ตอนที่ 60 ท้าทายต่อหน้าผู้คน

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 60 ท้าทายต่อหน้าผู้คน

 ตอนนี้หลี่กุ้ยเฟยมาปรากฏตัวหลังจากที่ฮองเฮาเสด็จมาถึงแล้ว มิรู้ว่านางกำลังคิดอันใดอยู่ !

“เหตุใดหลี่กุ้ยเฟยถึงมาช้านัก ?”

ฮองเฮาหลุบตาลง ตรัสถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบใบหน้านิ่งเฉย เป็นเหตุให้ผู้คนดูมิออกว่าพระนางทรงกริ้วอยู่

หลี่กุ้ยเฟยฉีกยิ้มส่งให้ฮองเฮา และเอนตัวไปพิงพระอังสาขององค์ฮ่องเต้ แล้วตรัสออกมาว่า “เรื่องนี้ค่อนข้างน่าอายเสียหน่อยเพคะ”

ตรัสจบพระนางเหลือบมองฮ่องเต้อย่างเขินอาย  ความสัมพันธ์ลึกซึ้งที่แน่นแฟ้นในแววตามิอาจสลายไปได้

เมื่อนางตรัสออกมามาเยี่ยงนี้ เป็นเหตุให้ฮองเฮายิ่งทำหน้ามิถูกมากยิ่งกว่าเดิม วันนี้หลี่กุ้ยเฟยจงใจมาช้ากว่านางต่อหน้าผู้คนมากมาย มันเป็นการท้าทายอำนาจนางอย่างซึ้งหน้า  แต่หลี่กุ้ยเฟยกลับมิสำนึกแม้แต่นิดเดียว ถึงขั้นบอกเป็นนัยว่านางเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้มากเพียงใด

นี่เป็นการท้าทายอำนาจของฮองเฮาที่โจ่งแจ้งอย่างเห็นได้ชัด !

ฮองเฮาเลิกคิ้วขึ้นโดยมิมีรอยยิ้มบนใบหน้า

“เอ๊ะ ? ข้ามิรู้ว่าหลี่กุ้ยเฟยกล่าวถึงอันใด หลี่กุ้ยเฟยลองเอ่ยมาสิ เหตุใดเจ้าถึงมาช้า ? “

นางอยากดูสิว่า หลี่กุ้ยเฟยจะหน้าด้านหน้าทนถึงเพียงไหน จะกล้ากล่าวออกมาตามตรงว่าตัวเองเป็นที่โปรดปรานมากแค่ไหนต่อหน้าผู้คนหรือไม่ !

หลี่กุ้ยเฟยจงใจมาสายเพื่อทำให้ฮองเฮาอับอาย แต่นางมิคาดคิดมาก่อนว่าในวันงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิเยี่ยงนี้ ฮองเฮาจะมิอดกลั้นความกริ้วเอาไว้และมิทำตามแผนที่นางวางไว้  ถึงได้ตรัสถามนางกลับมาเยี่ยงนี้ แล้วจะให้นางตอบกลับไปว่าเยี่ยงไร ?

ใบหน้าที่แสดงออกถึงชัยชนะของหลี่กุ้ยเฟยแข็งทื่อไปอยู่ครู่หนึ่ง และหันไปขอความช่วยเหลือจากฮ่องเต้

เมื่อเห็นว่าผู้หญิงสองคนที่อยู่ข้างกายพระองค์มีท่าทีมิลงรอยกัน ฮ่องเต้จึงยื่นพระหัตถ์ของพระองค์ออกมาวางไว้บนหลังพระหัตถ์ของฮองเฮาแล้วตรัสออกมาว่า “วันนี้เป็นวันมงคล  ฮองเฮาก็อย่าไปใส่ใจไปเลยนะ”

