บทที่ 167 หญิงจอมล่อลวง + บทที่ 168 ถ้าหากไม่มีหลักฐาน ก็หุบปากเสีย

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 167 หญิงจอมล่อลวง + บทที่ 168 ถ้าหากไม่มีหลักฐาน ก็หุบปากเสีย Ink Stone_Romance

บทที่ 167 หญิงจอมล่อลวง

หยางชุ่ยจับแขนข้ารับใช้ข้างกายนาง ด้วยเหตุที่ข้ารับใช้ผู้นี้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อบาง จึงทำให้เล็บของหยางชุ่ยจิกเข้าไปในเนื้อจนทำเอานางขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด “มันเจ็บเจ้าค่ะ”

“มันก็ต้องเจ็บอยู่แล้ว นางจิ้งจอกนั่น นางกล้าดีอย่างไรจึงมายั่วยวนสามีของข้า ข้าจะฆ่ามัน”

สาวรับใช้เห็นสายตาอันมุ่งร้ายของหยางชุ่ยแล้วก็ตัวแข็งค้างด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นข้ารับใช้ผู้มีทีท่าหวาดกลัว หยางชุ่ยก็โยนนางออกไปด้วยความขยะแขยง

นางเฉินเห็นบุตรสาวของนางอารมณ์ไม่ดี ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้น?”

“ท่านแม่ ข้ารู้สึกกลุ้มใจนัก”

“เรื่องอะไรกัน? เหตุใดลูกเขยข้าจึงกลับไปแล้วล่ะ? ไม่ใช่ว่าเขาบอกว่าจะพักอยู่ที่นี่สักสองสามวันหรอกหรือ?” นางอุตส่าห์วางแผนเสียดิบดีว่าจะไปอวดชาวบ้านอย่างไร แต่ใครจะคิดว่าเขานั้นกลับไปก่อนแล้ว

เมื่อกล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้น หยางชุ่ยก็ขึ้นเสียงอย่างฉุนเฉียว “ท่านแม่ ทั้งหมดมันเป็นความผิดของหนิงเมิ่งเหยา! นางจิ้งจอกผู้นั้น!”

“เอ๋? เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับหนิงเมิ่งเหยาด้วยรึ?” นางเฉินขมวดคิ้วและเอ่ยถาม

หยางชุ่ยกัดริมฝีปากของตนและเล่าแผนการของนางให้นางเฉินฟัง

นางเฉินเงียบเสียงลงก่อนใช้นิ้วจิ้มใส่ศีรษะของหยางชุ่ย “เจ้าคิดอะไรอยู่? เจ้ายังไม่ทันทำให้หลี่เวยตกหลุมรักเจ้าจนโงหัวไม่ขึ้นเลย แล้วก็ยังไม่ได้มีลูกให้คอยพึ่งพิงอีก เหตุใดเจ้าจึงทำเรื่องเช่นนี้ลงไป มันมีแต่จะทำให้เขาเลิกเอาใจเจ้า เหตุใดเจ้าจึงโง่เขลาเช่นนี้?”

บุตรสาวผู้แสนโง่เง่าเบาปัญหาของนางผู้นี้คงเป็นจุดจบในชีวิตนางแน่ๆ หากว่านางทำเรื่องนี้ลงไปตอนที่ตนท้องอยู่ เช่นนั้นแล้วนางเฉินก็คงไม่ต้องบ่นอะไร แต่หญิงผู้นี้กลับกระทำการล่วงหน้าไปก่อนโดยที่ตัวเองยังไม่ท้องเลย เพราะเหตุนี้นางเฉินจึงโมโหมาก

หลังจากหยางชุ่ยเห็นความหมกมุ่นในตัวหนิงเมิ่งเหยาของหลี่เวย นางก็เริ่มเสียใจในการกระทำของตัวเองบ้างแล้ว และบัดนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกเสียใจขึ้นอีก

เรื่องมันเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้นางนั้นไม่ได้ไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน เมื่อมาถึงตอนนี้มันก็สายเกินกว่าจะมาเสียใจแล้ว

“ท่านแม่ ข้าควรจะทำเช่นไรดี?” หยางชุ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ

“เจ้าเพิ่งมารู้จักกังวลเอาตอนนี้หรือ? เช่นนั้นแล้วเหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนั้นลงไปเล่า?” นางเฉินจ้องบุตรสาวของนางด้วยความโกรธเคือง

“ท่านแม่…”

“พอ ข้ารู้แต่ว่าการจะหยุดหลี่เวยในตอนนี้นั้น คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เขาคงหลงนางเข้าเต็มเปาแล้ว” นางเฉินช่วยหยางชุ่ยวิเคราะห์สถานการณ์

แน่ละ หยางชุ่ยเองก็รู้เรื่องนี้ดี สิ่งที่นางต้องการจะรู้นั้นคือวิธีในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ต่างหาก

นางเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนพูดกับนางว่า “เราจะกระจายข่าวให้ชาวบ้านได้ยิน แต่เจ้าต้องแสดงบทบาทของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายตอนที่เราพูดถึงเรื่องนี้กัน เข้าใจใช่ไหม?”

