ตอนที่ 58 ประชันความงาม

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 58 ประชันความงาม

หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่าได้ขึ้นรถม้าไปแล้ว ทุกคนก็ทยอยเดินขึ้นรถม้า เพื่อเดินทางไปร่วมงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิที่วังหลวง โดยที่หลี่ซื่อและอันหลิงอีนั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกัน ทางด้านเจิ้งซื่อและอันหลิงเฉ่วนั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกัน ในส่วนหวังซื่อนั้นมิมีบุตรีจึงนั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกับอันหลิงเกอแทน

ในครั้งนี้อันหลิงเกอเข้าวังเป็นครั้งที่สองตั้งแต่กลับชาติมาเกิดใหม่ นางนั่งหลังตรงอยู่บนรถม้า โดยมีขนมและผลไม้ชนิดต่าง ๆ ที่น่าดึงดูดสายตาวางไว้บนโต๊ะ

หวังซื่อเมื่อเห็นเช่นนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบเค้กถั่วแดงชิ้นหนึ่งเข้าปาก พอกินเสร็จก็นำผ้าเช็ดหน้ามาซับมุมปาก แสดงสีหน้าพึงพอใจกับขนมที่ทานเข้าไป

“เค้กถั่วแดงของเมืองหลวงกับเค้กถั่วแดงของทางใต้ ถึงแม้จะมีรูปร่างที่ต่างกัน แต่ก็มีรสที่อร่อยเหมือนกัน”

อันหลิงเกอเพิ่งรู้ว่าครอบครัวของหวังซื่อมีพื้นเพมาจากทางใต้ นางนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ก็เกิดคล้อยตาม และเอ่ยถามอย่างมิใส่ใจไปว่า “ที่แท้อาสะใภ้รองเป็นคนทางใต้หรอกรึเจ้าคะ?”

“ใช่ ตระกูลหวังเป็นตระกูลที่มั่งคั่งในทางใต้เลยนะ หากวันไหนมีโอกาส อาจะพาเจ้าไปเที่ยวเล่นที่ทางใต้”

หวังซื่อพยักหน้ารับ แล้วกล่าวออกมาด้วยสีหน้าท่าทางที่ค่อนข้างเย่อหยิ่ง

ตระกูลของนางถือได้ว่าเป็นตระกลูร่ำรวยที่สุดตระกูลหนึ่งเลยก็ว่าได้  แค่คนในตระกูลมิมีใครเป็นขุนนาง เพื่อความพัฒนาและก้าวหน้าในระยะยาว จึงให้บรรดาบุตรสาวแต่งงานกับขุนนางทั้งหมด มิว่าจะเป็นอนุหรือแต่งงานกับพ่อหม้าย ก็ถือว่าได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับทางการ

พี่น้องผู้หญิงในตระกูลก็มีเพียงแต่นางที่มีชาติกำเนิดดี เป็นบุตรสาวที่เกิดจากภริยาเอกเพียงคนเดียว ดังนั้นนางจึงมีสิทธิที่จะเลือกแต่งงาน  จนได้แต่งงานมาเป็นภริยาเอกของอันอิงหาว

แม้ว่าอันอิงหาวจะเป็นเพียงคนเกียจคร้าน แต่เขามีพี่ชายใหญ่ที่เป็นท่านโหว ตระกูลหวังจึงตอบตกลงงานแต่งเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์นี้

นอกจากความเจ้าชู้มักมากของอันอิงหาวแล้ว การแต่งงานครั้งนี้ของนางก็ถือว่าสมบูรณ์แบบ

ทางใต้เยี่ยงนั้นรึ ?

