บทที่ 89

“แน่นอนว่าพวกเราต้องมีกองทหารม้า แต่ข้ากำลังจะบอกว่าม้าของเฟิงไม่ได้มีความพิเศษเหมือนของพวกมอร์ฟีส ดังนั้นข้าจึงอยากเสนอว่าให้ไปซื้อม้าสายพันธุ์อื่น” หยวนจี้อธิบาย

“ม้าสายพันธุ์อื่นงั้นหรือ ?” ถังหยินลูบคาง

“ม้าของพวกโม ! ด้วยความเร็วที่ยอดเยี่ยมของพวกมัน ข้าจึงคิดว่าการซื้อม้าจากพวกเขาจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะยังไงเสีย สิ่งที่ทำให้ทหารม้าได้เปรียบก็คือเรื่องความเร็วนี่แหละ !”

ชายหนุ่มรู้จักพลังของกองทหารม้าของพวกโมเป็นอย่างดี แต่ในเมื่อพวกเขากำลังเป็นศัตรูกันอยู่ แล้วจะให้ซื้อมายังไงกัน ? “เจ้าพูดถูก แต่เราจะซื้อม้าจากพวกเขาได้ยังไงกัน ?”

หยวนจี้หัวเราะ “ข้ามีพ่อค้าชาวโมที่สนิทกันอยู่ แต่ประเด็นคือตอนนี้ทั้งสองแคว้นต่างก็ปิดชายแดนอยู่ ดังนั้นจึงไม่มีใครผ่านเข้าออกระหว่างทั้ง 2 แคว้นได้เลย”

ได้ยินแบบนี้ ถังหยินก็คิดอะไรออก “ข้ามีคนรู้จักอยู่คนหนึ่ง ข้าคิดว่าบางทีคนผู้นั้นอาจช่วยได้”

หยวนจี้พยักหน้ารับฟัง

ถังหยินกลอกตา “แม้ว่าข้าจะเคยเจอหน้าแม่ทัพอิงปูแค่ครั้งเดียว แต่เขาก็น่าจะช่วยข้าได้อยู่”

หยวนจี้รู้สึกดีใจและรีบพูด “ถ้าแม่ทัพอิงปูที่ท่านว่ายินยอมที่จะช่วยย่อมเป็นเรื่องดี มันน่าจะทำให้พวกเราได้…”

ถังหยินโบกมือและส่ายหัว “อย่าหวังมากไปเลย ข้าไม่ได้สนิทกับเขาขนาดนั้น แต่เดี๋ยวข้าจะลองเขียนจดหมายถึงเขาดู”

หยวนจี้พยักหน้า “ข้าจะให้คนนำจดหมายของท่านไปพร้อมกับจดหมายติดต่อพ่อค้าม้าด้วยเลย”

“เยี่ยมมาก” ถังหยินยืนขึ้นและเตรียมของในการเขียนจดหมายไปยังอิงปู

ใจความหลักก็คือการใช้ถ้อยคำเป็นมิตรเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเขานั้นอยากได้ม้าของพวกโมที่แข็งแกร่ง และต้องการให้อิงปูช่วยในจุดนี้

เมื่อเขียนเสร็จเขาก็มอบมันให้กับหยวนจี้และย้ำว่าอย่าทำมันหาย

ในเวลานี้ความตึงเครียดระหว่างแคว้นเฟิง และแคว้นโมนั้นอยู่ในสภาวะพร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ ทำให้เขาไม่สามารถหาซื้อม้าจากพวกโมได้

แน่นอนว่าหยวนจี้เข้าใจในจุดนี้ “นายท่านโปรดวางใจ ข้าจะจัดให้คนที่ข้าวางใจที่สุดไปส่งให้เอง รับประกันได้เลยว่าทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย” ตระกูลฉางกวงเองก็ใหญ่โตใช่เล่น พวกเขามีคนที่มีความสามารถค่อยรับใช้มากมาย

ถังหยินพยักหน้ารับ ก่อนจะยื่นมือไปตบที่ไหล่ของอีกฝ่าย “ถ้างั้นก็ต้องลำบากเจ้าแล้ว”

“นายท่านก็พูดเกินไปขอรับ !”

