล่าน แล้วพูดสามคำนี้ออกมาอย่างช้าๆ

เหล้าถ้วยหนึ่งดื่มหมดไปอย่างช้าๆ นายเฉินสี่ยังมีความรู้สึกไม่หายอยาก แต่จำเป็นต้องเร่งเดินทาง รอให้ท่านพ่อหายจากโรคแล้ว พวกเขาพี่น้องจึงจะได้ดื่มกันจนพอใจได้จริงๆ

เหล่าผู้ติดตามเริ่มเก็บของใส่รถม้าแล้ว

“ทั้งผักทั้งเนื้อทั้งเหล้าซื้อมามากมาย ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะกินหมด” ผู้ติดตามกล่าวกับนายเฉินสี่เสียงแผ่วเบา

ไม่ได้ออกมาจากหม้อเดียวกัน แยกกันผัดต้องใช้เวลามากนัก

นายเฉินสี่ส่ายหน้า เพิ่งจะอยากเอ่ยปากพูด เสียงประตูทางนั้นก็ดังขึ้น เห็นเฉิงเจียวเหนียงและสาวใช้เดินออกมา

“นายหญิง กินเสร็จแล้วหรือ” นายเฉินสี่เอ่ยถามด้วยความตกใจเล็กน้อย

“เจ้าอยากให้ข้ากินเสร็จ หรือกินไม่เสร็จเล่า” เฉิงเจียวเหนียงใช้มือข้างหนึ่งสวมหมวก แล้วมองเขาเล็กน้อยพร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อ

นี่เรียกคำพูดอะไรกัน! หญิงผู้นี้ พูดจาห้วนเกินไปแล้ว…

นายเฉินสี่ทำหน้าเหยเก พ่อบ้านเฉาด้านข้างอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

เจ้าไม่ได้ใส่ใจว่าคนอื่นเขากินเสร็จหรือยัง เจ้าแค่ใส่ใจว่าออกเดินทางได้หรือยัง แล้วยังจะมาถามให้มากความอีก หาเรื่องใส่ตัวเสียจริง

ท่านชายฉินพูดถูกจริงๆ สำหรับหญิงผู้นี้แล้วต้องตามใจให้นางทำสิ่งที่อยากทำ ห้ามพูดมากความ

มองดูหญิงผู้นั้นและสาวใช้ขึ้นรถไปแล้ว นายเฉินสี่ก็ส่ายหน้าหัวเราะเยาะตนเอง

“ยังกินไม่เสร็จจึงได้โมโหใส่ข้าล่ะสิ” เขากล่าว อดไม่ได้ที่จะเดินไปห้องพักชั้นหนึ่งนั้นยื่นมือไปเปิดประตู “ดูหน่อยว่ายังเหลืออาหารเท่าไร ห่อไปกินระหว่างทางแล้วกัน…”

เสียงเขาหยุดลงหลังจากเปิดประตูออก

ในห้องพักชั้นหนึ่งนั้น บนโต๊ะเตี้ยรอบด้านวางอาหารมากมายลานตา ตรงกลางมีหม้อทองแดงเตาถ่าน สองข้างมีจานชามวางเรียงรายอยู่สี่ห้าจาน จานอาหารบนพื้นด้านข้างมีพวกขวดโถเล็กๆ จัดวางอยู่ เวลานี้ไฟถ่านยังไม่ดับ บนหม้อยังมีไอลอยอยู่ แต่ในถ้วยชามนั้นล้วนว่างเปล่า

กลิ่นหอมในห้องลอยเตะจมูก

นายเฉินสี่อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้า

ช่างหอมเสียจริง

มากมายเพียงนั้นกินหมดเลยหรือ

เขาสีหน้าประหลาดใจ กินหมดได้อย่างไร

ซื้อทั้งเนื้อทั้งผักเยอะแยะ ทั้งทำทั้งกิน แต่กลับเสร็จพร้อมพวกเขาหรือ

“พวกเจ้าทำอะไรให้นางกินหรือ” นายเฉินสี่เอ่ยถาม มองดูคนงานที่เดินมาเตรียมเก็บจานชาม

“พวกข้ามิได้ทำขอรับ นายหญิงเพียงแต่ให้พวกข้าชำแหละและล้างเนื้อกระต่ายให้สะอาด นำน้ำมันเกลือซีอิ๊วน้ำส้มสายชูมีดกรรไกรมาให้ จัดวางหม้อและจานชามเท่านั้นขอรับ” คนงานโค้งตัวกล่าวแล้วมองข้างในด้วยความอยากรู้เช่นกัน

หรือว่านายหญิงผู้นี้กินอาหารดิบหรือ

นายเฉินสี่ยังอยากถามอีก แต่ผู้ติดตามข้างนอกเข้ามาอยากนอบน้อมส่งสัญญาณว่าคนพร้อมกันแล้ว รอเขาออกคำสั่งเพื่อออกเดินทาง

ยังบอกว่าต้องรอคนอื่น สุดท้ายทุกคนต่างก็รอตนอยู่

นายเฉินสี่ส่ายหน้าไม่สอบถามอีกรับเสื้อคลุมมาสวมแล้วเดินออกไป

ขบวนคนและรถม้าเดินแห่ออกไป

หลังจากนั้นไม่นาน ในห้องพักชั้นหนึ่งนั้น มีเสียงตะโกนดังออกมา ทำเอาคนงานที่เก็บจานชามอยู่ห้องข้างนอกตกใจไปหมด

“ช่างอร่อยเสียจริง! วิธีกินนี้ช่างเยี่ยมยอดนัก!”

