เทพเศรษฐี โดย ProjectZyphon

ไม้มรกตไล่มังกร

สะเก็ดดาวเคราะห์แดง

หญ้าเงาหยาดน้ำตา

ความเป็นมาของสิ่งของแต่ละชนิดล้วนทำให้สืออวี่สะท้าน กระทั่งดูจนเสร็จ ทั้งร่างของเขาก็ชาวาบ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเจอของล้ำค่า แต่เพิ่งเคยเห็นของล้ำค่ามากมายกองอยู่ตรงหน้าอย่างนี้เป็นครั้งแรก

และในจำนวนนี้ก็มีหลายอย่างที่สาบสูญไปนานแล้ว!

แวบหนึ่งสืออวี่มีความคิดอยากเข้าไปแย่งแหวนเก็บสมบัติของหลินสวินมาไว้

เขาคาดเดาไม่ถูกเลยว่าหลินสวินได้ของเหล่านี้มาได้อย่างไร หรือว่าหลินสวินไม่เพียงปล้นผู้ฝึกปราณของตระกูลฉือ แต่ยังเข้าไปปล้นคลังสมบัติของเทพเซียนด้วย

เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!

หากคนภายนอกรู้ว่าสืออวี่บุตรชายคนที่สามของเทพเศรษฐี คุณชายสามแห่งอัครการค้าหวั่นไหวกับของล้ำค่าเหล่านี้ พวกเขาจะคิดเห็นอย่างไร

สุดท้าย สืออวี่ก็ตัดใจไม่ถามไถ่ที่มาของสมบัติเหล่านี้ ทุกคนล้วนมีความลับของตัวเอง หากโพล่งถามออกไปคงไม่ใช่เรื่องดี แม้จะเป็นเพื่อนสนิทเพียงใดก็ต้องมีเส้นกั้นที่ห้ามล้ำรุก ยิ่งกว่านั้นเพื่อนสนิทย่อมไม่ทำเรื่องผิดพลั้งต่ำช้าเช่นนี้

“อย่ายืนบื้ออยู่สิ เอาเงินค่าทรัพย์หลังศึกพวกนี้ให้ข้าก่อน ข้าต้องรีบกลับไปจัดการธุระ”

หลินสวินไม่กล้าอยู่นาน เขาชำระจิตยังมีงานคั่งค้างให้เขาต้องจัดการอยู่

“เอ่อ เจ้าจะไปทั้งอย่างนี้เลยหรือ” สืออวี่ชะงัก “ของเหล่านี้เป็นของเจ้า ไม่กลัวข้าจะริบกินเองหรืออย่างไร”

“ข้าเชื่อใจเจ้า” หลินสวินยิ้มพลางตบบ่าสืออวี่

สืออวี่ค้อนกลับ “ต่อหน้าของล้ำค่า ข้ามักจะทนไม่ไหวเสมอ”

หลินสวินร้องอ้อ ถอนหายใจ “เพียงของเหล่านี้ก็ทำให้คุณชายสามสืออวี่ทนไม่ไหวเสียแล้ว งั้นเจ้าคงเห็นแก่เงินเกินไปแล้ว แน่นอน ข้าก็ย่อมเป็นคนตาบอดที่คิดว่าคนหลงใหลในสมบัติอย่างเจ้าเป็นสหาย”

“ไสหัวไปซะ!”

สืออวี่กลั้นยิ้มด่า

แม้จะเอ่ยเช่นนั้น แต่เขาก็เดินออกมาจากห้องโถงใหญ่พร้อมกับหลินสวิน สั่งคนรับใช้ให้นำเงินหกหมื่นสี่พันเหรียญทองมาให้เขา

นี่เป็นเงินจากของรอบแรก ส่วนของสมบัติล้ำค่าที่หลินสวินทิ้งเอาไว้ ต้องรอหลังการประมูลถึงจะรู้ว่าเป็นจำนวนเงินเท่าไร เรื่องนี้หลินสวินไม่กังขาในตัวของสืออวี่แม้แต่น้อย

หลินสวินจากไป สืออวี่กลับเข้ามาในห้องพลันรู้สึกสับสน ไม่เจอกันเพียงปีสองปี หลินสวินเปลี่ยนแปลงไปเกินกว่าความคิดของเขามาก ไม่เพียงกลายเป็นผู้สืบทอดตระกูลหลิน แถมยังมีสมบัติล้ำค่ามากมายในครอบครอง เหนือความคาดหมายมากจริงๆ

