“เสี่ยวเชี่ยนกำลังทำอะไรน่ะ?” หัวหน้าใหญ่เห็นเสี่ยวเชี่ยนไม่รู้ใช้วิธีไหนทำให้หูเหม่ยจิ้งหลับไป แต่ที่น่ามหัศจรรย์ก็คือ หูเหม่ยจิ้งที่กำลังหลับอยู่ยกมือขึ้นตามคำสั่งของเสี่ยวเชี่ยน
“เขากำลังพาเหม่ยจิ้งเข้าสู่ห้วงการสะกดจิตระดับลึก เด็กคนนี้เรียนด้วยตัวเองมาจนถึงขั้นนี้แล้ว…” ศาสตราจารย์หลิวรู้สึกว่าฝีมือของเสี่ยวเชี่ยนในตอนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเธอที่เป็นที่ปรึกษาให้นักศึกษาปริญญาเอกเลย
มือใหม่สามารถเรียนรู้ทฤษีต่างๆได้จากตำรามากมายแต่ไม่รู้ว่าใช้อย่างไร แต่เสี่ยวเชี่ยนกลับวินิจฉัยรายละเอียดในแต่ละจุดได้อย่างไร้ที่ติ คล้ายกับคนที่มีประสบการณ์แพทย์คลินิกสูง นี่เป็นสิ่งที่น่าทึ่ง
ถ้าเด็กคนนี้เรียนรู้ด้วยตัวเองจริง ถ้าอย่างนั้นพรสวรรค์กับความฉลาดก็เป็นที่น่าตกใจเหลือเกิน
“งั้นหลังจากที่เสี่ยวเชี่ยนทำแบบนี้แล้วเหม่ยจิ้งจะดีขึ้นเหรอ?” หัวหน้าใหญ่ถามต่อ
“เหม่ยจิ้งต้องพึ่งตัวเองเจ็ดส่วน สามส่วนพึ่งเสี่ยวเชี่ยน”
“ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะ? งั้นให้เสี่ยวลี่เข้าไปไหม?” เสี่ยวลี่เป็นนักศึกษาปริญญาเอกที่ศาสตราจารย์หลิวดูแล ตอนนี้ทำงานอยู่แผนกประสาทของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
“เปอร์เซ็นต์ที่เสี่ยวลี่จะทำสำเร็จยังสู้เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้เลย สามส่วนที่ว่าถือว่าสูงแล้ว เรื่องนี้ต้องพึ่งความสมัครใจของผู้ป่วยเป็นสำคัญ เสี่ยวเชี่ยนทำจนสุดความสามารถของจิตแพทย์แล้ว จะให้ใครเข้าไปหรือแม้แต่ฉันเองก็ยังทำได้ไม่ดีเท่าเขา”
“ท่าทางคุณจะพอใจในตัวนักเรียนคนนี้มากนะ” กี่ปีแล้วนะที่ไม่ได้ยินภรรยาเขาประเมินใครสูงขนาดนี้ นักศึกษาปริญญาเอกที่ศาสตราจารย์หลิวดูแลล้วนเป็นเด็กเก่งทั้งนั้น เสี่ยวเชี่ยนจะต้องมีความสามารถที่เหนือใครแน่นอน ศาสตราจารย์หลิวถึงได้ชื่นชมขนาดนี้
“พอใจมากกว่าตาแก่อย่างคุณเสียอีก รีบหลบไปอย่ามาบัง” ศาสตราจารย์หลิวเอามือดันหัวหน้าใหญ่ออก แล้วจับตามองท่าทางของเสี่ยวเชี่ยนอย่างตั้งใจ
การรักษาของเสี่ยวเชี่ยนกับหูเหม่ยจิ้งเข้าสู่ช่วงที่สำคัญที่สุด
เมื่อหูเหม่ยจิ้งได้ปล่อยวางอารมณ์ทั้งหมดลงแล้ว เสี่ยวเชี่ยนลองสะกดจิตระดับลึกเข้าสู่จิตใต้สำนึกส่วนลึกของเธอ เพื่อทำให้ความทรงจำเรื่องโลนวูล์ฟเลือนลางแล้วลองปลุกบุคลิกที่สองของเธอขึ้นมา
ในระดับนานาชาติการสะกดจิตมีทั้งหมดหกระดับด้วยกัน ระดับสูงที่สุดก็คือระดับหก เสี่ยวเชี่ยนสะกดจิตให้หูเหม่ยจิ้งทีละระดับ สะกดจิตเสร็จหนึ่งครั้งก็ทดสอบหนึ่งครั้ง ถ้าสำเร็จก็จะเข้าสู่การสะกดจิตขั้นต่อไป