ในเมื่อฮ่องเต้ตรัสออกมาเยี่ยงนี้แล้ว ฮองเฮาก็ทรงกริ้วจนปลายนิ้วแหลมเรียวสั่น

ถือว่าเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ หลี่กุ้ยเฟยผู้หญิงที่มาจากครอบครัวเล็ก ๆ ผู้นี้ถึงกลับกล้าที่จะมาท้าทายอำนาจของนางที่เป็นฮองเฮา ต่อหน้าบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่และฮูหยินสูงศักดิ์จำนวนมาก แต่ฮ่องเต้กลับบอกนางว่าอย่าไปใส่ใจมากนัก นี่มันมิลำเอียงเกินไปหรอกรึ  พระองค์มิเคยเห็นตำแหน่งฮองเฮาของตัวเองอยู่ในสายตาเลย ในสายตามีแต่หลี่กุ้ยเฟยที่มีมนต์เสน่ห์ที่น่าหลงใหลเท่านั้น !

ฮองเฮารู้สึกมิได้รับความเป็นธรรมเป็นอย่างยิ่ง  แม้ว่าทรงกริ้วจนอยากจะกันแสงออกมา แต่ก็ยังต้องรักษาศักดิ์ศรีของนางในฐานะฮองเฮาเอาไว้

“ฝ่าบาทตรัสถูกแล้วเพคะ งานมงคลเช่นวันนี้ มิควรถือความผิดเล็กน้อยของหลี่กุ้ยเฟย”

เมื่อเห็นฮองเฮายอมลงให้ หลี่กุ้ยเฟยถึงได้ยิ้มและกล่าวขอบคุณฮองเฮาที่ใจกว้าง จากนั้นก็ถือโอกาสหันหน้าไปออดอ้อนฮ่องเต้

อี๋เฟยที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับหลี่กุ้ยเฟย มองดูหลี่กุ้ยเฟยที่เป็นแขกคนสุดท้ายที่เข้ามาในงานก็รู้สึกมิสบอารมณ์จริง ๆ

ในแง่ของฐานะ นางมีเกียรติมากกว่าหลี่กุ้ยเฟยหลายเท่าตัว

แต่ในแง่ของความงาม แม้ว่านางมิถือว่าเป็นคนสวย แต่ก็มิได้ด้อยไปกว่าหลี่กุ้ยเฟยมาก

ในแง่ของความสามารถและความรัก นางมีความชำนาญในทุกรูปแบบมิว่าจะเล่นกู่เจิง หมากรุก คัดลายมือหรือวาดภาพ

แต่หลี่กุ้ยเฟยทำได้เพียงเล็กน้อยเทียบนางมิติดเลยด้วยซ้ำ !

แต่คนที่มิสามารถเทียบตัวเองได้เลยแม้แต่อย่างเดียว กลับเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ เห็นกันอยู่แล้วว่านางเข้าวังเร็วกว่าหลี่กุ้ยเฟย  แต่ภายหลังหลี่กุ้ยเฟยกลับมีตำแหน่งสูงกว่า และยังให้กำเนิดองค์ชายก่อนนางเสียอีกด้วย

นางสนมเหมือนกัน อี๋เฟยจะเต็มใจได้อย่างไร?

นางยิ้มโดยมิทราบสาเหตุ

“นั่นเป็นเพราะความเอื้ออาทรของฮองเฮา ถึงได้มิถือสาเอาผิดของหลี่กุ้ยเฟย ถ้าเป็นผู้อื่นก็มิรู้ว่านางจะถูกกล่าวโทษเยี่ยงไรบ้าง”

คำกล่าวของอี๋เฟยเป็นเหตุให้ใบหน้าของฮองเฮาดูดีขึ้น แม้ว่าจะต้องปล่อยหลี่กุ้ยเฟยไป แต่เมื่ออี้เฟยกล่าวขึ้นมา นางก็ถือว่าอยู่เหนือกว่าแล้ว

ใบหน้าของฮองเฮาดูผ่อนคลายลง แล้วทรงตรัสออกมาว่า “ช่างเถอะวันนี้ยากนักที่ทุกคนจะมารวมกันที่นี่ หากข้าลงโทษหลี่กุ้ยเฟยก็คงจะทำให้ทุกคนหมดสนุกไป ย่อมมิดี”

