บทที่ 107 เว่ยฉิงเชิน
“ฮี่ฮี่ฮี่ จางหยวน เจ้าไม่ต้องเคร่งอะไรมากมายขนาดนั้นหรอกน่า มา นั่งลงก่อนแล้วค่อยคุยกัน”
เว่ยหยวนตี้ผายมือให้จางหยวนและคนอื่นๆนั่งลงก่อนแล้วจึงถามออกมา “จางหยวน ทำไมหลินเฟิงถึงได้ให้เจ้ามาเองครั้งนี้ล่ะ ข้าก็นึกว่าเขาจะมามอบของขวัญให้ด้วยตัวเองซะอีก”
จางหยวนได้ไอออกมาหนึ่งทีเมื่อได้ยินคำพูดของเว่ยหยวนตี้ที่เปิดเผยเจตนาของผู้การของตนอย่างไม่ทันตั้งตัว “เรียนท่านผู้การ พวกเราเพียงแค่รับคำสั่งมาจากท่านผู้การของพวกเราเท่านั้น และนี่คือของขวัญให้กับคุณหนูเว่ยเพียงเท่านั้น โปรดรับและส่งมอบให้เธอด้วยครับ”
คุณหนูเว่ย
เมื่อเฉินเฉียงได้ยินแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสาวน้อยชุดขาวขึ้นมาอีกครั้ง เป็นไปได้ว่าผู้การหลินเฟิงและผู้การเว่ยจะ….
เมื่อเว่ยหยวนตี้ได้รับแหวนมา เขาก็วางมันบนโต๊ะโดยไม่ใส่ใจอะไรมากมาย “ฮี่ฮี่ฮี่ ดูเหมือนว่าตึกจอมพลเหมันต์จันทรานี่จะว่างกันจริงๆเลยนะเนี่ย หลินเฟิงถึงได้ส่งคนมาส่งของขวัญให้เข้าได้ในทุกๆสองเดือน นี่แสดงว่าสถานการณ์ที่นั่นยังดีอยู่ใช่รึเปล่า”
จางหยวนได้ถอดถอนลมหายใจในทันทีที่ได้ยิน “เรียนท่านผู้การ หากว่าถามข้าเมื่อหนึ่งปีก่อน คำถามนี้ข้ายังพอจะตอบได้บ้าง”
“แต่ช่วงที่ผ่านมานี้ กองกำลังเทียนเว่ยของข้านั้นไม่ได้รับภารกิจอื่นใดเลยนอกจากการส่งของ ไม่แม้แต่รับหน้าที่อารักขาด้วยซ้ำ”
“นี่จึงเป็นเหตุที่ข้าไม่รู้ว่าจะตอบท่านอย่างไรเลยจริงๆ”
“ท่านผู้การ ทำไมท่านไม่ช่วยคุยกับผู้การของเราให้ส่งกองกำลังเทียนเว่ยออกทำภารกิจดูบ้างล่ะครับ”
“ใช่แล้วครับ หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเราคงไม่ต่างไปจากไม้ประดับตึกจอมพลเพียงเท่านั้น”
เมื่อได้ยินจางหยวนและคนอื่นๆในกองกำลังบ่นอุบ เว่ยหยวนตี้ก็หัวเราะและพูดออกมา “จางหยวน เจ้าไม่ต้องเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจหรอกน่า”
“การที่หลินเฟิงนั้นไม่มอบภารกิจเสี่ยงๆให้เจ้า เป็นเพราะนั้นต้องการปกป้องพวกเจ้าไว้นั่นแหละ เขาเองก็ไม่อยากให้กองกำลังเทียนเว่ยต้องถูกกวาดล้างอย่างสมบูรณ์”
“ภารกิจสอดแนมศัตรูเป็นยังไงล่ะ หืม”
“ต่อให้เจ้ามองว่าเป็นภารกิจง่ายๆ แต่นั่นก็เป็นภารกิจสำคัญของตึกจอมพลอยู่ดี”
“งานในตึกจอมพลนั้นไม่มีต่ำมีสูงหรอกนะ ยังไงซะก็ต้องมีคนทำอยู่ดี”
“เอาล่ะ พวกเจ้าเองก็เลิกบ่นได้แล้ว รีบๆกลับไปบอกผู้การของเจ้าว่าไม่ต้องส่งของขวัญมาให้แล้ว หากว่างนักล่ะก็ ให้เอาเวลาไปใส่ใจเรื่องของกองทัพจะดีกว่า”
เมื่อได้ยินดังนี้ จางหยวนก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเว่ยหยวนตี้ต้องการให้พวกเขากลับ จางหยวนและพวกจึงได้ยืนขึ้นและเตรียมที่จะทำความเคารพก่อนที่จะจากไป
“พ่อ ลูกกลับมาจากสำนักแล้วค่า….”
