เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่าตัวเองต่างจากชาติที่แล้วแน่นอน แต่จะเป็นตรงไหนที่แตกต่างนั้น ตัวเธอก็บอกไม่ถูก แค่รู้สึกว่าเป็นแบบนั้น
แต่ตอนที่มือของอวี๋หมิงหลางประสานเข้ากับมือเธอแน่น เมื่อทั้งสองคนยืนอยู่หน้าหลุมศพของวีรบุรุษ หลังจากที่เป็นพยานให้กับคนรักสองคนที่ต้องแยกจากกัน เสี่ยวเชี่ยนก็เข้าใจแล้ว
“อันที่จริงฉันไม่มีนายก็สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้”
“อะไรนะ” ไหนล่ะคำสัญญา?
“แต่ช่วงเวลาที่มีนาย มันสงบกว่าอย่างเห็นได้ชัด”
มีชีวิตอยู่เหมือนกัน แต่คุณภาพการใช้ชีวิตจะเหมือนกันได้ยังไง
ชีวิตของเสี่ยวเชี่ยนถูกเรื่องราวต่างๆเข้ายึดครองพื้นที่จนเต็ม เธออยากปีนไปถึงจุดสูงสุดในหน้าที่การงาน ใช้ความพยายามของตัวเองปกป้องครอบครัว แต่ไม่ว่าเธอจะเป็นใคร อยู่ในตำแหน่งไหน ในใจก็มักจะมีพื้นที่เหลือไว้ให้เขาเสมอ
ขาดไปก็จะไม่สมบูรณ์
มือใหญ่และมือเล็กกุมกันไว้ สีผิวตัดกันอย่างเห็นได้ชัด เบื้องหลังคือรูปถ่ายของโลนวูล์ฟ
ฝนหยุดแล้ว ความหนาวเย็นในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน ความอุ่นจากมือหนาของเขาส่งผ่านมาที่มือเล็กๆเธอ
หากในใจมีคนหรือเรื่องให้คิดถึงก็ทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยแรงผลักดัน ถ้าชีวิตของคนเราได้ถูกกำหนดให้ต้องจากกัน ถ้าอย่างนั้นคนที่ชอบที่ได้เจอระหว่างทางบางทีก็อาจจะเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำให้เดินต่อไปได้อย่างมีความสุข
พ่อแม่ คนรัก ลูก คนเหล่านี้ที่ได้เดินทางร่วมกัน บางคนอาจเดินๆอยู่แล้วหายไประหว่างทาง ก็เหมือนกับโลนวูล์ฟของหูเหม่ยจิ้ง แต่เสี่ยวเชี่ยนกลับหวังว่าอวี๋หมิงหลางจะสามารถเดินไปกับเธอได้จนถึงจุดหมายปลายทาง
“อวี๋หมิงหลาง”
“อืม” น้อยครั้งที่เธอจะเรียกชื่อเขาเต็มๆ
“นายต้องอยู่ไปนานๆนะ อยู่ให้นานกว่าฉันหนึ่งวันหรือหนึ่งวินาที ฉันเคยวิเคราะห์นิสัยของตัวเอง ฉันไม่มีทางเป็นบุคลิกสลับขั้ว ดังนั้นนายจึงต้องเป็นฝ่ายรอฉัน ไม่ใช่ฉันรอนาย เข้าใจไหม?”
