บทที่ 88

“หา ?” หยวนจี้คิดว่าเขาหูฟาดไป ไม่ใช่ว่าน้องของเขาเกลียดถังหยินเข้าไส้หรอกหรือ ? แล้วทำไมถึงยอมรับใช้ถังหยินกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ? “ท่านพูดจริงหรือ ?”

“แน่นอนสิ” ถังหยินยิ้มให้ “เมื่อครู่พวกเขาได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย ดังนั้นตอนนี้จึงพักผ่อนอยู่ที่สวน ถ้าเจ้าไม่เชื่อละก็ไปดูด้วยตาตัวเองก็ได้นะ”

หยวนจี้ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะโกหกเขา เพราะมันไม่มีเหตุผลให้ทำแบบนั้น ดังนั้นเขาจึงถามกลับไปว่า “ข้าเข้าไปได้หรือ…?”

“แน่นอนว่าได้สิ” ถังหยินยืนขึ้น

“ตามข้ามาเลย” พูดจบเขาก็เดินออกจากห้องไป

หยวนจี้รีบเดินตามไป และระหว่างที่เดิน ในหัวของเขาตอนนี้มันก็เต็มไปด้วยความสับสน ความไม่เข้าใจ หยวนจี้ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมน้องชายของเขาถึงได้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วแบบนี้

ชายหนุ่มพาหยวนจี้เดินผ่านสวนด้านหลังและหยุดลงที่หน้าประตู เขาเคาะมัน 2 ครั้ง ก่อนที่จะมีชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเขียวออกมาเปิดประตู

แท้จริงแล้วคนผู้ก็คือเสนารักษ์ที่ดูแลดวงตาของพี่น้องทั้งสองนั่นเอง และเมื่ออีกฝ่ายเห็นถังหยิน เขาก็รีบโค้งตัวให้ “ท่านถัง !”

ชายหนุ่มพยักหน้าให้ ก่อนมองสองพี่น้องที่นอนอยู่บนเตียง “ตาพวกเขาเป็นเช่นไรบ้าง ?”

“ไม่มีอะไรมากหรอกขอรับ พวกเขาแค่โดนควันนิดหน่อย พรุ่งนี้ก็กลับได้แล้ว” หมอพูดออกมา

“เยี่ยมมาก” ได้ยินแบบนี้ถังหยินก็โล่งใจและพาหยวนจี้เข้ามา

เมื่อเข้ามา เขาก็เห็นสองพี่น้องในผ้าพันแผล ดังนั้นหยวนจี้จึงรีบวิ่งเข้าไปด้วยความเป็นห่วง “หยวนอู่ หยวนเปียว !”

“พี่ใหญ่ ทำไมท่านถึงมาที่นี่กัน ?” แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด มีเพียงแค่ดวงตาที่โดนควันไฟเท่านั้น และเมื่อแน่ใจว่าทั้งสองปลอดภัยดี จากความดีใจก็พลันเปลี่ยนเป็นความโกรธอย่างรวดเร็ว !

หยวนจี้ตะโกนออกมา “ทำไมข้ามาที่นี่น่ะเหรอ ? เจ้ายังกล้าพูดอีกงั้นหรือ ? พวกเจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว นับวันพวกเจ้าจะยิ่งปีกกล้าขาแข็ง ถึงขนาดคิดจะลอบสังหารท่านถัง…”

ยิ่งหยวนจี้พูดก็ยิ่งโกรธ เขาบ่นออกมาไม่หยุด

หยวนเปียวหัวเราะออกมา แม้ว่าจะมองไม่เห็นแต่เขาก็รู้ว่าพี่ใหญ่เขานั้นกำลังโกรธอยู่ เขายิ้มออกมา “พี่ใหญ่อย่าโกรธไปเลย พวกเราสำนึกผิดแล้ว และพวกเราก็กลับตัวกลับใจแล้วด้วย ต่อแต่นี้ไปพวกเราจะติดตามท่านถัง !”

หยวนอู่พูดต่อ “พี่ใหญ่ ถึงแม้ท่านจะร่ำรวย แต่ข้าก็อยากให้ท่านมาร่วมทำงานรับใช้ท่านถังร่วมกัน เพื่อที่พวกเราเหล่าพี่น้องจะกลับมารวมกันอีกครั้ง !”

“หา ?” หยวนจี้ไม่เข้าใจ ทั้งสองนั้นเกลียดถังหยินเป็นอย่างมาก หากทว่าตอนนี้พวกเขากลับมาพูดอีกแบบ

นี่นะหรือคือความสามารถของชายที่ชื่อถังหยิน ? เขาใช้เวทมนตร์อะไรกัน ทำไมถึงสามารถเปลี่ยนให้น้องชายจอมดื้อทั้งสองของเขากลายเป็นแบบนี้ได้ในพริบตา !

เมื่อไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อ ถังหยินที่อยู่ด้านหลังจึงเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม “หยวนจี้ น้องชายพวกเจ้าพูดถูกนะ เจ้าคิดว่าไง ?”

