ตอนที่ 59 มาก่อนแต่ถึงทีหลัง

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 59 มาก่อนแต่ถึงทีหลัง

ขณะที่เสียงร้องตะโกนของขันทีดังขึ้น เหล่าฮูหยินและคุณหนูทั้งหมดก็มองไปในทิศทางเดียวกัน

 อี๋เฟยเองก็หยุดและหันไปจับจ้องมองไปที่ฮองเฮาเสด็จมา

รอบตัวฮองเฮาถูกห้อมล้อมไปด้วยกลุ่มนางกำนัลและขันที การแต่งกายด้วยชุดลายหงส์ที่สง่างาม วิจิตรงดงาม สวมมงกุฎหยกประดับไข่มุกหยกสีเขียวบนศีรษะ บนใบหน้าอันสง่างามกลับมิได้แสดงท่าทีใด ๆ ออกมา มีเพียงมุมปากที่ยิ้มขึ้นเล็กน้อย ผู้ใดได้พบเห็นต่างก็รู้สึกว่าลักษณะท่าทางที่ดูเคร่งขรึมและน่าเกรงขามของฮองเฮามิอาจไปล่วงเกินได้

พระนางทรงเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ ไปนั่งในที่ของนางอย่างมิเร่งรีบ จากนั้นก็กวาดสายตามองบรรดาฮูหยินและคุณหนูโดยรอบ จากนั้นจึงได้ยกยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน  แล้วทรงตรัสออกมาว่า

“วันนี้เป็นงานเลี้ยงในฤดูใบไม้ผลิ เป็นการเฉลิมฉลองเทศกาลที่สนุกสนาน ทุกท่านมิจำเป็นต้องเกรงใจข้า ตามสบายเถิด”

บรรดาฮูหยินและคุณหนูต่างพากันขานรับ และกลับมาพูดคุยกับสหายของตนเองดังเดิม แต่เพียงลดเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะลง

อี๋เฟยที่นั่งอยู่ด้านข้างฮองเฮา  นางก็หันมาคำนับฮองเอาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและนอบน้อมถ่อมตน และพูดคุยกับฮองเฮาอย่างมีจิตใจเอื้ออารีต่อกัน

อันหลิงเกอที่พบเห็นการแสดงละครฉากนี้ ก็รู้สึกรังเกียจนิสัยที่ประจบสอพลอของอี๋เฟยยิ่งนัก แต่บนใบหน้ากลับมิได้แสดงสีหน้าท่าทีออกมาให้เห็น

หลี่ซื่อพาอันหลิงอีมานั่งด้านข้าง แม้ว่าใบหน้าจะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ดวงตากลับสอดส่องมองไปท่ามกลางฝูงชน ดูเหมือนใจจะมิค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว คาดว่าคงจะกำลังมองหาหลี่กุ้ยเฟยอยู่เป็นแน่

ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่ามีท่าทีที่นิ่งเฉยมาก  แต่ก่อนนางก็เข้าร่วมงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิในวังหลวงอยู่หลายครา การกลับมาเมืองหลวงในครานี้ เมื่อได้พูดคุยกับสหายที่คบค้ากันมานานหลายปี ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดามากที่จะกล่าวถึง อนาคตการแต่งงานของบรรดาหลานชายหลานสาวของตน

“ตั้งแต่ท่านโหวคนก่อนจากไป เจ้าก็พาบุตรชายคนที่สองและสามไปอาศัยอยู่ที่บ้านเก่า ถ้าคำนวณคร่าว ๆ แล้ว พวกเรามิได้เจอกันมานานกว่าสิบปีแล้วกระมัง”

ฮูหยินท่านหนึ่งที่อยู่ในวัยเดียวกับฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มและได้เอ่ยปากทักทายขึ้น สายตาที่มองมาที่ฮูหยินผู้เฒ่านั้นแฝงไปด้วยความคิดถึงและปีติยินดี

เมื่อพบกับสหายเก่า  ก็เป็นเรื่องปกติที่ฮูหยินผู้เฒ่าจะดีใจและใบหน้าของนางก็ตื่นเต้นมิน้อย

“ใช่แล้ว  บุตรชายคนโตของข้าได้สืบทอดตำแหน่งโหว  แต่บุตรชายคนที่สองและสามมิมีอันใดทำเลย  จึงได้แต่รีบพาพวกเขากลับไปที่เรือนเก่าและดูแลกิจการการค้าขนาดเล็ก ครั้งนี้ถ้ามิใช่เพราะหลานชายของข้าจะต้องเข้าร่วมการทดสอบในฤดูใบไม้ผลินี้ ก็คงมิเดินทางมาที่เมืองหลวงเป็นแน่

พวกเราสองคนก็มิรู้หรอกว่าเมื่อไรจะได้เจอกัน”