อันหลิงเกอครุ่นคิดคำนี้อยู่ในใจ รู้สึกเพียงว่าหัวใจเริ่มระส่ำระส่ายเต้นแรง นางจำได้ว่าเมื่อชาติก่อนนี้  จู่ ๆ ก็เกิดโรคระบาดรุนแรงที่ทางใต้ โรคระบาดรุนแรงจนสายเกินไปที่จะต้านทานได้ เพียงเวลามิกี่วันก็มีผู้คนเสียชีวิตนับหมื่น

ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทรงพิโรธมาก  จึงส่งขุนนางและแพทย์หลวงกลุ่มหนึ่งไปรักษาโรคระบาด แต่สุดท้ายแล้วทุกคนก็กลับมาด้วยความสิ้นหวัง

แต่จะมีหมอเทวดาผู้หนึ่งที่รักสันโดษที่จะสามารถคิดหายารักษาโรคระบาดได้ เป็นเหตุโรคระบาดนั้นถึงได้ถูกควบคุมและบรรเทาลงได้

ถ้าลองคิดตริตรองดูอย่างถ้วนถี่แล้ว  ดุเหมือนว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นภายในปีนี้

อันหลิงเกอใจลอยคิดไปเรื่องอื่น  แต่ใบหน้ายังคงสงบนิ่งมิไหวติง นางยิ้มให้หวังซื่อแลดูค่อนข้างสนิทสนมกัน

“ถ้าเช่นนั้นก็ต้องรบกวนท่านอาสะใภ้รองแล้วเจ้าค่ะ”

หวังซื่อโบกมือไปมาแล้วหยิบลูกพรุนที่อยู่ด้านข้างมากินอีก ซึ่งนางเองก็มิรู้ว่าด้วยเหตุใด หลายวันมานี้นางกินเข้าไปเยอะมาก แต่ดูเหมือนกินเข้าไปมากเท่าไหร่ก็มิรู้สึกอิ่ม

อันหลิงเกอได้แต่ครุ่นคิดเกี่ยวกับโรคระบาดที่เกิดขึ้นทางใต้ จึงมิได้สังเกตเห็นความผิดปกติของหวังซื่อ คิดเพียงว่าหวังซื่อคงชอบขนมมอบเหล่านี้เอามาก จึงมิได้เก็บเอามาใส่ใจ

ภายในรถม้ามีเพียงเสียงขบเคี้ยวของหวังซื่อคนเดียว  และเสียงล้อรถม้าที่มิดังมิเบากล่อมอยู่ตลอดทาง จึงเป็นเหตุให้รู้สึกง่วงนอน อันหลิงเกอหลับตาลง เอนกายลงบนเบาะนุ่มที่อยู่ข้างกาย

หลังจากผ่านไปสักประมาณ 1 เค่อ ในที่สุดรถม้าก็มาถึงหน้าประตูวังหลวง

เนื่องจากเป็นงานเลี้ยงในฤดูใบไม้ผลิของพระราชวัง บรรดาเจ้านาย เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงและขุนนางระดับสูงต่างพาฮูหยินและบุตรสาวมาร่วมงานเลี้ยงนี้  เพียงแค่ภายในงานเลี้ยงแบ่งแยกชายหญิงเอาไว้อย่างชัดเจน

เมื่ออันหลิงเกอก้าวลงจากรถม้า ก็สังเกตเห็นสายตาที่จ้องมองมาทางตนอย่างแผดเผาอยู่ทางด้านข้าง

นางหันมองตามสายตาคู่นั้น ก็พบกับมู่จวินฮานที่ถูกชายหนุ่มหลายคนรายล้อมอยู่ แต่ดวงตาหงส์เรียวยาวที่สวยงามและทรงเสน่ห์กลับหันมองมาทางตนและส่งยิ้มหว่านเสน่ห์มาให้

มู่จวิฮานที่รูปร่างสูงใหญ่กว่าผู้อื่นเล็กน้อยและดูดีมากอีกด้วย เพียงแค่ยืนอยู่นิ่ง ก็ดึงดูดความสนใจของสตรีผู้สูงศักดิ์หลายคนไปแล้ว

เมื่อเห็นเขายิ้มในเวลานี้ หญิงสาวหลายคนก็พากันหน้าแดงด้วยความเขินอาย จึงรีบหลบสายตามิกล้ามองอีก