“ได้”
สองมือประสานกันอย่างแน่นหนา เขาถอดเสื้อนอกออกมาคลุมไหล่ให้เธอ กำบังอากาศหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิให้กับเธอ เธอเอนตัวพิงกับตัวเขา เพื่อส่งผ่านความอบอุ่นไปยังเขา คนหนึ่งพันคนก็จะมีความรักหนึ่งพันแบบ สำหรับโลนวูล์ฟกับหูเหม่ยจิ้งแล้ว บทสรุปแบบนี้น่าจะเป็นตอนจบที่ดีที่สุดแล้ว
เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้ว่าเธอกับอวี๋หมิงหลางควรมีบทสรุปแบบไหนกันแน่ถึงจะดีที่สุด แต่เธออยากให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆจนกว่าวันนั้นจะมาถึง แล้วลองดูว่ามันจะใช่บทสรุปแบบที่เธอต้องการหรือเปล่า
……
เสี่ยวเชี่ยนรักษาในขั้นที่สามให้หูเหม่ยจิ้งไปก่อนหน้านี้ ทำให้ในตอนสุดท้ายใกล้จะสำเร็จเข้าไปทุกที
หลังจากที่เสี่ยวเชี่ยนกลับไปแล้วได้ปิดประตูคุยกับหูเหม่ยจิ้งตามลำพัง
ส่วนฉู่เซวียนสามีของหูเหม่ยจิ้งได้รออยู่ด้านนอกอย่างร้อนรน มือของเขาประสานกันอย่างไม่รู้ตัว นี่คือช่วงที่สำคัญที่สุด
หัวหน้าใหญ่ยื่นบุหรี่ให้เขาหนึ่งมวน เขารับมาด้วยมือสั่นๆแล้วจุดสูบ
อันที่จริงศาสตราจารย์หลิวก็อยากเข้าไป แต่เธอเชื่อในความสามารถของเสี่ยวเชี่ยน ไม่ว่าผลการรักษาจะเป็นไปตามความคาดหมายของทุกคนหรือไม่ เธอก็เชื่อว่าเสี่ยวเชี่ยนได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว ต่อให้เปลี่ยนเป็นเธอรักษา ก็ไม่มีทางทำได้ดีกว่าเสี่ยวเชี่ยน
“เข้าไปตั้งนานแล้วทำไมยังไม่ออกมาอีก?” หัวหน้าใหญ่ถามคำถามที่อยู่ในใจฉู่เซวียน
ศาสตราจารย์หลิวส่ายหน้า “ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็อยู่ที่ครั้งนี้แล้ว”
“เปอร์เซ็นต์สำเร็จสูงไหม? ทำไมผมรู้สึกว่าศาสตร์ของพวกคุณมันไม่ค่อยน่าเชื่อถือก็ไม่รู้—” หัวหน้าใหญ่ยังไม่ทันพูดจบก็รู้สึกเหมือนมีรังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากหญิงสูงวัยข้างๆ อยากจะหลบแต่ก็คิดได้ว่า—
ถ้าหลบจะเจ็บหนักกว่า ไม่หลบก็ถูกตบ แต่ถ้าหลบไม่แน่อีกหน่อยผู้หญิงคนนี้อาจไม่คุยกับเขาแล้ว
ดังนั้นหัวหน้าใหญ่จึงเลือกที่จะยืนตรงจนกระทั่งศาสตราจารย์หลิวฟาดฝ่ามือเข้าไปตบ เขาถึงได้โล่งใจ
ดูสิ ชีวิตคนเรามักจะมีเซอร์ไพร้ส์แบบไม่ทันตั้งตัวเสมอ ไม่หลบน่ะดีแล้ว ไม่ถูกข่วน แค่ตบลงมาหนึ่งที
ศาสตราจารย์หลิวมีเหรอจะเข้าใจความคิดร้อยแปดตลบของหัวหน้าใหญ่ เธอไม่สบอารมณ์กับความสงสัยของหัวหน้าใหญ่ที่มีต่อวิชาชีพเธอเป็นอย่างมาก
“ทำไมจะไม่น่าเชื่อถือ?”
“สะกดจิตฟังๆดูเหมือนเป็นทริคที่ใช้หลอกคนยังไงก็ไม่รู้—” เตรียมยืนตรงให้พร้อม รอ ‘เซอร์ไพร้ส์’
ครั้งนี้ไม่ใช่ ‘เซอร์ไพร้ส์’ แต่ศาสตราจารย์หลิวข่วนเขา
ในใจของหัวหน้าใหญ่หวาดกลัวเป็นอย่างมากแต่ก็ถอยไม่ได้ เขาก็แค่สงสัยแบบคนทั่วไป ทำไมต้องโหดขนาดนี้ด้วย
“การสะกดจิตสำหรับหลายๆคนดูเป็นเรื่องลึกลับ แต่หลังจากที่เข้าใจหลักการของมันแล้วก็จะรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์อะไร การสะกดจิตก็คือการข้ามผ่านความตระหนักรู้ไปสื่อสารกับจิตใต้สำนึกของคน ตอนนี้เหม่ยจิ้งไม่อยากลืมเรื่องในอดีต แต่จิตใต้สำนึกของเธอกลับอยากลืม ดังนั้นตอนนี้ที่เสี่ยวเชี่ยนกำลังทำก็คือเข้าไปสื่อสารกับจิตใต้สำนึกของเหม่ยจิ้ง”