วันต่อมา ถังหยินก็ได้ออกไปตรวจตรายังเมืองชายแดน

เมืองชายแดนแห่งนี้ เป็นดั่งชื่อของมัน คับคั่งไปด้วยพ่อค้าแม่ค้ามากมายที่อาศัยจุดเชื่อมต่อระหว่างดินแดนต่างๆ เป็นสถานที่ค้าขาย ถึงแม้ที่แห่งนี้จะถูกรุกรานโดยพวกมอร์ฟีสมาตลอดปี และทำให้ผู้คนในเมืองส่วนใหญ่ถูกสังหารไปกว่าครึ่งจนเมืองใหญ่แห่งนี้ดูรกร้างว่างเปล่าก็ตาม…

ถังหยินไม่ได้พาคนมามากมายนัก เขามีเพียงแค่สองพี่น้องฉางกวงที่ติดตามมาด้านหลัง

ตอนนี้ ผู้ที่รับหน้าที่ดูแลเมืองก็ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากจางโจว

นี่เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มมายังเมืองชายแดน และเมื่อเห็นสภาพของมัน ก็ทำเอาถังหยินถอนหายใจออกไป เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมภาษีจากเมืองนี้มันถึงได้น้อยนิดนัก เพราะแม้แต่เมืองเฮิงที่ว่าเป็นอันดับ 1 ก็มีสภาพที่ไม่ต่างจากที่นี่สักเท่าไหร่

เมื่อเดินไปในเมืองได้สักพัก ชายหนุ่มก็เดินตามจางโจวไปตรวจตราที่กำแพงเมือง

เมืองชายแดนแห่งนี้ กว้างและมีทางเข้าออกถึง 4 ทิศ ทั้งยังไม่มีแม่น้ำล้อมรอบอีก ดังนั้นแล้วถ้าเกิดมีศัตรูบุกเข้ามา กำแพงเมืองก็ไม่อาจช่วยอะไรพวกเขาได้มากนัก

เรื่องดังกล่าวนี้ ชายหนุ่มเพิ่งจะรู้เอาก็ตอนที่เขามาตรวจสอบในวันนี้นี่แหละ ซึ่งมันก็ถือได้ว่าเป็นปัญหาที่เรื้อรังมานาน

ถังหยินหยุดเดิน และเงยหน้าขึ้นมองไปด้านนอก นอกเมืองชายแดนนั้นเป็นที่ราบอันแสนกว้างใหญ่ และถ้าไกลออกไปหน่อย ก็จะเห็นเข้ากับรัฐเบสซ่า เมื่อเห็นท่าทีของชายหนุ่ม จางโจวพลันรีบเข้ามาอธิบาย “นั่นคือที่ราบพาบูของพวกมอร์ฟีสขอรับ”

ถังหยินพยักหน้ารับ และหันไปมองจางโจว “แค่กองเดียวพอปกป้องเมืองนี้หรือไม่ ?”

จางโจวหัวเราะแห้ง ๆ “แน่นอนว่าไม่พอขอรับ”

“ถ้าไม่พอแล้วทำไมไม่ขอกำลังเพิ่มล่ะ ?”

“เขตปิงหยวนมีทหารแค่ 3 กองพัน ดังนั้นการใช้ 1 กองต่อ 1 เมืองหลักจึงเป็นขีดกำจัดของเรา ทว่าเมื่อครั้งอดีต พวกเราเคยใช้กองทหาร 2 กองให้ประจำการที่เมืองชายแดน แต่ท้ายที่สุด เมื่อพวกมอร์ฟีสเข้ามาโจมตี เราก็ไม่อาจโยกย้ายกองทหารจากเมืองชายแดนไปรับมือได้ทำ ทำให้เมืองถูกตีแตกก่อนที่กำลังเสริมจะมาถึง ครั้งนั้นพวกเราสูญเสียไปเยอะมากทีเดียว”

“นี่แหละ คือเหตุผลว่าทำไมข่าวสารถึงได้สำคัญ ถ้าพวกเราสามารถรับรู้การเคลื่อนไหวของพวกมอร์ฟีสได้ละก็ เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกแน่ !”

“ขอรับนายท่าน !” จางโจวพยักหน้า

ปัญหาก็คือพวกเขามีกำลังพลไม่พอ ดังนั้นถังหยินจึงยังคิดไม่ออกว่าจะทำยังไงดี แม้ว่าจะมีกองทหาร 5 กองพันถูกตั้งขึ้นมาแล้ว แต่พวกกองที่ตั้งขึ้นมาใหม่ต่างก็เป็นพวกมือใหม่ทั้งนั้น

“มีอะไรขาดแคลนหรือไม่ ?” ถังหยินถามระหว่างที่เดินลงมา

“ไม่ขาดขอรับ”

“พวกมอร์ฟีสเงียบมากในช่วงนี้ ไม่มีใครมาระรานพวกเราเลย” ถังหยินพูดอย่างเหนื่อยอ่อน ตั้งแต่ที่เขาขึ้นมารับตำแหน่งผู้ว่าเขตปิงหยวน มันก็ไม่เคยมีการต่อสู้กับพวกมอร์ฟีสเลย

จางโจวสงสัยจนต้องถาม “จริงด้วยขอรับ ข้าก็ว่าช่วงนี้มันสงบสุขจนเกินไป”

“แต่ในเมื่อไม่มีใครมา ถ้างั้นก็ถือว่าพวกเรามีเวลา ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลไป จงใช้ช่วงเวลาเช่นนี้ในการเตรียมตัวให้ดี” ถังหยินกล่าว

“ถูกต้องขอรับ”

อาหารในเมืองชายแดนนั้น ค่อนข้างจะพิเศษกว่าเมืองอื่น

ถังหยินนั่งลงและหยิบชิ้นเนื้อขึ้นมาดม “นี่มันหมูป่า !”