หยางชุ่ยคิดตามจนเข้าใจในที่สุด ด้วยวิธีนี้ นอกจากจะทำให้ชาวบ้านรู้สึกว่าหนิงเมิ่งเหยาเป็นหญิงไร้ยางอายแล้ว มันยังสามารถทำให้หนิงเมิ่งเหยารู้สึกรังเกียจหลี่เวยมากขึ้นจนชอบเขาไม่ลงอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นคงจะเป็นการยากสำหรับหนิงเมิ่งเหยาที่จะคล้อยตามคารมของหลี่เวยได้ และในระหว่างนั้น หยางชุ่ยจะได้ตั้งท้องกับเขา รวมถึงได้รับความรักจากหลี่เวยกลับมาอีกครั้ง แต่หากสุดท้ายแล้วเขาจะยังต้องการตัวหนิงเมิ่งเหยาอยู่ บางทีนางอาจจะช่วยเขาในการเอาตัวนางมาก็ได้ ใครจะรู้? บางทีนางอาจจะได้รับความนิยมชมชอบจากหลี่เวยมากขึ้นอีกก็ได้

ด้วยแนวคิดเช่นนั้น หยางชุ่ยก็พยักหน้าเป็นการตกลง “ถ้าเช่นนั้น ท่านแม่ เราจะจัดการตามนั้น”

“ตอนนี้เจ้ามากับข้า” นางเฉินดึงหยางชุ่ยออกไปนอกบ้าน

หลังจากออกไป นางเฉินก็คร่ำครวญโดยไร้น้ำตา พลางเล่าว่าหนิงเมิ่งเหยานั้นเป็นหญิงจอมล่อลวง อีกทั้งยังเล่าว่านางไร้ยางอายนัก กล้าถึงขนาดยั่วยวนลูกเขยของนาง ทั้งๆ ที่ตนก็หมั้นหมายอยู่แล้ว

หยางชุ่ยกัดริมฝีปากตัวเอง และดวงตาของนางก็พร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำตา นางมีท่าทีราวกับเพิ่งโดนทำร้ายจิตใจมาอย่างหนัก แต่ดูเหมือนว่าจะมีก็แต่ผู้ที่ไม่สนใจเท่านั้นจึงจะคิดเช่นนั้นได้

ชาวบ้านซึ่งเดินผ่านไปมาเห็นพวกนางโวยวาย จึงอดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “เจ้าบอกว่าเมิ่งเหยาไปยั่วยวนลูกเขยเจ้าหรือ น่าแปลกใจนัก วันนี้ไม่มีผู้ใดเห็นเมิ่งเหยาในหมู่บ้านเลย นางไปยั่วยวนลูกเขยเจ้าจริงๆ น่ะหรือ?”

การรำพึงรำพันทั้งน้ำตาของนางเฉินชะงักในทันที นางไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปเช่นไร

เมื่อเห็นดังนั้น หยางชุ่ยก็เริ่มกังวลว่าแผนการของพวกเขาจะล่มไม่เป็นท่า ดังนั้นนางจึงรีบอธิบายเสียงเบา “สามีของข้าให้ข้าพาชมหมู่บ้าน แล้วจากนั้น….”

หยางชุ่ยตั้งใจพูดไม่จบประโยคเพราะต้องการให้คำพูดของนางนั้นฟังดูคลุมเคลือ

คำพูดเช่นนี้จะทำให้ดูเหมือนว่าหนิงเมิ่งเหยาตั้งใจเดินเข้ามาหาพวกเขาและยั่วยวนสามีของนาง

ชาวบ้านมองหน้ากัน พวกเขาไม่เชื่อว่าหนิงเมิ่งเหยาจะทำอะไรเช่นนี้ได้

หนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่างแวะมาที่หมู่บ้านและเอาเนื้อไปให้บ้านของหยางจู้ พอมาถึงถนน พวกเขาก็ได้ยินใครบางคนกำลังพูดถึงหนิงเมิ่งเหยาในทางเสียๆ หายๆ อยู่ และเสียงนั้นก็ฟังดูคุ้นหูยิ่งนัก

สายตาของเฉียวเทียนช่างพลันกลายเป็นเย็นชา “เหยาเหยาอยู่กับข้าตลอดทั้งวัน เจ้าบอกว่านางไปยั่วยวนสามีของเจ้าหรือ เช่นนั้นก็แสดงหลักฐานมาสิ”

