เล่ม 1 ตอนที่ 91 แม่งเอ้ย! เปิดได้ไม่เป็นเวลาเอาซะเลย

ราชินีพลิกสวรรค์

ดวงตาของลู่เจี้ยเบิกกว้างด้วยความตกใจ ทาสสาวที่กล้าทำเช่นนี้ เขาควรจะทำอย่างไรกับนางดี

 

 

แต่ในเวลานี้ เจียงหลีจมอยู่ในริมฝีปากอันนุ่มนวลของเขา เป็นไปอย่างที่นางจินตนาการไว้ มันอร่อยและหอมหวานซึ่งทำให้ผู้คนหลงใหลและยากที่จะหยุดลงได้

 

 

ผู้ที่งดงามเช่นนี้ ควรถูกขังในวัง และให้ข้าได้ดื่มด่ำเพียงผู้เดียวเท่านั้น!

 

 

อย่างไรก็ตาม ขณะที่เจียงหลีกำลังมึนเมาจากการจูบ นางก็ต้องถูกผลักออกไปอย่างกะทันหัน ด้วยความรีบร้อน นางกัดริมฝีปากของลู่เจี้ย กลิ่นของเลือดที่เล็ดลอดออกมา ได้ย้อมริมฝีปากใสของเขาให้ดูมีเลือดฝาดสีแดงเล็กน้อย

 

 

ระยะห่างระหว่างทั้งสองถูกเปิดออก ลู่เจี้ยปกปิดความลำบากใจของเขา กระโดดลงจากเตียงน้ำแข็ง และพูดด้วยใบหน้ามืดมนว่า “ดูเหมือนเจ้าจะไม่เหมาะสมกับการเป็นเนี่ยนซือ”

 

 

เจียงหลีนั่งบนเตียงน้ำแข็งและมองไปที่เขา ดวงตาที่สดใส เต็มไปด้วยความขำขัน นางยกมือขึ้น เช็ดเลือดที่ริมฝีปากของนาง “ไม่เหมาะสมได้อย่างไร ข้าก็เพียงแค่ทำลายพลังจิตของท่าน”

 

 

“หึ” ลู่เจี้ยสถบอย่างเย็นชา ดูเหมือนจะโกรธเล็กน้อย

 

 

พัง นางพังพลังจิตไปแล้วแน่นอน

 

 

อย่างไรก็ตาม นางทำการละเมิดเขา!

 

 

หญิงสาวคนนี้ ช่างกล้าหาญขึ้นเรื่อยๆ!

 

 

เจียงหลีไม่กลัวแม้แต่น้อย แล้วล้อเลียนเขาอย่างกล้าหาญ “นายน้อยกำลังโกรธกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้หรือ หากไม่พอใจ ท่านสามารถกลับไปสู่สถานที่เดิมได้นะ”

 

 

ท่าทางปลิ้นปล้อนของนาง ทำให้ลู่เจี้ยยิ้มอย่างเย็นชาและถามว่า “เจ้าเป็นราชินีหรืออันธพาลกันแน่”

 

 

เจียงหลีผงะ ราวกับว่าเขาเคยได้ยินคำพูดเหล่านี้มาก่อนจากที่ไหนสักแห่ง เมื่อความทรงจำของนางสิ้นสุดลง นางก็รู้ว่านี่เป็นครั้งที่สองที่ลู่เจี้ยพูดแบบนี้กับนาง

 

 

แต่นางก็ไม่โกรธ เพียงแค่เหล่ตาและพูดด้วยรอยยิ้ม “มันไม่สำคัญว่าเป็นราชินีหรืออันธพาล ข้ารู้แค่ว่า รสชาติของนายน้อยนั้นดีมาก ค่อนข้างเป็นที่ชื่นชอบของข้า”

 

 

“… ” สายตาของหลู่เจี้ยเย็นชา

 

 

เมื่อเห็นว่าลู่เจี้ยกำลังจะระเบิดแล้ว เจียงหลีจึงรีบพูดว่า “บำเพ็ญต่อ บำเพ็ญฝึกฝนกันต่อ! จุ๊ๆๆ ข้าสามารถต้านทานความงามของนายน้อยได้ ดูเหมือนว่าข้ามีพรสวรรค์มากในการฝึกฝนเพื่อเป็นเนี่ยนซือนะ!”