ตอนนี้เสียงที่ฟังดูน่ารักและสดใสได้ดังขึ้น ตามมาด้วยบางสิ่งที่มีสีขาวที่พลิ้วไสวได้โบยบินเข้ามา
“เว่ยฉิงเชิน”
เฉินเฉียงจดจำได้ในทันทีต่อให้เป็นเพียงแค่ผ้าที่พลิ้วไสว เขาไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกครั้งหลังจากไม่เห็นกันเพียงแค่เดือนเดียว
“ฉิงเชิน ลูกนี่จริงๆเลย”
แม้เว่ยหยวนตี้ทำราวกับจะเอ็ดลูกสาวของตน แต่ใบหน้าของเขากลับแสดงออกมาอย่างซื่อตรงว่ารักและเอ็นดู นี่ทำให้จางหยวนและพวกเห็นได้ชัดว่าเว่ยหยวนตี้นั้นรักและเอ็นดูลูกสาวของตนมากจนไม่กล้าที่จะดุด่าว่ากล่าว
“ฮ่าฮ่าฮ่า จางหยวน ข้าต้องขายหน้าต่อพวกเจ้าแล้ว นี่ลูกสาวผู้ซึ่งเอาแต่ใจของข้า ฉิงเชิน จางหยวนและคนของเขานำของเล็กๆน้อยๆจากหลินเฟิงมาให้น่ะ ดูสิว่าเจ้าชอบรึเปล่า”
หลังจากพูดจบ เว่ยหยวนตี้ก็ได้ส่งแหวนที่วางอยู่บนโต๊ะให้ลูกสาวของตน
“ไหนดูสิ โอ้ มีแต่ของดีๆทั้งนั้นเลย สุดยอดดดด”
เว่ยฉิงเชินเมื่อได้ดูของในแหวนเรียบร้อยแล้วก็ได้หันไปมองจางหยวนและพูดออกมา “พี่ใหญ่จาง ฝากขอบคุณลุงหลินเฟิงด้วยนะคะที่ชอบนำของมาให้ข้าอยู่เรื่อยๆน่ะ”
หลินเฟิงนั้น ที่คอยหาของขวัญมากมายมามอบเว่ยฉิงเชินนั้นแน่นอนว่าต้องเป็นการทำเพื่อชนะใจสาวงาม แต่เขาเองก็ไม่คิดไม่ฝันเหมือนกันว่าจะได้รับเรียกว่า ลุง นำหน้า นี่จึงทำให้คนของกองกำลังเทียนเว่ยกลั้นขำไม่ไหวอีกต่อไป
“เด็กโง่ พ่อบอกตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าให้เรียกเขาว่าพี่ใหญ่หลินเฟิง”
เว่ยหยวนตี้ใบหน้ามืดครึ้มในทันทีระหว่างที่พูดเตือนลูกสาวของตน หลังจากนั้นจึงได้พูดต่อ “เอ้อ ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากจะพบวีรบุรุษแห่งกองกำลังเทียนเว่ยไม่ใช่เหรอ”
“คนพวกนี้คือเหล่าวีรบุรุษที่เจ้าเคยเอ่ยถึง ให้จางหยวนและพี่น้องของเขาได้แนะนำตัวให้เจ้าได้รู้จักไว้”
หลังจากเว่ยหยวนตี้ได้พูดจบลง จางหยวนก็ได้โค้งคำนับขอบคุณเขาและทำการเริ่มแนะนำตัวเองต่อเว่ยฉิงเชินตามด้วยคนอื่นๆ
ยังไงซะ ด้วยการที่เธอนั้นมีร่างกระจ่างจิตที่ร้อยปีจะมีให้เห็นสักคนหนึ่ง ต่อให้เธออยากจะกดตัวเองให้ต่ำ แต่กับร่างกายที่หายากนี่แล้วย่อมเป็นไปไม่ได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้นคือ ด้วยความงามระดับนี้ ก็ไม่แปลกที่ผู้การของเขาจะหลงเข้าอย่างหัวปักหัวปำ
หลังจากที่ทุกคนถูกแนะนำไปแล้ว พวกเขาก็ได้แสดงความเคารพ ประดุจดั่งพบเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ปาน
“คุณหนูเว่ย นี่คือ….”