เมื่อเสี่ยวเชี่ยนเสร็จสิ้นจากการเข้าไปในโลกจิตใต้สำนึกของเธอแล้วปลุกเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง หูเหม่ยจิ้งจะจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในระหว่างการสะกดจิตไม่ได้
น้อยครั้งที่เสี่ยวเชี่ยนจะใช้เทคนิคการสะกดจิตระดับสูงแบบนี้เนื่องจากสภาพร่างกายของแต่ละคนแตกต่างกัน หากคิดจะสะกดจิตคนอย่างอวี๋หมิงหลางแค่ระดับหนึ่งก็ยังยาก มีเงื่อนไขสูงมากในการสะกดจิตสำหรับนักสะกดจิต ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ นักศึกษาที่เรียนด้านจิตวิทยาหลายคนแค่เคยได้ยินเรื่องนี้ แต่น้อยคนที่จะได้เห็นกับตา ดังนั้นการสะกดจิตระดับลึกแบบนี้จึงเรียกอีกอย่างว่า อาการประสาทหลอนด้านลบ
ตอนนี้แต่ละคำพูดของเสี่ยวเชี่ยนล้วนต้องผ่านการคิดแล้วคิดอีก ระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
“เหม่ยจิ้ง ผนังที่อยู่ตรงหน้าคุณมีนาฬิกาอยู่หนึ่งเรือน พื้นหลังสีขาวเข็มสีดำ เข็มวินาทีเดินไปตามจังหวะ ตึก ตึก ฉันจะนับ 1 2 3 พอฉันนับถึง 3 คุณจะลืมตาขึ้น”
เสี่ยวเชี่ยนนับสาม อันที่จริงกำแพงเบื้องหน้าเธอขาวโพลน ไม่ได้มีนาฬิกาแขวนอยู่
นี่เป็นการทดสอบว่าหูเหม่ยจิ้งเข้าสู่ห้วงการสะกดจิตระดับไหน การที่เธอยกมือขึ้นมาได้ก็แสดงว่าได้เข้าสู่ระดับสี่แล้ว
เสี่ยวเชี่ยนนับเสร็จหูเหม่ยจิ้งก็ลืมตาขึ้น มองกำแพงที่ว่างเปล่า
“เหม่ยจิ้ง กี่โมงแล้วคะ?” เสี่ยวเชี่ยนถาม
“สามโมงห้านาที”
“เห็นเข็มขยับไหม?”
“เห็นแล้ว”
ดีมาก เข้าสู่ระดับห้าแล้ว
เสี่ยวเชี่ยนพอเห็นว่าสำเร็จก็ดีใจมาก ขอแค่เข้าสู่ระดับหกได้ก็เท่ากับสำเร็จไปแล้วครึ่งทาง หลังจากผ่านระดับห้าได้ เสี่ยวเชี่ยนจึงเริ่มท้าทายเข้าสู่ระดับหก
ศาสตราจารย์หลิวที่อยู่ด้านนอกทั้งกังวลทั้งตื่นเต้น เสี่ยวเชี่ยนเหมือนขุมทรัพย์ที่ขุดเท่าไรก็ไม่หมด ในตัวเธอมีเซอร์ไพร้ส์มากเหลือเกิน
เสี่ยวเชี่ยนสะกดจิตระดับลึกให้หูเหม่ยจิ้งอย่างระมัดระวัง พอเธอเรียกหูเหม่ยจิ้งอีกครั้ง หูเหม่ยจิ้งก็เข้าสู่ระดับที่หกแล้ว
มาถึงตอนนี้สิ่งที่แสดงออกมาทั้งหมดล้วนเป็นสัญชาตญาณ ไม่มีใครควบคุมจิตใต้สำนึกกับจิตใจของตัวเองได้ เสี่ยวเชี่ยนเริ่มทำการล้างสมองหูเหม่ยจิ้งอย่างเป็นทางการ
หูเหม่ยจิ้งในตอนนี้ดูเหมือนกำลังเข้าสู่ห้วงแห่งการหลับ ร่างกายของเธอผ่อนคลาย ยังคงได้ยินเสียงจากภายนอก ความตระหนักรู้ของเธอ 75%ได้เข้าสู่โลกภายในแล้ว ตอนนี้เธอไม่เห็น รับรู้เรื่องราวอื่นๆไม่ได้นอกจากเสี่ยวเชี่ยน ในสภาวะที่ถูกสะกดจิตระดับหกนี้ เธอจะยอมรับคำแนะนำและการชี้นำได้ง่าย
