บทที่ 108 พี่ใหญ่เฉินเฉียงและลุงหลินเฟิง
“น้องชายเฉินเฉียงคือลูกชายของผู้การเฉินเทียนเว่ยนี่เอง ไม่แปลกใจเลยจริงที่ไม่ว่ายังไงเขาก็อยากจะเข้ากองกำลังของพวกเราให้ได้”
“ไม่คิดเลยจริงๆว่าผู้การเทียนเว่ยจะมีผู้สืบสายเลือด แถมยังมาอยู่ต่อหน้าพวกเราแล้วเสียอีก นี่มันสุดยอดไปเลย”
“ข้าก็ว่าแล้วว่าทำไมเขาต้องการธงพลของผู้การเทียนเว่ยนัก อย่างที่เขาว่ากันจริงๆ พ่อยังไง ลูกอย่างนั้น”
หลังจากที่ได้รู้ว่าสถานะที่แท้จริงของเฉินเฉียงแล้ว คนทั้งแปดแห่งกองกำลังเทียนเว่ยได้พูดคุยกันด้วยท่าทางที่ตื่นเต้น
จางหยวนได้จ้องเขม็งไปที่เฉินเฉียงก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “เฉินเฉียง ดูเหมือนว่าเจ้านั้นไม่ได้ทำให้พ่อของเจ้าต้องขายหน้าจริงๆ เจ้าสุดยอดมาก อย่างไรก็ตาม หากเจ้าต้องการธงพล ยังไงซะข้าก็ยึดมั่นในคำของข้าเมื่อสี่เดือนก่อน เจ้าต้องทำให้ได้”
เฉินเฉียงได้พยักหน้ารับอย่างแข็งขัน
เว่ยฉิงเชินผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆก็ประหลาดใจไม่น้อยเช่นเดียวกับพ่อของตนเมื่อทราบถึงสถานะที่แท้จริงของเฉินเฉียง “พ่อ ไม่ใช่ว่าพ่อบอกว่าทายาทของลุงเฉินนั้นตกตายไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ แล้วนี่มันอะไรกัน”
-ลุงเฉินรึ-
เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็มึนงงอย่างหนัก รึว่าเขาเป็นญาติกับตระกูลเว่ยกัน
เมื่อเห็นเฉินเฉียงมีท่าทีงุนงง เว่ยหยวนตี้ก็ได้ยิ้มออกมาเล็กน้อยและพูดขึ้นมา “พ่อไม่คิดว่าทายาทของเฉินเทียนเว่ยเขาจะยังอยู่น่ะสิ ไม่แปลกใจเลยจริงๆที่เจ้านั้นเหมือนเขานัก”
“หากว่าข้ารู้ว่าเจ้ายังอยู่ ข้าคงไปรับเจ้ามาอยู่กับข้าตั้งนานแล้ว”
“หลานชาย บอกลุงเว่ยผู้นี้ทีสิว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เจ้ามีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร ที่ข้าจดจำได้นั้นก็คือเจ้าได้หายตัวไปหลังจากพ่อของเจ้าตกตายลง”
เว่ยหยวนตี้ได้จับมือของเฉินเฉียงให้นั่งลงและรอคอยคำตอบ
เฉินเฉียงได้นึกถึงความหลังที่ผ่านมาเท่าที่เขาจะพอดึงความทรงจำมาได้ก่อนที่จะพูดออกมา “เรียนท่านผู้การ ข้า…”
“เอ้….เจ้านี่ มาเรียกผู้กงผู้การอะไรกัน เรียกค่าว่าลุงเว่ย หลานชาย เมื่อสิบเจ็ดปีก่อนนั้น ข้าเองก็เคยเป็นผู้การคนหนึ่งที่ตึกจอมพลเหมันต์จันทราเช่นเดียวกัน พ่อของเจ้าเองก็เป็นผู้การคนหนึ่ง พวกเราสนิทกันเหมือนดั่งพี่น้อง ดังนั้น อย่าได้ทำกับข้าเป็นคนนอกเป็นอันขาด”