“คุณชายท่านนั้นรูปงามมากยิ่งนัก”

มิรู้ว่าอันหลิงเฉ่วเข้ามาใกล้อันหลิงเกอตั้งแต่เมื่อไร อันหลิงเกอรู้สึกตัวก็เพราะนางเอ่ยชมมู่จวินฮานออกมา  จากนั้นก็สะกิดแขนของอันหลิงเกอเบา ๆ แล้วกล่าวเสียงกระซิบว่า “พี่หญิงเจ้าคะ  ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านผู้นั้นเป็นใครกันเจ้าคะ ? “

ใบหน้าที่งดงามน่ารักของนางแดงระรื่นขึ้น ท่าทีที่เขินอายเยี่ยงนี้ แค่อันหลิงเกอเห็นก็รู้ว่านางกำลังคิดอันใดอยู่

เป็นเหตุให้ภายในใจของอันหลิงเกอร้อนรุ่มขึ้นมาทันที บอกมิถูกว่าภายในใจของนางกำลังรู้สึกอันใดอยู่กันแน่ แต่ใบหน้ากลับมิได้แสดงอาการใดออกมา แล้วเอ่ยตอบอันหลิงเฉ่วออกไปว่า “คนผู้ นั้นคือมู่ซื่อจื่อ”

“ที่แท้เป็นคู่หมั้นของพี่หญิงนี้เอง”

อันหลิงเฉ่วอุทานออกมาเสียงเบา แววตาแฝงไปด้วยความความริษยา แต่ใบหน้ากลับมิได้แสดงอาการใดออกมา

“ช่างรูปงามยิ่งนักเจ้าค่ะ ถ้าพี่หญิงแต่งงานกับมู่ซื่อจื่อ จะต้องมีความสุขอย่างมากเป็นแน่เจ้าค่ะ”

“พี่ขอบใจน้องหญิงที่อวยพร”

อันหลิงเกอกล่าวพร้อมฉีกยิ้มส่งไปให้ และก็เห็นว่าอันหลิงเฉ่มีสีหน้าบึ้งตึงขึ้นทันตาตามที่นางคาดไว้จริง ๆ แต่เพียงพริบตาเดียวนางก็กลับมามีใบหน้ายิ้มแย้มดังเดิม

ในตอนนี้บริเวณหน้าพระราชวังมีเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ฮูหยินรวมไปถึงบุตรชายบุตรสาวมารวมตัวกันอยู่หน้าพระราชวัง เพื่อรอเจ้าหน้าที่ราชองครักษ์ตรวจสอบตัวตน การที่อันหลิงเกอและอันหลิงเฉ่วพูดคุยกระซิบกระซาบกันจึงมิได้ดึงดูดความสนใจของผู้ใด

หลังจากทุกคนจากจวนโหวผ่านการตรวจสอบทางด้านประตูทิศตะวันออกแล้ว ถึงได้เดินตามนางกำนัลเข้าไปในวัง

อันหลิงเกอมิแม้แต่จะชายตามองใคร เดินตัวตรงกิริยามารยาทของนาง เป็นเหตุให้นางกำนัลถึงกับอดชายตามองนางมิได้

เป็นที่รู้กันอยู่ว่าคุณหนูใหญ่อันแห่งจวนโหวได้สูญเสียมารดาผู้ให้กำเนิดไปตั้งแต่ยังเด็ก แต่กลับมีกิริยามารยาทดียิ่งกว่าท่านหญิงชาติกำเนิดสูงศักดิ์เหล่านั้นหลายเท่า ช่างน่าแปลกเสียจริง

ถ้าเปรียบกันแล้ว นางกำนัลจึงแอบมองสำรวจนางอย่างเงียบ ๆ เห็นสายตาที่ลุกลี้ลุกลนนั้นของอันหลิงเฉ่วสะดุดตาขึ้น จึงรู้ได้ทันทีว่านี่คือคุณหนูรองที่เพิ่งกลับมาจากบ้านเก่าของจวนโหว มิน่าล่ะ ดูมิสุภาพเรียบร้อยเอาเสียเลย ดูลักษณะกระโดกกระเดกอย่างเห็นได้ชัด