แอบกินอาหารเหลือของแขก ทั้งยังกินอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ พ่อหนุ่มนี่ไม่อยากทำงานแล้วสินะ

เหล่าคนงานมองดูเจ้าของโรงเตี๊ยมเดินจากโต๊ะเก็บเงินแล้วเดินพุ่งเข้าไป

“เจ้าหมอนี่…เอ๊ะ เจ้าหมายความว่า ใส่ในหม้อทั้งหมดแล้วกินหรือ…เช่นนั้นรสชาติก็ผสมปนเปไปหมดจะอร่อยได้อย่างไร…”

“เถ้าแก่ท่านลองชิมดู ท่านลองชิมดู…”

“…ช่างอร่อยเสียจริง…ยอดเยี่ยม…ยอดเยี่ยม…ให้คนในครัวมานี่ มาดูว่าทำอย่างไร กินอย่างไรกัน…”

เมื่อเห็นประตูเมืองเมืองหลวง ก็ใกล้เวลาพลบค่ำแล้ว บนท้องถนนยังคงมีผู้คนมากมายจอแจ

“ถึงแล้ว ในที่สุดก็ถึงแล้ว”

หน้าประตูเมืองนั้น คนของบ้านตระกูลเฉินที่ได้รับข่าวก่อนแต่แรกแล้วออกมาต้อนรับ

“น้องสี่!”

“พี่รอง พวกท่านก็มาหรือ”

นายเฉินสี่กระโดดลงจากม้า มองดูลูกพี่ลูกน้องที่มารับ หากไม่มีบ่าวขี่ม้าเร็วไปกลับคอยส่งข่าวไว้ก่อนจึงได้รู้อาการของท่านพ่อ เขาคงไม่กล้าพบท่านพี่เป็นแน่

“ท่านพ่อข้าเขา…” แต่นายเฉินสี่ก็ยังจับมือท่านพี่แล้วเอ่ยถามเสียงสั่นเครือ

“รีบไป รีบไปเร็วเข้า” นายรองเฉินก็กล่าวเสียงสั่นเครือเช่นกัน “ไม่ใช่เวลาคุยกันแล้ว”

นายเฉินสี่อดความปิติไว้แล้วรีบขึ้นม้า ผู้ติดตามตะโกนให้เปิดทาง

ในขณะเดียวกัน ข้างทางนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งมองมาด้วยเช่นกัน

หนุ่มน้อยชุดดำท่าทางอาจหาญยืนกอดอกอยู่ หนุ่มน้อยเสื้อดำสีไล่นั่งอยู่บนแคร่ ท่ามกลางผู้คนวุ่นวายนั้นช่างสะดุดตายิ่งนัก

“ท่านชาย!”

พ่อบ้านเฉาดึงม้าแล้วตะโกนเรียก กำลังจะลงจากม้า

ท่านชายโจวหกโบกมือให้เขาด้วยความเคร่งขรึม

พ่อบ้านเฉารีบนั่งนิ่งอยู่บนม้า

“รีบไป ท่านพ่อท่านแม่อยู่ที่จวนตระกูลเฉินแล้ว” ท่านชายโจวหกกล่าว

พ่อบ้านเฉาขานรับ คนตระกูลเฉินข้างหน้าวิ่งไปอย่างเร็วไว เขาไม่กล้ารอช้า คุ้มกันรถม้าของเฉิงเจียวเหนียงตามติดไป

ตั้งแต่แรกจนสุดท้าย รถม้าคันนั้นไม่ได้เปิดช่องออกเลยสักนิด อีกยังไม่มีคนเปิดม่านออกมาดูด้วย

“ช่างวางมาดเสียจริง” ท่านชายโจวหกกล่าวด้วยน้ำเสียงเคืองโกรธ

“น่าจะเป็นคนเงียบสงบยิ่งนัก” ท่านชายฉินกล่าว แล้วยิ้มมุมปาก “ข้ากลับหวาดกลัวเล็กน้อย”

สายตาของเขามองตามรถม้าคันนั้นไป ถึงแม้สีหน้าจะผ่อนคลายดั่งที่ผ่านมา แต่มองดูให้ดีแล้วในดวงตานั้นมีความกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นนัก

เป็น หญิงสาวแบบใดกัน

รถม้าเข้าประตูเมืองแล้ววิ่งออกไปไกลหายไปกับฝูงชนจนมองไม่เห็นอย่างรวดเร็ว

……………………………………………………