นับแต่ออกมาจากค่ายกระหายเลือด เขาต้องเผชิญกับอะไรบ้างนะ สืออวี่ตกอยู่ในภวังค์ความคิด

ไม่นานเสียงฝีเท้าก็ทำให้สืออวี่ได้สติ เป็นเหล่านักประเมินทรัพย์ที่เดินออกมาจากห้องหนึ่ง พวกเขาได้ข้อสรุปจากการหารือแล้ว ท่าทางตื่นเต้นและคาดหวัง เพียงแต่เมื่อไม่พบหลินสวิน พวกเขาต่างผงะไป

“คุณชายสาม สหายของท่านเล่า”

ผู้อาวุโสชิวตื่นตระหนก คิดไปว่าหลินสวินทนไม่ไหว ละทิ้งการค้าขายเสียแล้ว

“เขาไปแล้ว” สืออวี่เอ่ยตอบ

“อะไรนะ”

“เขา…เขาไปแล้วอย่างนั้นหรือ”

“หรือเขาไม่พอใจที่เราทำตัวไม่ดี ไม่อยากทำการค้ากับอัครการค้าแล้ว”

ชายชราเหล่านั้นเป็นกังวล ผลึกเก้าลำนำผสานใจกับดอกอำพรางวิญญาณอันล้ำค่าหล่นหายไปจากสายตาเช่นนี้ จะให้พวกเขาไม่ทุกข์ใจได้อย่างไร

ท่าทางหมดอาลัยของพวกผู้เฒ่าทำให้สืออวี่อดว่าไม่ได้ “ใครว่าเขาไม่ยอมทำการค้าด้วยแล้วล่ะ”

“คุณชายสามท่านพูดอะไร” ชายชราเหล่านั้นตาตื่นประกายไปด้วยความหวัง

“เขาเอาของพวกนี้ให้ข้าช่วยประมูล พวกท่านไม่ต้องคิดหนักกับการเสนอราคาอีกแล้ว”

ประมูล!

ผู้อาวุโสชิวชะงักก่อนยิ้มร่า ไม่ว่าจะประมูลหรือเสนอราคาขายตรงๆ เพียงสินค้าเหล่านี้ประกาศขายในนามอัครการค้าก็เพียงพอแล้ว

“ทุกท่านอย่าเพิ่งรีบดีใจ ข้าอยากให้พวกท่านช่วยประเมินราคาของสักหน่อย แน่นอน ของเหล่านี้คือของที่เพื่อนของข้าทิ้งเอาไว้เพื่อประมูลเช่นกัน”

สืออวี่กระแอม เพียงไม่กี่คำพูดก็ดึงดูดความสนใจจากเหล่าชายชราได้แล้ว ยังมีของล้ำค่าอีกหรือ พวกเขาตาเป็นประกาย

สืออวี่หยิบไม้มรกตไล่มังกร สะเก็ดดาวเคราะห์แดง หญ้าเงาหยาดน้ำตาและของอื่นๆ สี่ห้าชนิดออกมา

“สวรรค์ จริงหรือนี่ สะเก็ดดาวเคราะห์แดง ข้านึกว่าทั้งชาตินี้จะไม่มีโอกาสได้เห็นมันอีกแล้ว”

“หยิกข้าที ข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่ หญ้าเงาหยาดน้ำตาแดง ของสิ่งนี้แม้แต่ในวังยังหาได้ยากเลย”

“นะ นะ นี่…”

เมื่อได้เห็นของล้ำค่าที่ขึ้นชื่อว่าขอได้ครอบครองไม่ได้อยู่ตรงหน้า ชายชราเหล่านั้นต่างเสียสติ ตาประกายวาววับพึมพำโห่ร้องไม่สนใจมารยาท สืออวี่ไม่ได้หัวเราะ ตอนที่เขาเพิ่งได้เห็นของเหล่านี้ก็เสียอาการไปเช่นกันจึงเข้าใจความรู้สึกพวกเขาเป็นอย่างดี

“คุณชายสาม ครั้งนี้ท่านสร้างผลงานใหญ่หลวงแล้ว!”