แม้ว่านางกำนัลจะครุ่นคิดภายในใจแต่ก็มิได้เดินไปผิดทาง ยังคงเดินนำทุกคนไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างถูกต้อง ก่อนจะทำความเคารพ และถอยหลังออกไป

เบื้องหน้าของอันหลิงเกอละลานตาเต็มไปด้วยเครื่องประดับเงินทองที่เปล่งประกายแวววาวของบรรดาสตรีสูงศักดิ์  ปลายจมูกเต็มไปด้วยกลิ่นหอมฉุน

อันหลิงเกอกวาดตามองไปรอบ ๆ เพื่อมองหาอี๋เฟยเพราะหวังต้องการจะพบหน้าน้องชายของตน แต่มิพบอี๋เฟย ยิ่งไปกว่านั้นก็มิพบอันหลิงจุนที่มักจะอยู่ข้างกายองค์ชายเก้าอีกด้วย

นางหลุบตาลงอย่างผิดหวัง แต่กลับเห็นกระโปรงยาวสีม่วงอ่อนเดินผ่านไป อันหลิงเกอจึงได้เงยหน้าขึ้นและสบตาเข้ากับอี๋เฟยพอดี

อี๋เฟยก็บังเอิญเห็นอันหลิงเกอเข้าพอดี จึงหยุดก้าวเท้าไปชั่วขณะหนึ่ง เมื่อนึกถึงเรื่องที่มีความขัดแย้งระหว่างนางกับอันหลิงเกอในวังเมื่อวันนั้นแล้วก็ปรับใบหน้าที่ตกแต่งอย่างสวยงามอ่อนหวานให้เคร่งขรึมขึ้นมาทันที จากนั้นนางก็เดินผ่านหน้าอันหลิงเกอไปราวกับว่ามองมิเห็นนาง

และเดินไปนั่งอยู่บนที่นั่งของตนเอง

อันหลิงเกอมิสนใจที่อี๋เฟยทำทีมิเห็นตัวเอง เพราะเยี่ยงไรเสียนางก็มิชอบอี๋เฟยอยู่ดี ทันใดนั้นนางกวาดสายตาไปท่ามกลามดูฝูงชนอย่างรีบร้อน ในเมื่ออี๋เฟยมาแล้ว องค์ชายก็ต้องมาและน้องชายของตนก็ต้องมา  และแล้วก็พบอันหลิงจุนอยู่กับองค์ชายเก้าซึ่งอยู่มิไกลอย่างที่คาดเอาไว้

อันหลิงเกอจ้องมองน้องชายของตนเองที่ดูเหมือนเขาจะผอมลงไปอีก แต่สีหน้าดูกระปรี้กระเปร่าอย่างเห็นได้ชัด  ก็คิดได้ว่าองค์ชายเก้าคงเพียงแค่แกล้งให้เขาอดอาหาร  แต่คงมิกล้ากลั่นแกล้งเขาอย่างโจ่งแจ้งเช่นเดิมอีกเป็นแน่

อันหลิงเกอนึกคิดมาถึงตอนนี้ก็รู้สึกดวงตาร้อนผ่าวขึ้นมา เป็นเหตุให้น้ำใส ๆ คลอขึ้นมาเล็กน้อย

เมื่อนึกถึงน้องชายแท้ ๆ จากมารดาคนเดียวกัน ที่ต้องมาทนทุกข์อยู่ในวังหลวง ก็ยิ่งมีความรู้สึก

ร้อนร้นที่อยากจะช่วยอันหลิงจุนออกมาจากวัง

อันหลิงอีที่กำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่   จู่ ๆ ขันทีก็ยืดคอยาวขึ้นร้องตะโกนว่า  “ฮวงโฮวเหนียงเหนียงเสด็จมาถึงแล้ว”