 

 

ความหน้าด้านของนาง ทำให้ลู่เจี้ยรู้สึกหมดหนทางเป็นครั้งแรก

 

 

ลู่เจี้ยเหล่ตาของเขา แล้วทอดสายตามองไปบนเรืองร่างของเจียงหลีแล้วมองไปมา ทันใดนั้นก็ยิ้มอย่างเย็นชาและพูดว่า “หากเจ้าเป็นราชินีจริง ก็คงต้องเป็นราชินีที่สูญเสียสติและลืมทุกสิ่งเพราะหลงใหลในความงาม!”

 

 

เจียงหลีอ้าปากค้างแล้วยืดเอวพูดว่า “แม้จะยังไม่ใช่ แต่ก็ใกล้แล้วล่ะ”

 

 

ดวงตาของลู่เจี้ยหรี่ลงและคิ้วของเขาก็เย็นชา นี่เจ้าหมายความยังไง หรือว่าเจ้าเป็นคนที่มีความปรารถนาในความงาม เป็นพวกอุปถัมภ์เหล่าผู้ชายที่มีใบหน้าที่งดงามและน่าทะนุถนอมอย่างนั้นหรือ

 

 

ความรู้สึกไม่สบายอย่างที่อธิบายไม่ได้ ทำให้ลมหายใจของลู่เจี้ยค่อยๆ เย็นลง

 

 

ในเวลานี้ เจียงหลีกลับสู่สภาวะปกติ และสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิระหว่างคิ้วของเขาแสดงออกว่าน่าภาคภูมิใจ “นายน้อย เรารีบมาเริ่มกันเถอะ”

 

 

ดวงตาของลู่เจี้ยหรี่ลงอย่างอันตราย และบาดแผลที่ริมฝีปากของเขายังคงปวดอยู่ แต่ท่าทางของนางเป็นธรรมชาติเหมือนไม่มีอะไร ราวกับว่านางเคยชินกับมันแล้ว จนเขาอดไม่ได้ที่จะเดาว่า นางเคยเป็นราชินีแบบไหนกันแน่!

 

 

“ตั้งสมาธิ รู้สึกถึงสติสัมปชัญญะ ขัดเกลาและกลั่นมัน แล้วพลังวิญญาณจะหมุนเวียนและหยุดลง…”

 

 

ลู่เจี้ยจ้องไปที่นาง ค่อยๆ พูดถึงวิธีการบำเพ็ญเนี่ยนซือ เจียงหลีตั้งใจฟัง และไตร่ตรองตาม

 

 

หลังจากที่เขาพูดจบ นางก็พูดอย่างประหลาดใจว่า “การฝึกฝนหลิงซือกับเนี่ยนซือนั้น เป็นสองขั้วที่ต่างกันเสียจริง!” หลิงซือฝึกฝนทางร่างกายให้แข็งแกร่ง แต่เนี่ยนซือนั้นเชี่ยวชาญในสติสัมปชัญญะ ขาดการฝึกฝนทางร่างกายและร่างกายส่วนใหญ่ก็อ่อนแอ

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อใช้พลังจิต จะไม่สามารถใช้พลังวิญญาณได้เลย!

 

 

ลู่เจี้ยแอบหัวเราะ ในขณะที่น้ำเสียงยังคงไร้ความปรานี “หากเป็นเช่นนั้นแล้วเจ้ายังอยากฝึกฝนอีกหรือไม่”

 

 

“แน่นอนสิ!” เจียงหลีกัดฟัน

 

 

นางไม่มีสิทธิ์ในการเลือกเลย มิใช่หรือ

 

 

การล่อลวงของเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อนั้นมีมากเกินไปสำหรับนาง นางไม่สามารถยอมแพ้ได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นนางมีความรู้สึกว่า เสี่ยวหมีเจี้ยจื่อที่เข้าสู่ร่างของ ‘เจียงหลี’ ในเวลาเดียวกับนางนี้ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับวิญญาณของนาง

 

 

“งั้นก็ฝึกฝนต่อ” ลู่เจี้ยพ่นคำสี่คำออกมาอย่างเย็นชา

 

 

ท่าทีของเขาในเวลานี้เย็นชามาก อย่างไรก็ตาม เจียงหลีไม่สนใจ เพราะรู้ว่าเขากำลังอึดอัด และไม่สบายใจที่ตัวเองโดนเอาเปรียบ

 

 

นึกถึงเมื่อครู่…

 

 

เจียงหลีเลียปาก เหมือนว่ายังรับรสชาติที่ค้างอยู่

 

 

การเคลื่อนไหวที่ละเอียดอ่อนของนาง ทำให้ใบหน้าของลู่เจี้ยเข้มขึ้น

 

 

 

 

สติสัมปชัญญะ มีความมืดมัวและว่างเปล่า ลวงตาทำให้มองเห็นไม่ชัด แต่ว่าในความคิดแห่งสติสัมปชัญญะนั้น หนาและแข็งเหมือนน้ำค้าง เปล่งประกายดั่งแสงอัญมณี

 

 

เจียงหลียังคงทำซ้ำๆ กับเคล็ดลับที่ลู่เจี้ยสอน ค่อยๆ ดื่มด่ำกับการปลูกฝังของเนี่ยนซือ ดูเหมือนว่านางจะมาถึงข้างหน้าทะเลสาบสีขาวโพลน

 

 

ทะเลสาบสีขาวใสเหล่านี้ ก็คือสติสัมปชัญญะของนาง

 

 

ข้าจะรวบรัดและควบคุมมันได้อย่างไร จะทำมันให้มีวิธีการโจมตีได้อย่างไร เจียงหลีถามตัวเองอยู่ในใจ

 

 

ตามที่ลู่เจี้ยบอกไว้ สิ่งแรกในการเริ่มต้นของเนี่ยนซือคือการรู้วิธีควบคุมสิ่งต่างๆ!

 

 

แน่นอนว่า หากต้องการควบคุมสิ่งต่างๆ ก่อนอื่นต้องย่อตัวและเปลี่ยนสติสัมปชัญญะให้เป็นรูปร่าง จากนั้นจึงจะเข้าควบคุมสิ่งต่างๆ ผ่านจิตสำนึกอันศักดิ์สิทธิ์และมหัศจรรย์

 

 

หากสามารถควบคุมกระดาษหนึ่งแผ่นให้ลอยขึ้นไปในอากาศได้ ก็ถือได้ว่าเป็นขั้นแรกของเนี่ยนซือแล้ว

 

 

ในทะเลแห่งจิตสำนึกที่สงบของเจียงหลี ค่อยๆ มีคลื่นเกิดขึ้น นางยังคงตั้งสมาธิและสติสัมปชัญญะ อยากทำให้ได้เหมือนมือใหญ่ข้างหนึ่ง

 

 

การบำเพ็ญ ทำให้เวลาเดินเร็วขึ้น เจียงหลีไม่รู้ว่านางฝึกฝนมานานแค่ไหนแล้ว

 

 

อาจจะเป็นแค่วันเดียว หรืออาจจะเป็นสามวัน

 

 

หรือนานกว่านั้น!

 

 

สิ่งที่ปลุกนางคือเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด

 

 

เจียงหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ออกจากการฝึกฝนและลืมตาขึ้น ภายใต้ดวงตาที่สดใสของนางมีแสงสว่างจ้า

 

 

นั่นคือผลลัพธ์หลังจากการกลั่นสติสัมปชัญญะ แต่ที่เนี่ยนซือ ดวงตาของพวกเขาราวกับมีพลังวิเศษ

 

 

ลู่เจี้ย!

 

 

เมื่อเห็นชายหนุ่มมีหน้าที่ซีดและนอนอยู่บนเตียงน้ำแข็ง เขาปวดจนตัวสั่น ดวงตาของเจียงหลีก็หดลง

 

 

อาการกำเริบหรือ!