ฮ่องเต้ก็ทรงพยักหน้าเห็นด้วย

“ฮองเฮาตรัสถูก วันนี้เป็นวันมงคล ควรมีเมตตาถึงจักถูก”

หลังจากที่ฮ่องเต้ตรังจบ ก็ได้โบกพระหัตถ์ขึ้น ทันใดนั้นนางรำก็ทยอยเดินออกมายืนอยู่เบื้องหน้า  เสียงดนตรีประสานเสียงครื้นเครง เรือนร่างอ้อนแอ้นอรชรเริ่มร่ายรำพริ้วไหวตามเสียงดนตรีอย่างอ่อนช้อย

ทันทีที่นางรำออกมาปรากฏตัว งานเลี้ยงก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ นางกำนัลที่รอปรนนิบัติอยู่ด้านข้างนานแล้วก็ยกจานผลไม้และขนมอบทีละชิ้นมาขึ้นโต๊ะ เดินรินเครื่องดื่มไปมาระหว่างที่นั่งในงาน

ทุกคนในจวนโหวนั่งร่วมกันพลางดูการแสดงของนางรำที่อ่อนช้อยงดงาม ทางด้านอันหลิงเกอที่มักมองไปทางอันหลิงจุนเป็นครั้งคราว ท่าทางที่ผิดปกตินี้ดึงดูดความสนใจของอันหลิงเฉ่วเข้า

“พี่หญิง มองอันใดอยู่รึเจ้าคะ หรือว่าทางนั้นมีคุณชายที่หน้าตาหล่อเหลาอยู่ ดูท่าทางพี่หญิงใจหลุดลอยไปแล้ว ? ”

คำกล่าวและหน้าตาดูไร้เดียงสาของนาง ทำราวกับเด็กสาวที่ไร้เดียงสาที่กล่าวสนุกปากออกมาเพียงเท่านั้น

เดิมทีบทสนทนาระหว่างหญิงสาวผู้ดีที่กล่าวเรื่องเยี่ยงนี้ออกมานั้นเป็นเรื่องปกติ ยิ่งระหว่างพี่สาวและน้องสาวที่กล่าวพูดคุยกันอย่างใกล้ชิดสนิทสนมกันแล้วย่อมมิผิด

แต่ตอนนี้อันหลิงเกอได้หมั้นหมายแล้ว  หากมีผู้ใดได้ยินแล้วถูกลือกันไปว่านางมีความสัมพันธ์กับชายอื่น ผู้คนในเมืองหลวงคงจะมิด่าว่านางหน้าด้านหน้าทนหรอกรึ

อันหลิงเกอละสายตาจากอันหลิงจุน ใบหน้าดูผิดหวังเล็กน้อยเมื่อได้ฟังคำกล่าวของอันหลิงเฉ่ว

“เหตุใดน้องเฉ่วเอ๋อร์ถึงคิดกับข้าเยี่ยงนี้ ? ข้ากับมู่ซื่อจื่อนั้นหมั้นหมายกันแล้ว ข้ามิมีวันไปมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นเด็ดขาด หรือว่าในสายตาของน้องหญิงเห็นข้าเป็นคนไร้ยางอายเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ฮูหยินผู้เฒ่าที่ได้ฟังก็ยังรู้สึกว่าอันหลิงเฉ่วกล่าวมิเหมาะสม แต่เมื่อได้ยินอันหลิงเกอตำหนิก็ยังขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย

ดวงตาของอันหลิงเฉ่วแดงก่ำขึ้นมาในทันทีเมื่อถูกอันหลิงเกอกล่าวตำหนิ เบะปากจะร้องไห้ออกมา

“ข้าก็แค่พูดล้อเล่นกับพี่หญิงเพียงเท่านั้น พี่หญิงก็จริงจังเกินไป ถ้าพี่หญิงมิชอบฟังเรื่องพวกนี้ ต่อไปข้าจะก็จะมิกล่าวอีกแล้วเจ้าค่ะ”