บทที่ 168 ถ้าหากไม่มีหลักฐาน ก็หุบปากเสีย

เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด ฝูงชนก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นี่เป็นเรื่องของการใส่ร้ายป้ายสี อย่างไรเสีย คู่ของหนิงเมิ่งเหยาต่างก็รักใคร่กันมากและไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ การที่ใครบางคนพยายามจะใส่ร้ายพวกเขานั้นจึงนับว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้

“ข้าจะบอกอะไรให้ หยางชุ่ย ถึงเจ้าจะได้แต่งงานกับชายที่ไม่เลวนัก แต่เจ้าก็ไม่ควรไปใส่ความผู้อื่น”

“ใช่แล้ว เหตุใดเจ้าจึงชอบหาเรื่องเมิ่งเหยานัก? นางไม่ได้ไปทำอะไรให้เจ้าเสียหน่อย”

ผู้เฒ่าผู้แก่สองสามคนออกความเห็น ทำให้แม่ลูกทั้งสองลืมคำพูดที่ตนเตรียมจะพูดไว้ไปจนหมด

หนิงเมิ่งเหยามองหยางชุ่ยอย่างไม่เต็มใจนัก “ข้าไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าข้าไปทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจจนเจ้าต้องเอาแต่มาหาเรื่องข้าเช่นนี้ด้วย”

“ใช่ๆ น้องชุ่ย เจ้าควรใช้ชีวิตให้อยู่ในทำนองคลองธรรมนะ”

“พวกเจ้าทุกคน หุบปาก! เลิกเข้ามายุ่งเสียที” หยางชุ่ยโกรธจัด ตอนนี้นางเป็นถึงผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ ผู้ใดที่กล้าทำให้นางไม่พอใจ นางจะทำให้พวกเขาถูกไม้โบยเสียให้หมด

หลินจือจือมองหยางชุ่ยพร้อมมุมปากที่ขยับขึ้นเหมือนรอยยิ้ม “โอ้? พวกเรากลัวกันจนตัวสั่นเชียว”

“นั่นน่ะซี! เจ้าดูพวกเราสิ! กลัวจนหัวหดแล้ว” เป็นที่แน่นอนว่าฝูงชนต่างก็เข้าใจความหมายซึ่งหยางชุ่ยจะสื่อ

ทว่า นางแต่งกับบุตรชายของท่านเจ้าเมืองในฐานะอนุภรรยามิใช่หรือ? แล้วมันมีอะไรวิเศษวิโสนักเล่า?

เฉียวเทียนช่างยืนอยู่ข้างๆ เฝ้ามองหนิงเมิ่งเหยา เขาไม่ได้กล่าวอะไรออกมา ทำเพียงแต่มองหนิงเมิ่งเหยาด้วยสายตาประคบประหงมโดยไม่ละสายตาออกจากนางเลยแม้แต่วินาทีเดียว

ทั้งสองสนิทสนมกันมากถึงเพียงนี้ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน หากมองในมุมนั้นการที่พวกเขาสนิทกันเช่นนี้อาจจะเป็นการไม่เหมาะสมเท่าใดนัก แต่เมื่อคิดว่าทั้งสองนั้นเป็นเพียงเด็กกำพร้า ก็นับว่าเป็นเรื่องดีแล้วที่ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่นั้นไม่เลวร้ายนัก อย่างไรเสียพวกเขาก็คงจะแต่งงานกันในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน

หยางชุ่ยยิ้มเย็นและจ้องมองเฉียวเทียนช่าง “สรุปว่าเจ้าก็ยังช่วยพูดแทนนางสินะ สมกับเป็นนางจิ้งจอกจอมตะกละนัก นางยั่วยวนสามีของข้าจริงหรือไม่ เฉียวเทียนช่าง เจ้าคงรู้ดีแก่ใจที่สุด”

“เจ้าเอาแต่บอกว่าเหยาเหยาไปยั่วยวนสามีของเจ้า เช่นนั้นก็แสดงหลักฐานมาสิ” เฉียวเทียนช่างไม่พูดอ้อมค้อมและยิงคำถามไปตรง ๆ

หยางชุ่ยสะอึก หลักฐาน? นางไม่มีอะไรจะแสดง

“อะไรเล่า? เจ้าไม่มีหลักฐานสักชิ้นหรือ? ถ้าหากไม่มี เช่นนั้นก็หุบปากเสีย” เฉียวเทียนช่างมองหยางชุ่ยด้วยความรังเกียจ เขารู้สึกขยะแขยงหญิงผู้นี้ยิ่งนัก