“ความตระหนักรู้อะไร จิตใต้สำนึกอะไรกัน?” หัวหน้าใหญ่ถาม
“คุณเห็นข้างทางมีคนแก่ล้มอยู่จะเข้าไปพยุงไหม?” ศาสตราจารย์หลิวไม่ตอบ แต่ถามกลับ
“แน่นอน” หัวหน้าใหญ่มองภรรยาตัวเองด้วยความสงสัย
“คุณตอบออกมาได้นั่นก็คือความตระหนักรู้ มันคือกระบวนการรับรู้ที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เรื่องนี้ทำได้หรือไม่ได้ล้วนตัดสินมาจากความตระหนักรู้ของคุณ จิตใต้สำนึกตอบออกมาไม่ได้ แต่มันมีอิทธิพลต่อมุมมองที่เรามองคนอื่น หรือถึงขนาดที่ว่าความสามารถในการตัดสินใจกับการวิเคราะห์อย่างรวดเร็วที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายก็ล้วนมาจากจิตใต้สำนึกเป็นตัวตัดสินใจ เจ้าเล็กของพวกคุณเป็นคนที่ใช้ประโยชน์จากจิตใต้สำนึกได้เก่งที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา”
“ใช่ อวี๋หมิงหลางโดดเด่นมากในเรื่องนี้ เขามักจะวิเคราะห์ตัดสินใจสิ่งต่างๆได้อย่างน่าตกใจบ่อยๆ แต่เขากลับบอกว่ามันเป็นสัญชาตญาณ สิ่งที่เขาคิดว่าไม่ถูก ขอแค่ทำการศึกษาให้ลึกลงไปก็จะพบว่ามันมีปัญหา จุดนี้ผมยังว่ามันน่าประหลาด ตอนซ้อมรบความสามารถของเขาโดดเด่นมาก อีกทั้งยังเกิดประโยชน์ในภารกิจสำคัญๆ”
การที่อวี๋หมิงหลางแสดงความสามารถออกมาได้อย่างโดดเด่นทั้งที่ยังหนุ่ม รวมถึงหน้าที่การงานของเขาที่โตเอาๆในชาติที่แล้ว ล้วนเกี่ยวข้องกับความสามารถพิเศษนี้ของเขา
“นี่เป็นความสามารถแฝงที่เกิดจากจิตใต้สำนึก อันที่จริงจิตใต้สำนึกของคนเราแต่ละคนถูกสะกดจิตอยู่ทุกวัน ข่าวสารด้านลบที่ได้จากเวลาคุยกับขาเม้าท์ซุบซิบล้วนถูกจิตใต้สำนึกซึมซับไว้ ซึ่งมันจะส่งผลต่อการตัดสินใจของคุณในวันข้างหน้า ดังนั้นฉันถึงได้ไม่ชอบการสนทนาไร้สาระ”
“…มิน่าถึงได้ไม่ค่อยมีใครคบ”
ศาสตราจารย์หลิวเป็นคนแบบนี้มาตั้งแต่สาวๆ ถ้าใครมาคุยเรื่องที่เธอไม่อยากฟังเธอก็จะเดินหนีไปทำเรื่องของตัวเองทันทีโดยไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น ดังนั้นทุกคนจึงบอกว่าเธอเป็นคนประหลาด
“คุณจะเข้าใจอะไร ดูเสี่ยวเชี่ยนศิษย์รักของฉันซิ คุณเคยเห็นเขาคุยไร้สาระกับคนอื่นหรือเปล่า? เขาไปนั่งเม้าท์ซุบซิบกับคนอื่นเมื่อไรกัน? แม้แต่ละครน้ำเน่ายังไม่ดูเลย ก็เพราะเขาไม่อยากให้สิ่งไร้สาระมาล้างสมองจิตใต้สำนึกของตัวเอง เขาถึงได้เก่งแบบนี้ไง ฉันภูมิใจในตัวเขามาก ฉันไม่เคยเจอเด็กอายุน้อยคนไหนมีความสามารถมากเท่านี้มาก่อน เดี๋ยวฉันกลับไปจะให้เพื่อนที่อยู่เมืองนอกช่วยดูพวกหนังสือมาให้เขา อีกทั้งฉันยังต้องสั่งสอนเขาด้วยตัวเอง เพื่อให้ดวงดาวได้เจิดจรัสบนท้องฟ้าต่อไป”
หัวหน้าใหญ่มองเสี่ยวเชี่ยนผ่านกระจก หูก็ฟังภรรยาของตัวเองชื่นชมลูกศิษย์ไม่หยุดหย่อน เขายืนไว้อาลัยให้เสี่ยวเชี่ยนเงียบๆ
คนที่ถูกผู้หญิงคนนี้ถูกใจน่าสงสารจริงๆ
เอ๊ะ? สถานการณ์ข้างในดูเหมือนจะเปลี่ยนไป?