ใบหน้าของอันหลิงเกออ่อนโยนลง ราวกับว่าเห็นอกเห็นใจอันหลิงเฉ่ว

“ข้าก็มิได้จะตำหนิเจ้า  น้องหญิงยังเด็กและปากเร็ว แล้วกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ข้อนี้ข้ารู้ดีมาตลอด แต่นี่มิใช่จวนโหวที่นี่มีผู้คนมากมาย  ถ้าหากคำกล่าวของน้องหญิงหลุดออกไป ถ้ามันสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของข้ามิเป็นไร หากผู้อื่นดูหมิ่นจวนอ๋องอันเพราะเหตุผลนี้ เจ้ากับข้าคงมิสามารถรับผิดชอบต่อความผิดในครั้งนี้ไหว”

แต่ละคำที่อันหลิงเกอกล่าวออกมา เพราะเห็นแก่ความสำคัญจวนโหว พยายามแสดงท่าทางของบุตรสาวภริยาเอกคนโตอย่างเต็มที่ ฮูหยินผู้เฒ่าที่ได้รับฟังก็จึงพยักหน้าเห็นด้วยเล็กน้อยอย่างเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ของอันหลิงเกอ

อันหลิงอีที่อยู่ด้วยได้ฟังอันหลิงเกอกล่าวตำหนิอันหลิงเฉ่ว ก็หันไปเผชิญหน้ากับที่อันหลิงเกอแล้วพยายามกล่าวปกป้องอันหลิงเฉ่วอย่างถึงที่สุดว่า “พี่หญิง ท่านก็กล่าวมิถูกนะเจ้าคะ พี่หญิงรองแค่เห็นท่านมองไปทางที่ขุนนางอยู่บ่อย ๆ เช่นนั้น ถึงได้สงสัยคิดว่าท่านกำลังชอบพอคุณชายบ้านใดอยู่ ถ้าท่านมิได้มีท่าทีเหล่านี้ พี่หญิงรอง นางจะเอ่ยถามท่านออกมาได้เยี่ยงไร ? ”

“ตัวเองทำผิด ยังมิอนุญาตให้คนอื่นกล่าวอีก  พี่หญิงรองเอ่ยถามเพียงประโยคเดียว พี่หญิงใหญ่กลับตำหนินางราวกับว่าพี่หญิงรองทำผิดร้ายแรงเยี่ยงนั้นแหละเจ้าค่ะ”

ในเมื่ออันหลิงอีพยายามที่จะปกป้องอันหลิงเฉ่วถึงเพียงนี้ แต่อันหลิงเฉ่วกลับกล่าวหักหน้านางออกมาว่า “น้องสาม พี่หญิงใหญ่ก็แค่เห็นแก่จวนโหว เป็นข้าเองที่มิคิดให้รอบคอบเสียก่อนที่จะเอ่ยถามออกไป พี่หญิงสั่งสอนข้าเยี่ยงนี้ย่อมถูกต้องแล้ว”

หลังจากกล่าวจบ อันหลิงเฉ่วนางแสร้งกระพริบตาอย่างแรง แล้วปล่อยให้น้ำตาที่คลอเบ้าไหลลงมาและแสร้งพยายามเหมือนกลั้นน้ำตาไว้ ทำราวกับกำลังรู้สึกสำนึกผิด

ท้ายที่สุดแล้วฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังคงรู้สึกเห็นอันหลิงเฉ่าหลานสาวที่เติบโตขึ้นมาข้างกายนาง นางจึงตบลงไปที่หลังมือของอันหลิงเฉ่วเบา ๆ แล้วกล่าวปลอบโยนออกมาว่า “เอาล่ะ ย่ารู้ว่าเฉ่วเอ๋อมิได้ตั้งใจเจ้าหยุดร้องไห้ได้แล้ว  ถ้าผู้อื่นเห็นเข้าจะหัวเราะเยาะเจ้าเอาได้ โตขนาดนี้แล้วยังร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่อีก”