ผู้อาวุโสชิวตื่นเต้นปกปิดอาการดีใจไม่มิด

“ใช่แล้ว มีสมบัติพวกนี้สามารถจัดงานประมูลขนาดใหญ่ได้เลย ในงานอาศัยเพียงสมบัติเหล่านี้ก็เพียงพอให้สะเทือนทั้งนครต้องห้าม ทำให้อัครการค้ามีชื่อเสียงเพิ่มขึ้นได้อีก”

“ขอแสดงความยินดีกับคุณชายสาม! ขอแสดงความยินดีกับคุณชายสาม!”

“สหายของคุณชายสามคนนี้เป็นดาวนำโชคแท้ๆ หากได้มีโอกาสพบกันอีกครั้งพวกข้าจะขอโทษเขาแน่นอน”

ฟังน้ำเสียงตื่นเต้นระคนยินดีของคนเหล่านั้น สืออวี่ไม่วายยิ้ม ครั้งนี้หลินสวินช่วยเขาเอาไว้มาก คิดมาถึงตรงนี้พลันเขาก็ตระหนักถึงบางสิ่ง ยามนี้สถานการณ์ของหลินสวินอันตรายเป็นอย่างมาก ตัวเขาพอจะช่วยอะไรเพื่อนได้บ้างไหมนะ

สืออวี่สูดลมหายใจลึก เอ่ยว่า “ทุกท่าน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ข้าต้องไปปรึกษาท่านพ่อ”

ชายชราเหล่านั้นพยักหน้า ใช่แล้ว มีสมบัติล้ำค่ามากมายขนาดนี้ย่อมต่องบอกกล่าวเทพเศรษฐีสักคำ

เพียงแต่ความคิดของสืออวี่กับพวกเขาไม่เหมือนกัน ที่เขาจะไปพบท่านพ่อเพราะต้องการให้ท่านช่วยคิดหาโอกาสช่วยเหลือหลินสวิน เหตุที่ต้องระวังตัวเช่นนี้ เพราะว่าสถานการณ์ของหลินสวินซับซ้อนเป็นอย่างมาก เกี่ยวพันถึงกลุ่มอำนาจใหญ่มากมายในนครต้องห้าม หากไม่ระวังตัว ไม่เพียงจะช่วยหลินสวินไม่ได้ แต่อัครการค้าเองก็จะได้รับความวุ่นวายกลับมาอีกไม่น้อย

นั่นไม่ใช่สิ่งที่สืออวี่ต้องการเห็น

หลังครัวในเรือนรู้รส

สถานที่ร้อนระอุ มีกองสิ่งของรวมสุมอยู่ข้างๆ ชายสีหน้าไร้อารมณ์นั่งอยู่บนตั่งไม่เล็กกำลังสับมีดเสียงชิ้งๆ ข้างๆ กันนั้นมีโต๊ะไม้ตัวใหญ่วางวัวย่างมันปลาบทั้งตัวตั้งอยู่

ชายกลางคนร่างอ้วนพีในชุดสีขาวนวลตัวบางกำลังแกว่งสะบัดใบมีดจิ้มชิ้นเนื้อวัว

ฉับ ฉับ ฉับ

เขาแล่เนื้อนั้นด้วยความไวแสง แต่ความไวในการสวาปามคล้ายหลุมดำกลับชวนตะลึงยิ่งกว่า ไม่กี่สิบลมหายใจ บนโต๊ะก็เหลือเพียงกระดูกวัวเกลี้ยงเกลา

ชายกลางคนร่างอ้วนพีเคี้ยวหงุบหงับวางมีดในมือ รำพึงว่า “ไม่พูดไม่ได้เลย ข้ากินมาจนทั่วจักรวรรดิ มีเพียงเนื้อวัวที่เจ้าจูเหล่าซานย่างเท่านั้นที่อร่อยที่สุด”

“วัวปีศาจกีบหิมะเหลือไม่มากแล้ว ทางจักรวรรดิมืดหลายปีนี้ก็สถานการณ์ไม่ค่อยดี อาจเกิดสงครามได้ตลอดเวลา หากเจ้าอยากกินอีกต้องรีบส่งคนไปจับมันมา” ชายที่กำลังลับมีดเอ่ย สีหน้าของเขาไร้อารมณ์จนดูเย็นชา

“ไม่ต้องห่วง สงครามยังไวไป อย่างน้อยต้องรออีกสามถึงห้าปี”