การพลิกผันในตระกูลใหญ่เยี่ยงนี้ ฮูหยินผู้นั้นก็พอจะเข้าใจเช่นกัน บุตรชายคนโตได้สืบทอดต่อตำแหน่งท่านโหว แต่บุตรคนที่สองและสามมิมีตำแหน่งทางราชการด้วยซ้ำไป แน่นอนว่าพวกเขาย่อมจะรู้สึกมิพอใจกัน เพื่อป้องกันพี่น้องรบราฆ่าฟันกัน ฮูหยินผู้เฒ่าถึงได้พาบุตรชายคนที่สองและสามไปอยู่อาศัยกันที่บ้านเก่า สิบกว่าปีมานี้มิเคยย่างกรายกลับมาที่เมืองหลวงเลย

ฮูหยินที่มาพูดคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าผู้นั้นคือฮูหยินของจวนติ่งกั๋วกง ทั้งสองคนรู้จักกันมาหลายสิบปีแล้ว ถือได้ว่าแค่พบพานก็เหมือนรู้จักกันมานาน

ฮูหยินผู้เฒ่ามีเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในบรรดาสตรีสูงศักดิ์  เช่นนั้นเมื่อได้มาพูดคุยกันจึงมีเรื่องราวที่ให้พูดคุยกันอย่างมากมาย

ฮูหยินกั๋วกงตบหลังมือของฮูหยินผู้เฒ่า

“ยังไงก็ตาม ลูก ๆ หลาน ๆ ของเจ้าก็ประสบความสำเร็จ ได้ยินมาว่าหลานชายผู้นั้นของเจ้าชนะในการสอบและได้ที่หนึ่งในชนบท ? ”

“ก็แค่มีชื่อเสียงในลำดับต้น ๆในสถานที่เล็ก ๆ เพียงเท่านั้น ควรค่าแก่การกล่าวถึงเสียที่ไหนกัน”

ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือไปมา

“แต่เจ้าสิ หลานชายของเจ้าได้เป็นองค์รักษ์ข้างกายขององค์ฮ่องเต้ตั้งแต่อายุยังน้อย น่านับถือยิ่งนัก”

ทั้งสองกล่าวเยินยอกันไปมา  สายตาของฮูหยินกั๋วกงก็จ้องไปที่อันหลิงเกอและอันหลิงอี แล้วเอ่ยถามออกมาว่า “ข้าได้ยินมาเมื่อมินานมานี้ ฮ่องเต้พระราชทานงานแต่งระหว่างจวนโหว

และจวนอ๋องมู่ มิทราบว่าเป็นแม่นางน้อยผู้ใดกันที่จะได้แต่งงานกับมู่ซื่อจื่อ ? ”

ฮูหยินผู้เฒ่าชี้ไปทางอันหลิงเกอด้วยแววตาที่ภาคภูมิใจ

“แม่หนูผู้นั้นเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนโหวเรา”

นางจำได้ว่าวันที่เพิ่งกลับมาถึงจวนวันนั้น หลี่ซื่อเข้ามาดูแลกิจการหลังบ้านทุกอย่างและมักจะจงใจละเลยตัวเองทั้งที่ตั้งใจและมิตั้งใจ  หลานสาวที่มิได้พบหน้ากันมานานกว่าสิบปีกลับเตรียมของขวัญให้ตน ถึงแม้จะมิใช่ของล้ำค่าอันใด แต่น้ำใจนั้นก็ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง

ฮูหยินกัวกงเห็นแววตาของฮูหยินผู้เฒ่าจึงอดมิได้ที่จะรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา

“ดูจากสีหน้าท่าทางของเจ้าแล้ว คงจะพึงพอใจกับหลานสาวผู้นี้มากสินะ ? ”

นางกับฮูหยินผู้เฒ่านั้นรู้จักกันมานานหลายปี เหตุใดนางจะมิรู้ล่ะว่าฮูหยินผู้เฒ่านั้นเป็นคนมีนิสัยช่างเลือก คนส่วนใหญ่ที่ต้องการเอาใจฮูหยินผู้เฒ่าให้พึงพอใจได้นั้นมิใช่เรื่องง่าย มิรู้ว่าคุณหนูใหญ่มีอันใดพิเศษไปกว่าผู้อื่นกัน

“นางเป็นหลานสาวของข้า มีอันใดให้พอใจหรือมิพอใจกันล่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวออกไปพร้อมกับส่ายหน้า ดวงตาอ่อนโยนที่เฉียบคมและมากด้วยประสบการณ์หลับตาลง แล้วกล่าวกับฮูหยินของกั๋วกงว่า “นางเป็นคนกตัญญู แม้ว่ามารดาผู้ให้กำเนิดจะจากไปตั้งแต่ยังเด็ก  ข้างกายมิมีใครให้พึ่งพิงและดูแลสั่งสอนได้  แต่ก็มิได้ถูกอี๋เหนียงของนางสอนในทางมิดีได้  เป็นที่น่ายกย่องยิ่งนัก”