เสี่ยวเชี่ยนปลุกบุคลิกที่สองของเธออย่างง่ายดาย ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนเปิดเสียงสนทนาระหว่างเธอกับฉู่เซวียน หูเหม่ยจิ้งก็หลับตามีน้ำตาไหลออกมา
เสียงของฉู่เซวียนดังอยู่ภายในห้อง ตอนที่เขาพูดว่าไม่ว่าเธอจะเป็นใคร จะจำเขาได้หรือไม่นั้นไม่สำคัญ เสี่ยวเชี่ยนได้เอามือลูบท้องของเธอแล้วพูดอย่างนุ่มนวล
“ทุกอย่างในอดีตเป็นแค่ฝัน ในฝันคุณเคยรักและสูญเสีย แต่พอตื่นคุณก็ต้องเริ่มชีวิตใหม่ ผู้ชายที่ชื่อฉู่เซวียนคนนี้กำลังรอให้คุณกลับมาหาครอบครัว ในท้องของคุณมีลูกของคุณกับเขา พวกคุณรอคอยเด็กคนนี้มานานแล้ว อยากสร้างครอบครัวกับเขาไหม จะยอมกลับบ้านเพื่อไปดูผู้ชายที่กำลังรอคอยคุณอยู่หรือเปล่า?”
“ฝันของฉันมันเจ็บปวดมาก…ในฝันมีคนรอฉันอยู่…”
“เขาไม่ได้รอคุณ เป็นคุณที่ไม่ยอมปลดปล่อยตัวเอง ฟังฉัน ไม่ต้องกลัวที่จะลืมตามาดู ใครกำลังรอคุณอยู่? ตัวคุณเอง คนๆนั้นที่อยู่ในฝันหวังว่าคุณจะมีความสุข เขาอยากให้คุณเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างกล้าหาญ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแทนเขา”
“นั่นสิ เขาบอกกับฉันว่าจะทำให้ฉันมีความสุข…”
“ปล่อยวางอดีตถึงจะเดินไปสู่อนาคตได้ อดีตที่ผ่านไปไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีก็ปล่อยให้มันอยู่กับตัวตนคุณในฝัน ตอนนี้คุณต้องไปเผชิญกับคนที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจ เหม่ยจิ้ง ไปเถอะ…”
หูเหม่ยจิ้งรู้สึกว่าตัวเองลอยไปลอยมาท่ามกลางความว่างเปล่า มีเสียงอ่อนโยนอันคุ้นเคยลอยมาจากที่ไกล
หลิวส่วงยืนอยู่ไม่ไกล น้ำเสียงของเขานุ่มนวล แต่เหม่ยจิ้งกลับเห็นสีหน้าเขาไม่ชัด ทุกอย่างเลือนลาง
“เหม่ยจิ้งกลับไปเถอะ กลับไปยังที่ที่คุณควรอยู่”
“แต่ว่า…เรื่องของพวกเราเป็นแค่ความฝันอย่างนั้นเหรอ? ทำไมฉันถึงได้รู้สึกไม่อยากทิ้งมันไป ฉันอยากอยู่กับคุณตลอดไป” หูเหม่ยจิ้งยื่นมือไปอยากจะจับมือเขา
แต่กลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า
“ละทิ้งได้ทุกอย่าง แต่กลับลืมไม่ได้สักอย่าง ไม่มีผมชีวิตคุณก็ยังคงต้องดำเนินต่อ” เสียงของหลิวส่วงดังก้องอยู่ข้างหู หูเหม่ยจิ้งเห็นเขาที่ยังคงอ่อนโยนดั่งวันวานแล้วส่ายหน้าด้วยความเจ็บปวด
“สิ่งที่ผมไม่อยากเห็นที่สุดก็คือคุณเสียใจ เหม่ยจิ้งพวกเราไม่ได้แยกจากกัน พวกเรายังคงอยู่ด้วยกัน คุณได้ทิ้งตัวคุณให้อยู่กับผมแล้วไม่ใช่เหรอ?”
หูเหม่ยจิ้งลืมตาขึ้น เธอเห็นตัวเองอีกคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายหลิวส่วง ตัวเธอคนนั้นกำลังยิ้มอย่างสดใส เธอมองมือของตัวเอง แล้วมองตัวเธอคนนั้นที่กำลังจูงมือหลิวส่วง แล้วก็เกิดความสงสัย
ทำไมตัวเธอมีสองคน?