หยางชุ่ยมองเฉียวเทียนช่างตาไม่กะพริบ สีหน้านั้นของนางจัดว่าน่าเกลียดน่ากลัวยิ่ง

“เฉียวเทียนช่าง แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ” หยางชุ่ยจ้องเขม็งไปยังเฉียวเทียนช่าง นางสะบัดมือของนางเฉินออกก่อนเดินเข้าบ้าน

เมื่อบุตรสาวของตนกลับเข้าไป นางเฉินก็รู้ว่าหากนางยังอยู่ต่อ ก็รังแต่จะเชื้อเชิญเอาความอับอายให้เข้ามาหาตัว ดังนั้นจึงตามนางกลับไป ถ้อยคำสบประมาทจากชาวบ้านนั้นล้วนทำให้ใบหน้าของนางรู้สึกร้อนฉ่า

พอเห็นบุตรสาวของตนซึ่งนั่งอยู่ตรงลานบ้านมีท่าทีหัวเสียและคับแค้นใจ หัวใจของนางก็พลอยปวดร้าวไปด้วย “มันจะต้องมีหนทางแน่ อย่ากังวลไปเลย”

หยางชุ่ยส่งเสียงตอบรับในลำคอ แต่ไม่ได้เอ่ยอะไร

โอกาส? นางต้องการสิ่งที่เรียกว่า ‘โอกาส’ นี้ ทว่ายิ่งคิดนางก็ยิ่งอยากเห็นหนิงเมิ่งเหยามาคุกเข่าอยู่ใต้เท้านางนัก

การทำให้คนแบบนั้นคุกเข่าลงได้ คงจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อย

“ลูกสาวสุดที่รักของข้า ไม่ใช่ว่านางนั้นมีธุรกิจอยู่หรือ?” พลันนางเฉินก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้

“ข้ารู้ แล้วมันทำไมกันเล่า?”

“ฟังข้า ชุ่ยเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงหัวทึบเช่นนี้? ถ้าหากนางอยากจะทำธุรกิจต่อ นางจะต้องทำเรื่องผ่านใครกัน?” นางเฉินเตือนให้นางนึกได้

หยางชุ่ยคิดทบทวน แล้วก็เข้าใจความหมายของนางเฉิน ใช่แล้ว หากหนิงเมิ่งเหยาต้องการจะทำสิ่งใด นางจะต้องได้รับอนุญาตก่อน ตราบใดที่หยางชุ่ยมีหลี่เวยคอยช่วยอยู่ เช่นนั้นแล้วนางก็น่าจะหาทางล้างแค้นได้มิใช่หรือ?

“ท่านแม่ ข้ารู้แล้วว่าตอนนี้ต้องทำเช่นไร”

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ควรพักผ่อนอยู่ที่นี่ต่อให้สบายใจ แล้วปล่อยให้แม่ลองหาความคิดดีๆ ไว้ให้เจ้าดีกว่า ยามที่เจ้ากลับไป เมื่อเวลานั้นมาถึงเจ้าจะได้จัดการเรื่องนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีโดยไม่ต้องเปลืองแรงนัก” นางเองก็อยากจะทำลายหนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่างทิ้งเสีย ด้วยวิธีนี้ ตระกูลของนางก็จะได้เป็นตระกูลร่ำรวยเพียงตระกูลเดียวแห่งหมู่บ้านไป๋ซาน

ตระกูลร่ำรวยนั้นมีเพียงแค่ตระกูลเดียวก็เพียงพอแล้ว หากมีถึงสองตระกูลนั้นมันมากเกินไป

แรกเริ่มเดิมที่หยางชุ่ยนั้นอยากจะกลับไปในประเดี๋ยวนั้น แต่ท้ายที่สุดแล้วนางก็ตัดสินใจที่จะพักอยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองสามวันก่อนกลับ นางอยากเห็นว่าในช่วงสองสามวันนี้ หลี่เวยจะให้ความสนใจในเรื่องของหนิงเมิ่งเหยามากเพียงใด

แต่นางคิดไม่ถึงว่าทันทีที่หลี่เวยกลับถึงบ้าน เขาจะเริ่มตรวจสอบประวัติของหนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่างในทันที ด้วยเพราะเขารู้สึกว่ามันมีบางอย่างน่าสงสัย

จากการตรวจสอบที่เขาเจอ ดูเหมือนว่าทั้งสองจะมาจากเมืองหลวง ซึ่งที่นั่นมีเพียงตระกูลเดียวเท่านั้นที่ใช้แซ่เฉียว เขาไม่แน่ใจนักว่าเฉียวเทียนช่างมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลนั้นหรือไม่ แต่ถ้าหากเขามีความเกี่ยวพันกับตระกูลนั้นจริงๆ เช่นนั้นแล้ว ถึงแม้ว่าจะเอาคนทั้งตระกูลของตนมาช่วย ก็คงจักไม่พอ