 

 

ทันใดนั้น เจียงหลีก็เดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของลู่เจี้ย

 

 

รอบๆ ตัวเขามีพลังลึกลับลอยอยู่ ล้อมรอบแต่ไม่กระจัดกระจาย มันเป็นพลังที่เจียงหลีปรารถนาอย่างมาก เมื่อรู้สึกถึงพลังเหล่านั้น เจียงหลีก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น

 

 

ขณะนี้ ดวงตาของลู่เจี้ยที่ปิดลงด้วยความเจ็บปวด ก็ค่อยๆ เปิดขึ้นมองดูนาง และกระซิบว่า “หลีเอ๋อร์ มาที่นี่”

 

 

คำเชิญนี้ ทำให้เจียงหลีมีความปลาบปลื้ม!

 

 

โดยไม่ต้องยืนเส้นยืดสาย นางแทบจะกระโจนเข้าสู่อ้อมแขนของลู่เจี้ย ดูดพลังลึกลับที่รั่วไหลออกมาจากเขา นี่มันอะไรกันทำไมมันถึงมีประโยชน์กับข้า!

 

 

เจียงหลีรู้สึกงงงวย นางรู้ว่านี่เป็นเหมือนยาพิษของลู่เจี้ย แต่สำหรับนางแล้วมันเป็นยาที่ยอดเยี่ยม

 

 

ลู่เจี้ยกอดเจียงหลีไว้ในอ้อมแขนของเขา ลู่เจี้ยรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากร่างกายที่ฉีกขาด ได้รับการบรรเทา

 

 

เขาก็ไม่รู้ว่าทำไม ร่างเล็กนี้ถึงบรรเทาความเจ็บปวดของเขาได้ การเชื่อมต่อที่ยอดเยี่ยมระหว่างทั้งสองนั้น มันเหมือนว่าพวกเขาเติมเต็มซึ่งกันและกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

 

 

อีกครั้งในอ้อมกอดที่ใกล้ชิด จมูกของเจียงหลีถูกับจมูกสูงๆ ของเขา ลมหายใจของทั้งสองพัวพันกัน คนหนึ่งฟื้นความแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อยจากความอ่อนแอ และอีกคนก็เหมือนคนตะกรุมตะกรามดูดซับมันอย่างบ้าคลั่ง

 

 

เขาจ้องมองนาง นัยน์ตาคล้ายว่าเคลือบด้วยสายหมอกหนึ่งชั้น

 

 

แต่นางจ้องมองดูดวงตาคู่นั้น เหมือนจะหายไปในหมอกที่หนาทึบ จมลงไปในนั้น และไม่สามารถละทิ้งตัวเองได้

 

 

“หลีเอ๋อร์ ทำไมเจ้าถึงพิเศษเช่นนี้” ลมหายใจของลู่เจี้ยได้พ่นใส่บนร่างของนาง และกลิ่นหอมของร่างกายเขาก็ล่อลวงสติของนาง

 

 

เจียงหลีหรี่ตาลง ราวกับว่าสามส่วนนั้นสับสน เจ็ดส่วนนั้นหลงใหลไม่ได้สติ นางก็ถามเหมือนกันว่า “ลู่เจี้ย แล้วทำไมท่านถึงพิเศษเช่นนี้ล่ะ”

 

 

การมองดูนางใกล้ๆ ทำให้ลู่เจี้ยนึกถึงจูบที่แอบถูกโจมตีก่อนหน้านี้ สายตาของเขาได้ก้มลงที่ริมฝีปากสีแดงดั่งเชอร์รี่ของเจียงหลี ราวกับกำลังคิดว่า จะทวงบัญชีคืนดีหรือไม่!

 

 

แต่อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สติของเจียงหลีก็ต้องถูกเหวี่ยงออกมา ความมืดอยู่ตรงหน้า และลู่เจี้ยก็หายไปต่อหน้าต่อตานาง สิ่งนี้ทำให้นางที่ยังอยากจะจูบความงดงามที่อยู่ใกล้ๆ นั้น ก็ทำได้แค่พียงสถบด่าอยู่ในใจว่า

 

 

แม่งเอ้ย!…