หยวนจี้ส่ายศีรษะ ก่อนจะหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา เขาจะตอบ ‘ไม่’ ได้ยังไงกันเล่า ? ในเมื่อถังหยินสามารถทำให้น้องชายของเขากลับตัวกลับใจได้ ถ้างั้นแล้วบางทีเขาก็ควรที่จะตอบแทนอีกฝ่ายกลับคือด้วยเช่นกัน

เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็หมุนตัวไปประกบมือให้กับถังหยิน “ข้าน้อย ฉางกวงหยวนจี้ ยินดีรับใช้นายท่าน”

เมื่อได้ยินแบบนั้น ทุกคนก็เริ่มมีกำลังใจมากขึ้น โดยเฉพาะถังหยิน เขาเดินออกมาคว้าแขนของหยวนจี้เอาไว้และยิ้มให้ “ด้วยการช่วยเหลือของเจ้า ข้าก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว”

ท้ายที่สุดแล้ว หยวนอู่และหยวนเปียวก็ได้กลายมาเป็นองครักษ์ของถังหยิน ในอนาคต พวกเขาจะติดตามถังหยินไปทุกที่บนโลกนี้ และรับใช้เขาในทุกสมรภูมิ

การพบชิวเจิ้นอาจบอกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนของถังหยิน และการทำให้หยวนจี้มาอยู่ใต้อำนาจของเขาก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนเช่นกัน !

หยวนจี้ดูแลด้านใน ส่วนชิวเจิ้นดูแลด้านนอก พวกเขาทั้งสองเป็นดั่งขาทั้งสองข้าง ที่จะทำให้ถังหยินก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง !

ไม่กี่วันต่อมา เขตปิงหยวนก็ได้กลับมาสงบสุขอย่างแท้จริง พวกโจรลดจำนวนลงไปมาก ส่วนพวกมอร์ฟีสเองก็ไม่ได้ส่งทหารเข้ามาระรานพวกเขาเลย ทำให้ถังหยินใช้โอกาสนี้ฝึกทหารของตน

ผลจากการที่หยวนจี้เข้าทำงานกับเขา ทำให้เขตปิงหยวนพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว และทำให้การเกณฑ์ทหารใหม่ง่ายขึ้น ด้วยหยวนจี้นั้นเป็นที่นับหน้าถือตาในปิงหยวนมานาน ดังนั้นการที่เขาเข้าร่วมกับถังหยิน มันจึงทำให้หลาย ๆ คนหันมาเข้าร่วมกองทัพมากขึ้น

และด้วยการเกณฑ์กำลังพลครั้งใหม่ มันจึงทำให้กองพันทั้ง 3 ของปิงหยวนงานยุ่งเป็นอย่างมาก พวกเขาได้รับการเติมกำลังพลอย่างรวดเร็ว จนถังหยินเริ่มคิดจะจัดตั้งกองพันใหม่เพราะมีจำนวนคนที่เยอะเกินออกมา

อีกทางด้านหนึ่ง คำร้องขอของถังหยินได้ไปยังเมืองหยานแล้ว และท่านอ๋องเองก็ยอมรับข้อเสนอของเขา ฝ่าบาททรงอนุญาตให้ชายหนุ่มจัดตั้งกองทหารเป็นทั้งหมด 5 กองพันได้

เหตุผลหลัก ๆ ที่เป็นเช่นนั้น มันก็เป็นเพราะถังหยินนั้นเป็นคนของตระกูลอู่ และยิ่งเขามีกำลังทหารมากเท่าไหร่ มันก็ย่อมหมายถึงอำนาจของตระกูลอู่ที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นจึงเป็นพวกตระกูลอู่นี่เองที่เป็นฝ่ายสนับสนุนเรื่องที่ถังหยินขอจัดตั้งกองพันเพิ่ม

และนอกจากราชสารของท่านอ๋องที่กลับมาแล้ว มันยังมีจดหมายจากอู่เหมยแนบมาด้วย

ในจดหมาย อู่เหม่ยได้แสดงความยินดีกับชายหนุ่มเรื่องอำนาจทางการทหารของเขาที่เพิ่มขึ้น และนอกจากนี้แล้วนางก็ยังได้ถามไถ่เขาเกี่ยวกับชีวิตในเขตปิงหยวน ว่าเป็นเช่นไรบ้าง ใช้ชีวิตลำบากหรือไม่ ?

ถังหยินอ่านจดหมายทั้งหมดและเขียนกลับไป เนื้อหลักใจความในจดหมายได้บ่งบอกถึงเรื่องราวมากมาย หลัก ๆ ก็คือบอกให้นางไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเขาแต่อย่างใด

และไม่ใช่เพียงแค่อู่เหม่ย เขายังได้เขียนจดหมายไปหาเติงหมิงยางและสอบถามเกี่ยวกับเรื่องในเมืองหลวงอีกฉบับด้วย

หลังจากได้อนุญาตจากอ๋องแห่งแคว้นเฟิง กองทหารของถังหยินก็พลันขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ชายหนุ่มทำการจัดตั้งกองพันที่ 4 และ 5 ขึ้นมา โดยมีกู่เยว่เป็นหัวหน้ากองพันที่ 4 และเฉินฟางเป็นรองหัวหน้า ส่วนกองพันที่ 5 นั้น หลีเว่ยเป็นหัวหน้ากองพันและรองหัวหน้าคือซ่งเฉิง แม้พวกเขาจะยังจัดการอะไร ๆ ไม่เรียบร้อยดีนัก แต่ด้วยจำนวนทหารที่มากมายเกือบถึง 1 หมื่นคน มันก็ทำให้เขตหยวนในตอนนี้นั้นดูทรงอำนาจขึ้นมาภายในชั่วพริบตา !