“เป็นเช่นนั้น”
เฉินเฉียงนั้นไม่คิดมาก่อนว่าพ่อของตนนั้นจะมีพี่น้องผู้ผ่านสมรภูมิรบที่ทรงพลังขนาดนี้ และนี่ทำให้เฉินเฉียงรู้สึกผ่อนคลายลง
“ลุงเว่ย ข้าถูกช่วยเอาไว้ปู่ซุนผู้ล่วงลับ หลังจากนั้นข้าก็ได้อาศัยอยู่ในอาณานิคมเขาหมางในฐานะของสมาชิกทีมเก็บกู้ซากศพ เป็นสี่เดือนก่อนเท่านั้นที่ปู่ซุนได้ตกตายในคมปากของสัตว์ประหลาด และหลังจากนั้นข้าจึงได้ไปยังสำนักเต่าดำ”
“ซุน…..ซุนต้าฮู่นั่นน่ะรึ โอ้ ข้ายังจำเขาได้ เขาเองเป็นองครักษ์ที่คอยอยู่ข้างกายพ่อของเจ้าเสมอ ข้าไม่คิดเลยว่าเขาต้องมาตกตายอย่างน่าอนาถเช่นนั้น”
เว่ยหยวนตี้ได้ถอดถอนลมหายใจ ก่อนที่มองเฉินเฉียงด้วยสายตาเอ็นดูและพูดออกมา “และข้าเองก็ไม่คิดว่าเจ้านั้นจะต้องตกระกำลำบากถึงเพียงนี้ ขอโทษด้วยจริงๆ”
“ลุงเว่ย ข้าไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนั้น ในตอนนี้ข้าเพียงมีชีวิตอยู่เพื่อทำคำมั่นที่ให้กับปู่ซุนไว้ก่อนตายเพียงเท่านั้น นั่นคือการได้ธงพลแห่งกองกำลังเทียนเว่ยมาครอบครอง”
“และที่ข้าเข้าไปยังสำนักเต่าดำก็เพียงสิ่งนี้”
“ก็ดี”
เว่ยหยวนตี้ได้วางมือบ่นบ่าของเฉินเฉียงและพูดออกมาอย่างตื่นเต้น “ข้าเชื่อว่าเจ้านั้นต้องสืบทอดตำแหน่งของน้องชายเทียนเว่ยได้อย่างแน่นอน”
“เอาอย่างนี้ดีกว่า วันนี้ข้าจะให้ฉิงเชินพาพวกเจ้าไปกินอาหารค่ำที่ร้านที่ใหญ่ที่สุดในเขตเมือง หลังจากนี้เจ้าค่อยกลับมานี่ ข้าเองก็มีเรื่องที่จะพูดคุยกับเจ้าอยู่อีก”
“ได้ครับ” เฉินเฉียงยืนขึ้นก่อนที่จะทำการคารวะเว่ยหยวนตี้เพื่อขอบคุณออกมา
ก่อนหน้านี้เขาไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสใกล้ชิดกับคนใหญ่คนโตอย่างเว่ยหยวนตี้
นับจากนี้ไป เขาเองจะกลายเป็นคนมีเบื้องหลังกับเขาบ้างแล้ว
เมื่อเทียบกับจ้าวฮั่น เบื้องหลังของเขาเป็นอะไรที่จ้าวฮั่นไม่อาจที่จะเทียบเคียง
เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงรู้สึกว่าตนเองมีไฟขี้นมาอย่างประหลาด และนี่เองก็ทำให้จางหยวนและคนอื่นๆที่อยู่ข้างๆอดที่จะมีความสุขแทนไม่ได้เช่นเดียวกัน
“ท่านพ่อ งั้นลูกขอตัวก่อนค่ะ” หลังจากพูดจบ เว่ยฉิงเชินและเฉินเฉียงได้เดินออกไปเป็นกลุ่มสิบกว่าคน เดินผ่านสวน และเดินตรงไปยังภัตตาคารในเมืองที่ชื่อว่าติ้งฮู่