จางโจวและคนอื่น ๆ ต่างก็ประหลาดใจ “นายท่านรู้จักได้เช่นไร ?”

ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะ ถังหยินใช้ชีวิตอยู่ในภูเขามาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเนื้อพวกนี้ก็เหมือนกับของกินเล่นสำหรับเขา “ข้าเคยกินมาก่อน ดังนั้นจึงสามารถจดจำมันได้ ว่าแต่มีหมูป่าแถวเมืองของเราด้วยหรือ ?”

จางโจวตอบกลับ “มีสิขอรับ ป่าทางตะวันออกใหญ่มาก ที่แห่งนั้นมีสัตว์ป่ามากมาย ถ้าโชคดีหน่อยพวกเราก็จะจับเสือหรือหมีได้ด้วย”

เมื่อเห็นดวงตาของถังหยินที่เบิกกว้าง จางโจวก็หัวเราะ “ถ้าท่านสนใจ เที่ยงวันนี้ท่านจะไปล่าก็ได้นะ เพราะที่แห่งมันก็มีบ่อน้ำพุร้อนที่น่าสนใจไม่แพ้กันอีกด้วย”

“บ่อน้ำพุร้อน ?” ถังหยินเลิกคิ้วขึ้น

“ถูกต้อง บ่อน้ำพุร้อนที่ว่านั้นดีเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับในช่วงหน้าหนาว” นายกองที่อยู่ข้างจางโจวบอกกับเขา

ชายหนุ่มหัวเราะ “ได้ยินแบบนี้คงจะไม่ไปไม่ได้แล้วล่ะ”

ทุกคนขำออกมาพร้อมกัน

หลังจากกินข้าวเสร็จ พวกเขาก็วางแผนจะไปล่าสัตว์ในภูเขา ทว่ามันก็ได้มีเสียงฝีเท้าของคนผู้หนึ่งเข้ามาขัดพวกเขาเสียก่อน

“รายงานขอรับ”

ไม่นานนัก นายทหารเกราะเบาก็วิ่งเข้ามา

เขาคุกเข่าและพูดอย่างตระหนก “ท่านถัง แม่ทัพจาง พวกมอร์ฟีสเข้าโจมตีเมืองหวาง และตอนนี้พวกทหารยามกำลังพยายามปกป้องเมืองสุดชีวิต แต่ทว่าพวกเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบอยู่ขอรับ”

“อะไรนะ ?” ทุกคนเปลี่ยนสีหน้าทันทีพร้อมยืนขึ้น

เมืองหวางคือ 1 ใน 8 เมืองของเขตปิงหยวน มันห่างจากเมืองชายแดนไปเพียง 40 ลี้เท่านั้น

จางโจวถามอย่างตระหนก “พวกมันมีเท่าไหร่ ?”

“ข้าน้อยไม่แน่ใจ แต่น่าจะเกิน 1 พันขอรับ !”

ได้ยินแบบนั้นจางโจวก็รู้ทันทีเลยว่าเรื่องนี้มันแย่เป็นอย่างมาก เมืองหวางมีทหารคุ้มกันแค่หยิบมือเดียวเท่านั้น ยิ่งเป็นพวกมอร์ฟีสที่ขึ้นชื่อด้านความโหดร้ายแบบนี้ด้วยแล้ว ต่อให้พวกเขามีกันมากมาย ก็คงเอาไม่อยู่ และถ้าจะไปมันตอนนี้ ก็คงสายไปแล้ว

เขามัวแต่ตะลึง ส่วนถังหยินนั้นมีสีหน้าที่หมองหม่น ชายหนุ่มหันหน้าไปหาจางโจว ก่อนเอ่ยถามว่า “แม่ทัพจาง เมืองชายแดนแห่งนี้มีม้าบ้างหรือไม่ ?”

“มี ทว่าก็มีเพียงแค่ร้อยตัวเท่านั้นขอรับ” จางโจวพูด

“พาคนที่มีฝีมือในการขี่ม้ามากับข้า !” ถังหยินเดินออกไป เช่นเดียวกับสองพี่น้องฉางกวงที่ตามไปติด ๆ

จางโจวกับที่เหลือตะลึงพร้อมกับรีบเดินตามติด “นายท่านจะพาทหารไปแค่ร้อยเดียวงั้นหรือ ? มันอันตรายเกินไปนะขอรับ !”

“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ ? เพราะถ้าพวกเราเดินไป มันก็จะไม่ทัน เราคงได้เสียเมืองไปอย่างแน่นอน !” ถังหยินหันมาพูดกับเขา