เดือนแห่งความวุ่นวายได้ผ่านไป

วันนี้ถังหยินตื่นขึ้นมาเพราะมีคนเคาะประตู

“เข้ามา”

ประตูเปิดออกพร้อมชายวัยกลางคนอายุ 40 เดินเข้ามา

เขาคือนายทหารในกองทัพ นายกองของกองพลที่ 1 แห่งเขตปิงหยวน ครอบครัวของเขาตายเพราะพวกมอร์ฟีสหมดแล้ว และแม้ว่าเขาจะมีอายุ 40 แล้ว หากแต่ก็อยู่ตัวคนเดียว

ถึงคนผู้นี้จะยังไม่แก่พอที่จะเกษียณอายุจากกองทัพ แต่เขาก็ไม่สามารถก้าวขึ้นตำแหน่งไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว ดังนั้นถังหยินจึงชวนเขามาเป็นพ่อบ้านเสียเลย

ด้วยความที่ถังซ่ง เคยเป็นนายกองมาก่อน เขาจึงสามารถจัดการงานต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี และด้วยซื่อสัตย์ ภักดีของชายวัยกลางคนผู้นี้นี่เอง ที่ทำให้ถังหยินเชื่อมั่นในตัวเขา และยอมให้อีกฝ่ายจัดการเรื่องต่าง ๆ ในบ้านทั้งหมด

“มีอะไรหรือ ?” ถังหยินถาม

“ท่านฉางกวงขอเข้าพบขอรับ” ถังซ่งก้มหัวให้

ถังหยินหัวเราะ เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องการบริหารบ้านเมือง ดังนั้นนาน ๆ ที่หยวนจี้จึงหาโอกาสมาเยี่ยมเขา “บอกให้เขารออยู่ที่ห้องรับแขกนั่นแหละ เดี๋ยวข้าออกไป”

“ขอรับ” ถังซ่งหมุนตัวกลับไป

เขาไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายรอนาน ไม่นานนักถังหยินก็โผล่เข้าไปที่นั่น

“มีอะไรงั้นหรือหยวนจี้ ?” ชายหนุ่มปลาบปลื้มในความสามารถของหยวนจี้มากนับตั้งแต่ที่เขาทำงานมาก ดังนั้นน้ำเสียงของเขาจึงเต็มไปด้วยความเป็นมิตร

“นายท่าน” หยวนจี้วางถ้วยชาในมือลงและยืนตรงทำความเคารพ “ข้าได้ยินว่าทางกองทัพกำลังขาดม้าอยู่ใช่หรือไม่ ?”

ถังหยินนั่งลงและพยักหน้า “ถูกต้อง”

เพราะการขาดม้าที่ต้องใช้งาน ดังนั้นเขตปิงหยวนจึงไม่เคยมีการจัดตั้งกองทหารม้ามาก่อน

ชายหนุ่มกลอกตาไปมา และเอ่ยถามอีกฝ่ายกลับไป “เจ้ามีวิธีที่จะหาม้ามาให้ข้างั้นหรือ ?”

หยวนจี้ตอบกลับ “ข้าได้ลองพูดคุยกับพวกพ่อค้าดูแล้ว พวกเขานั้นให้ความสนใจที่จะจัดส่งม้าให้ทางเราเหมือนกัน ทว่าข้าจำเป็นที่จะต้องถามบางอย่างก่อน ข้าอยากจะรู้ว่าท่านจะเอาม้าเหล่านี้ไปทำอะไร ?”

“ก็เอาไปสู้กับพวกมอร์ฟีสไง”

หยวนจี้พยักหน้า เขาเดาไม่ผิดจริง ๆ ด้วย “พวกมอร์ฟีสมีม้าที่แข็งแกร่ง ในขณะที่ม้าของพวกเรานั้นไม่ได้เร็วมากนัก ดังนั้นต่อให้พวกเรามีม้า ข้าก็ไม่คิดว่าพวกเราจะต่อกรกับพวกมันได้ ดังนั้นข้าจึงเกรงว่าการจัดซื้อครั้งนี้มันจะกลายเป็นการสูญเสียเงินโดยใช่เหตุ”

ถังหยินไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เขาขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะถามกลับไปว่า “แล้วเจ้าคิดว่ายังไง ? หรือว่าพวกเราไม่ควรจัดตั้งกองทหารม้างั้นหรือ ?”