ชายกลางคนร่างอ้วนพีหยิบผ้าขนแกะสีขาวขึ้นมาเช็ดปาก เอนหลังไปกับเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน “จูเหล่าซาน เจ้าหลบอยู่ในนี้ทั้งวันน่าอึดอัดไปหรือไม่ เจ้งคงไม่ได้จะนั่งลับมีดอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตหรอกกระมัง”

“ไม่ต้องยุ่งเรื่องของข้า เรื่องของเจ้าข้าก็จะไม่ยุ่ง”

จูเหล่าซานกล่าวพึมพำ นิ้วมือของเขากระด้างหนา หลังมือเห็นเส้นเอ็นปูดเขียว แต่แรงลับมีดกลับอ่อนโยนดุจไหมในยามฤดูใบไม้ผลิ

ชายกลางคนร่างอ้วนพียิ้ม ไม่เอ่ยอะไรอีก

ทันใดนั้นเอง เด็กหนุ่มคิ้วดุจดาบ ดวงตาดุจดาว ท่าทางเจ้าสำราญในชุดขาวก็ปรี่เข้ามา นั่งลงตรงหน้าชายอ้วนพียิ้มร่าเอ่ย “ท่านพ่อ ท่านหลบเสียลับตา ข้าตามหาตั้งนาน”

เด็กหนุ่มชุดขาวคนนี้ย่อมคือสืออวี่

ชายกลางคนร่างอ้วนพีตรงนั้นคือผู้กุมบังเหียนอัครการค้า เทพเศรษฐีผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นตำนานอย่างไม่ต้องสงสัย

หากไม่ได้เห็นกับตา เกรงว่าคงยากจะเชื่อเมื่อคนที่ถูกเรียกว่าเทพเศรษฐีจะมานั่งอยู่ในหลังครัวที่ร้อนอบอ้าวเช่นนี้

“มีอะไรก็ว่ามา”

เทพเศรษฐีเหลือบมองสืออวี่

เด็กหนุ่มรีบเอ่ย “สหายของข้าประสบปัญหา ข้าอยากให้ท่านช่วยหาวิธี”

เทพเศรษฐีสะบัดเสียงหึ คร่ำบ่น “ต้องเป็นปัญหาใหญ่ล่ะสิท่า ไม่อย่างนั้นเจ้าคงจัดการไปนานแล้ว ไหนเลยจะคิดถึงพ่ออย่างข้า ว่ามา มีปัญหาอะไร”

สืออวี่เล่าเรื่องราวของหลินสวินออกมา ฟังจบเทพเศรษฐียังคงเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน มีเพียงดวงตาที่ฉายแววแปลกไป

“ปัญหาใหญ่จริงๆ ด้วยสิ ข้าช่วยไม่ได้หรอก” ครู่ใหญ่เทพเศรษฐีจึงเอ่ยขึ้น

สืออวี่ชะงัก กัดฟันว่า “ท่านพ่อ หากท่านไม่ช่วยข้าจะลงมือเองแล้วนะ ถึงเวลานั้นหากลำบากมาถึงอัครการค้าก็อย่ามาโทษข้าแล้วกัน”

เทพเศรษฐีบันดาลโทสะ “เจ้ากล้าขู่ข้าอย่างนั้นหรือ ชักกำเริบใหญ่แล้วนะ”

สืออวี่ไม่ยอมอ่อนข้อ “ข้าคงทนมองเพื่อนตัวเองลำบากโดยไม่สนใจไม่ได้หรอก”

เทพเศรษฐีหัวเราะครืน หันไปมองจูเหล่าซานที่อยู่ไม่ไกล “ดูสิ นี่คือลูกของข้า เพื่อเพื่อนแล้วแม้แต่พ่อก็ไม่ฟัง”

จูเหล่าซานสีหน้าเรียบเฉย “ลูกของเจ้าแข็งแกร่งกว่าเจ้า”

เทพเศรษฐีแน่นิ่งก่อนจะระเบิดหัวเราะ หันไปบอกสืออวี่ “ข้าไม่ช่วยเพราะว่ามีคนที่เหมาะสมกว่าข้าจะไปช่วยต่างหาก”

“ใครหรือ” สืออวี่ลุ้นระทึก

เทพเศรษฐีเหลือบสายตาไปมองจูเหล่าซาน