จางหยวนได้แนะนำคนอื่นๆจนมาถึงคนสุดท้าย แต่เมื่อเว่ยฉิงเชินได้เห็นคนสุดท้าย เธอกลับเป็นฝ่ายพูดออกมาด้วยสายตาที่ลุกวาว
“เฉินเฉียง เจ้าอยู่ที่สำนักเต่าดำไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เรื่องเป็นมายังไงกัน”
“อ่ะแฮ่ม คุณหนูเว่ย พอดีถ้าจะให้เล่าแล้วเรื่องมันยาว เอาเป็นว่าในตอนนี้ข้าเป็นคนของกองกำลังเทียนเว่ยก็แล้วกัน”
“ฉิงเชิน เจ้ารู้จักเจ้าหนุ่มนี่รึ”
เว่ยหยวนตี้ผู้ไม่ค่อยใส่ใจอะไรก็ถึงกับต้องเดินเข้ามาหาเมื่อได้ยินลูกสาวของตนเอ่ยปากออกมา
“พ่อ นี่คือศิษย์แผนกวิชายุทธพิเศษแห่งสำนักเต่าดำที่ชื่อว่าเฉินเฉียงยังไงละคะ ที่ข้าเล่าไปเมื่อเดือนก่อนว่าเขาเป็นคนสังหารถูหมั่นเถียนที่เขตแดนหมอกโลหิตร่วมกับข้า”
“อ้อ”
เว่ยหยวนตี้ได้เดินเขามาหาเฉินเฉียงใกล้ๆเมื่อได้ยิน “ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าจำเรื่องนั้นได้ ข้าคือคนที่เอ่ยขอกับผู้บัญชาการสูงสุดให้เขามอบรางวัลให้กับคุณงามความดีของเจ้าด้วยตัวข้าเองเลยนา”
เมื่อเฉินเฉียงได้ยินดังนั้น เขาจึงรีบก้าวขึ้นมาเพื่อกล่าวขอบคุณ “ถ้าอย่างนั้นข้าต้องขอขอบคุณในความหวังดีของท่านในที่นี้เลยแล้วกันครับ”
หลังจากกล่าวขอบคุณเสร็จ เฉินเฉียงก็เงยหน้าขึ้นมาเพื่อสบตากับเว่ยหยวนตี้
อย่างไรก็ตามเมื่อเฉินเฉียงได้สบตาเข้ากับเว่ยหยวนตี้ เว่ยหยวนตี้ที่กำลังยิ้มก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันใด
ใบหน้าของเขาซีดเผือดในทันที
“เจ้า….” เว่ยหยวนตี้ได้ชี้ไปที่เฉินเฉียง พร้อมใบหน้าที่ซีดเผือดราวกับเห็นผี พลางผงะไปเล็กน้อย
“พ่อ เป็นอะไรน่ะ” เว่ยฉิงเชินได้รีบตรงเข้ามาพยุงพ่อของตนในทันที
หลังจากผ่านไปสักพัก เว่ยหยวนตี้ยังคงตกใจ เขาชี้ไปที่เฉินเฉียงด้วยนิ้วที่สั่นระรัว นี่ทำให้เฉินเฉียงตกอยู่ในความสับสนไม่น้อย
ในที่สุด หลังจากเว่ยฉิงเชินเขย่าตัวผู้เป็นพ่ออย่างหนัก จนในที่สุดเว่ยหยวนตี้ก็ได้สติ เขาสงบใจลงก่อนที่จะมองไปที่ใบหน้าของเฉินเฉียงและถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “เจ้าหนู นามสกุลของเจ้าคือเฉินรึ”
“พ่อ นี่พ่อพูดอะไรออกมา เขาชื่อว่าเฉินเฉียงย่อมมีนามสกุลว่าเฉิน”
“เงียบ” เว่ยหยวนตี้ที่อยากจะดุลูกสาวของตนก็ได้ทำให้เว่ยฉิงเชินนั้นต้องสะดุ้งและเงียบเสียงลง และนี่ทำให้เขาถามออกมาอีกครั้ง
“เจ้าหนู เจ้าพอจะบอกได้รึเปล่าว่าเจ้ามีความสัมพันธ์ใดกับเฉินเทียนเว่ย ผู้นำและผู้การแห่งกองกำลังเทียนเว่ยของเมืองเหมันต์จันทรา”
จางหยวนและคนอื่นๆอีกแปดคนเมื่อได้ยินคำพูดของเว่ยหยวนตี้ก็ตกตะลึง และหันมองเฉินเฉียงเป็นตาเดียว
เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงได้เข้าใจว่าทำผู้การแห่งกันหนันถึงได้มีท่าทีแบบนั้น
ชายคนนี้สมควรจะรู้จักพ่อของเขาเป็นอย่างดี
เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉินเฉียงจึงยืดหลังตรง ก่อนที่จะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงและภูมิใจ “รายงานท่านผู้การ เฉินเทียนเว่ยคือพ่อของข้าครับ”
หลังจากบอกปูมหลังของตนออกไป นี่ทำให้เฉินเฉียงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา ในขณะเดียวกัน เมื่อได้พูดถึงเฉินเทียนเว่ยออกมา ทำให้เขาเองก็รู้สึกภูมิใจขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ
ถึงแม้กองกำลังเทียนเว่ยจะไม่โด่งดังเหมือนแต่ก่อน แต่ชื่อของเฉินเทียนเว่ยนั้นได้ถูกสลักชื่อเอาไว้ว่าเป็นยอดขุนพลแห่งตึกจอมพลเหมันต์จันทรา