ฮูหยินกั๋วกงเลิกคิ้วขึ้น มิคาดคิดมาก่อนว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะประเมินอันหลิงเกอสูงกว่าที่นางคาดการณ์ไว้  จากนั้นจึงได้มองไปที่เด็กสาวที่บังเอิญยิ้มอยู่มิไกล แล้วมีความมิเข้าใจฉายแววอยู่ในดวงตา จากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกันอย่างมีความสุข  ส่วนอี๋เฟยเองก็พูดคุยกันอย่างถูกคอกับฮองเฮา

อย่างน้อยต่อหน้าก็ดูพูดคุยกันถูกคอ

ทางด้านอันหลิงเกอมักจะมองไปฝั่งแขกผู้ชายทางด้านโน้นเป็นครั้งคราว เพื่อมองน้องชายของตน แต่จู่ ๆ อันหลิงจุนก็เงยหน้าขึ้นและหันหน้ามองมาทางนี้

เมื่ออันหลิงจุนมองเห็นอันหลิงเกอ ใบหน้าที่ดื้อรั้นของอันหลิงจุนก็ฉายแววตื่นเต้นดีใจขึ้นมา

อันหลิงเกอจึงส่งยิ้มไปให้ ในขนาดที่มิมีผู้ใดทันสังเกต อันหลิงเกอก็ขยับปากกล่าวกับอันหลิงจุน

ไปว่าพี่จะช่วยเจ้าออกมาอย่างแน่นอน

นางเพิ่งจะกล่าวออกมาโดยมิมีเสียงมิกี่คำ  ก็ได้ยินขันทีตะโกนร้องลากเสียงยาวอีกครั้ง

“ฝ่าบาทเสด็จมาถึงแล้ว”

เหล่าขุนนาง บรรดาฮูหยินและคุณหนูต่างพากันถวายความเคารพฮ่องเต้

“มิต้องมีพิธีรีตองอันใดมากนัก”

อันหลิงเกอเงยหน้าขึ้น  แอบกวาดตามองสำรวจดูคนที่อยู่เหนือคนนับหมื่นซึ่งมีอำนาจสั่งฆ่าใครก็ได้อย่างเงียบ ๆ พระองค์สวมฉลองพระองค์สีดำ มิได้มีเสื้อคลุมมังกรสีเหลืองสดใสเอาไว้ จึงเป็นเหตุให้พระองค์แลดูเข้าถึงได้ง่าย ในตอนนี้มีพระชนมายุได้ 50 พรรษาแล้ว  พระเกศาที่ขมับขาวแล้วเล็กน้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความสง่างามของกษัตริย์ แม้ในขณะนี้ที่ยิ้มแย้มแจ่มใส  แต่แววตาก็ฉายแววเฉียบคมอยู่ภายในเสมอ

ฮ่องเต้เสด็จไปยังที่ประทับของตนเองแล้ว สายตาที่เฉียบแหลมกวาดมองไปตรงบริเวณท่านอ๋องต่างสายเลือดสองสามคนนั่งอยู่  จากนั้นมือที่วางอยู่ด้านข้างค่อย ๆ กำหมัดขึ้นมาช้า ๆ

แม้จะดูท่าทีใจดี แต่อันหลิงเกอนึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาเมื่อชาติก่อนว่า  นี่คือฮ่องเต้ที่มีจิตใจโหดเหี้ยมและหวาดระแวงมากที่สุดพระองค์หนึ่ง

ในตอนนี้ที่ฮ่องเต้เสด็จมาถึงแล้ว แต่กลับมิพบแม้แต่เงาของหลี่กุ้ยเฟยในงานเลี้ยงนี้เลย  อันหลิงอีและหลี่ซื่อที่นั่งอยู่ด้านข้างดูกังวลกระวายใจมากอย่างเห็นได้ชัด

หลี่ซื่อมองตรงไปยังที่ประทับด้านบนก็เห็นเพียงฮ่องเต้และฮองเฮานั่งอยู่ ตรงด้านขวาของฮองเฮามีอี๋เฟยนั่งอยู่ แต่ตำแหน่งทางด้านซ้ายของฮ่องเต้กลับยังมิมีใคร คงมิเกิดอุบัติเหตุอันใดขึ้นกับหลี่กุ้ยเฟยหรอกนะ?

หลี่ซื่อกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่  ก็ได้ยินเสียงนุ่มนวลกล่าวขึ้น

“หม่อมฉันขออภัยเพคะ หม่อมฉันมีธุระเลยมาสาย หวังว่าฮวงโฮวเหนียงเหนียงจักให้อภัย”

หลี่กุ้ยเฟยมาถึงก็ทรุดตัวลงข้างฮองเต้ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แม้ปากจะกล่าวขออภัยโทษ แต่สีหน้ากลับมิใส่ใจ  เห็นได้ชัดว่ามิสนใจที่ตัวเองมาสายเสียด้วยซ้ำ

ทันใดนั้นพระพักตร์ของฮองเฮาก็เคร่งขรึมขึ้น  แม้จะมิมีกฎเกณฑ์อันใดในงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลินี้ แต่ในวังมีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนในการออกมาปรากฏตัวในงาน ยิ่งสถานะสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีกฎเกณฑ์การออกมาปรากฏตัวมากขึ้นเท่านั้น