“พี่ใหญ่เฉินเฉียง ที่นี่คือโรงแรมที่ชื่อว่าทะเลสาบเมฆคราม ร้านอาหารที่ดีที่สุดในกันหนันตั้งอยู่ที่นี่ มา ข้าจะนำทางให้”
เว่ยฉิงเชินได้ต้อนรับเฉินเฉียงและพวกพ้องอย่างอบอุ่น โดยเธอพาไปที่ชั้นสองซึ่งเป็นภัตตาคารที่ดูหรูหรา
ลูกสาวผู้การเขตมาด้วยตัวเอง แน่นอนว่าพนักงานต้องให้การต้อนรับเป็นพิเศษ
“คุณหนูเว่ย ในเมื่อท่านมาด้วยตัวเองขนาดนี้แสดงว่าแขกเหล่านี้ย่อมเป็นบุคคลสำคัญ ทำไมท่านไม่พาแขกเหล่านี้ไปห้องส่วนตัวล่ะครับ”
“ไม่ต้องหรอก เถ้าแก่ ท่านแค่เตรียมจัดเตรียมพื้นที่ริมหน้าต่างพร้อมทั้งเสิร์ฟอาหารจานเด็ดของร้านนั่นก็พอแล้วเอาเป็นเตกีลานั่นนะ รวมถึงไวน์เอาเป็นแบบอย่างดี มาซักห้าไหก่อนก็แล้วกัน”
เมื่อพูดจบ เว่ยฉิงเชินก็ได้พาเฉินเฉียงและคนอื่นๆไปยังโต๊ะริมหน้าต่างและนั่งลง
อย่างที่พูดไว้ว่านี่คือร้านอาหารอันดับหนึ่งแห่งกันหนัน ไม่ว่าจะเป็นอาหารและไวน์ที่เหนือล้ำกว่าที่ใด แม้แต่ความเร็วในการเสิร์ฟอาหารแต่ละจานเองก็เป็นไปด้วยความรวดเร็ว หลังจากที่ทั้งสิบกว่าคนนี้นั่งลงยังไม่ถึงสิบห้านาทีดี ทั่วทั้งโต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหารอย่างพร้อมเพรียง
“พี่ใหญ่เฉินเฉียง มา เชิญพวกท่านดื่มด่ำไปกับรสชาติอาหารจานเด็ดของร้านนี้ก็คืออัลบาทรอสขี้เมา นี่คือส่วนปีกที่ถือได้ว่าดีที่สุดของนกอัลบาทรอสสีทองที่เป็นสัตว์ประหลาดในระดับนายพลวิญญาณ กระบวนการทำอาหารจานนี้ต้องนำมันไปหมักไว้ในเตกีลาอยู่ร่วมเดือน และนี่ทำให้มันอร่อยแบบสุดๆ”
ในขณะที่เธอพูด เธอก็ได้ตักเนื้ออัลบาทรอสขี้เมาใส่ในชามของเฉินเฉียง
“น้องฉิงเชิน เจ้าก็กินด้วยกันสิ”
เป็นอีกครั้งที่เฉินเฉียงต้องกระดากเล็กน้อยกับการเรียกแบบนี้ซึ่งในครั้งนี้เป็นเว่ยฉิงเชิน ในมุมมองของเฉินเฉียงนั้น ถึงแม้เว่ยฉิงเชินจะอายุมากกว่าและตัวเธอนั้นเปรียบได้ดั่งนางฟ้าในแดนสวรรค์ แต่ด้วยการที่พ่อทั้งสองสนิทสนมกันจนนับถือกันเป็นพี่น้องและพ่อของเธอก็นับถือพ่อของเฉินเฉียงเป็นพี่ชายคนหนึ่ง นี่จึงทำให้เธอนั้นได้นับถือเฉินเฉียงว่าเป็นพี่ใหญ่ไปเรียบร้อยแล้ว
จางหยวนและคนอื่นๆเองเมื่อเห็นเว่ยฉิงเชินตักอาหารให้เฉินเฉียงก็อดที่จะมองด้วยสายตาแหย่ๆเสียไม่ได้ แต่เพียงไม่นาน ทุกคนต่างก็หันไปสนใจอาหารที่กองอยู่ตรงหน้า
“ว้าว อย่างที่คิดจริง เตกีลานี่สุดยอดอย่างไม่ต้องสงสัย อ่า….นี่ข้ายังไม่รู้สึกหนำใจเลยนะ”
เมื่อเห็นหลางซานเอ๋อมีท่าทีเสียดาย เว่ยฉิงเชินก็ได้เรียกเจ้าของร้านมาและพูดออกมา
“คุณเจ้าของร้าน นำเตกีลานี่มาให้เพื่อนของข้าอีกคนละยี่สิบไหนะ”
“ฮี่ฮี่ฮี่ ต้องขอบคุณคุณหนูเว่ยจริงๆ” เมื่อหลางซานเอ๋อได้ยินก็รู้สึกมีความสุขแบบสุดๆ “ในครั้งนี้ต้องขอบคุณน้องชายเฉินเฉียงแล้ว เตกีลายี่สิบไหนี้พอที่จะทำให้ข้ามีของดีๆดื่มได้อีกเป็นเดือนๆ”
“ข้าเองก็ต้องขอบคุณน้องชายเฉินเฉียงเช่นเดียวกัน แต่ข้าก็ไม่คิดจะลืมขอบคุณท่านผู้การแห่งกันหนันและผู้การหลินเฟิงด้วยเช่นกัน”
“เห็นด้วย หากท่านผู้การไม่ส่งเรามามอบของขวัญให้คุณหนูเว่ย หากไม่ใช่น้องเฉินเฉียงมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้การแห่งกันหนัน พวกเราคงไม่ได้กินของดีๆแบบนี้”
“เจ้าก็พูดถูก ท่านผู้การของเรานี่ไปๆมาๆก็มอบภารกิจดีๆให้พวกเราในที่สุดสินะ คุ้มค่าแก่การกล่าวขอบคุณแล้ว”
เว่ยฉิงเชินได้พยักหน้าเห็นด้วยและพูดออกมา “ว่าแต่ ทำไมลุงหลินเฟิงนั้นต้องทำแบบนี้เสมอเลยล่ะ ทุกๆครั้งที่เขามากันหนันนั้นเขาก็จะซื้อของให้ข้าเสียทุกครั้ง พี่ใหญ่เฉินเฉียง เมื่อท่านกลับไปแล้วท่านต้องขอบคุณลุงหลินเฟิงให้ข้าด้วยนะ”
“ฮี่ฮี่ฮี่”
“ฮุ้ฮุ้ฮุ้”
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
หลิวไฮ่ที่ได้ยินเว่ยฉิงเชินนั้นเรียกผู้การของตนว่าลุง ในที่สุดเขาอดขำไม่ไหวจนต้องหัวเราะออกมาดังลั่น
“เกิดอะไรขึ้น” เว่ยฉิงเชินนั้นเมื่อได้เห็นท่าทางของทุกคนแล้วก็อดไม่ได้ที่จะสับสน เมื่อเธอหันมามองเฉินเฉียงแล้วก็เห็นว่าเขานั้นกำลังพยายามใช้มือปิดปากเพื่อกั้นขำแบบสุดกู่ เธอเลยได้ถามเฉินเฉียงในทันที “พี่ใหญ่เฉินเฉียง พวกของท่านหัวเราะอะไรกัน นี่ข้าพูดอะไรผิดไปเหรอ”
ก่อนที่เฉินเฉียงจะหลุดขำออกมาจริงๆ เหรินหมิงผู้ซึ่งหัวเราะดังกว่าใครก็ได้รีบพูดออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่า โอ๋ย คุณหนูเว่ยท่านไม่ผิด ท่านไม่ได้พูดผิดอะไรเลยแม้แต่น้อย อ่ะแฮ่ม อย่าได้เป็นกังวลไป พวกเราจะบอก ลุง หลินเฟิงของท่านอย่างแน่นอน พวกเราจะขอบคุณ ลุง หลินเฟิงของท่านให้จงได้ ฮ่าฮ่าฮ่า”
“ไม่ พวกท่านต้องปิดบังอะไรบางอย่างกับข้าแน่ๆ” เว่ยฉิงเชินที่เริ่มอารมณ์เสียได้วางตะเกียบในมือก่อนที่จะหันไปหาเฉินเฉียงและถามออกมา “พี่ใหญ่เฉินเฉียง นี่พวกท่านหัวเราะอะไรกัน บอกข้ามาเดี๋ยวนี้นะ พี่ใหญ่เฉินเฉียง นี่ท่านก็เอากับเขาด้วยเหรอ”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า….”