บทที่ 90 แผนการ (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

‘ช่างมัน! เดินหนึ่งก้าวดูหนึ่งก้าว ถ้าตระกูลเจินพ่ายแพ้จริงๆ บางทีมีแค่เมืองใหญ่อย่างเมืองเลียบคีรีจึงเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด

เบื้องหลังราชสำนักคือราชวงศ์ ราชวงศ์ปกครองดินแดนที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ในนามได้ ขุมกำลังเบื้องหลังจะต้องไม่ต่ำต้อย ถึงเวลาหลบเข้าเมืองเลียบคีรีย่อมไม่เกิดเรื่องใหญ่ หนำซ้ำศิษย์พี่ต้องมีแผนในใจแน่’

ลู่เซิ่งไม่คิดมาก ควบม้ามุ่งไปยังคูเมืองด้วยความเร็วสูง

‘หนึ่งเดียวที่เราทำได้คือรวบรวมวัตถุที่มีปราณหยิน ยกระดับพลังให้เร็วที่สุด! ความปลอดภัยมีแค่ครอบครองอยู่ในมือจึงรับประกันได้ดีที่สุด!’

เขากลับเข้าเมืองในคืนนี้ บริวารในพรรควาฬแดงส่งศพกลับมาถึงห้องโอสถของสาขาพรรคหลังหนึ่งในเมืองแล้ว

เขาไปสถานที่ที่ศพอยู่บริเวณลานหลังของห้องโอสถ ในที่สุดก็เห็นศพของลู่เฉินซินกับคนที่เหลือ

ซู้ด…

หลังจากลู่เซิ่งเปิดผ้าขาวออก ก็อดปิดจมูกพลางถอยหลังไปก้าวหนึ่งไม่ได้

กลิ่นเหม็นหืนของเนื้อเน่าลอยมา น่าสะอิดสะเอียนเหมือนกับของสกปรกที่มันเลี่ยนบนกำแพงร่องระบายน้ำ พลพรรคหลายคนที่ยืนอยู่ด้านข้างของเขาอดปิดจมูกเผยสีหน้ารังเกียจไม่ได้

ลู่เฉินซินที่นอนในโลงศพ ท่อนบนศีรษะเหมือนถูกดาบตัด เหลือส่วนใบหน้าต่ำกว่าลูกตา ส่วนหน้าผากหายไปหมด แขนขาเหมือนไม้แห้งเหี่ยว ดำสนิทไม่มีน้ำและสีเลือด

สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ลำตัวศพเน่าเปื่อยยิ่ง ผิวที่เปิดเปลือยเป็นรูหนอนไช ส่วนหนึ่งขึ้นรา บางส่วนเน่าเปื่อย กลิ่นเหม็นผสมกัน ไม่อาจหายใจ

“ไม่มีใครแตะต้องศพใช่หรือไม่” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วถาม

“ไม่มี! ย้ายเขาเข้าโลงศพในท่าเดิม ไม่ได้แตะต้องแม้แต่น้อย” นิ่งซานที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น

“พวกเจ้าช่วยกันยกตามข้ามา” ลู่เซิ่งสั่ง

พลพรรครีบขึ้นหน้าไปปิดโลงศพ กลิ่นเหม็นจางลงมาก ทุกคนถอนหายใจอย่างแรง

“ไป ไปคฤหาสน์ลู่” เขาไม่ได้รู้สึกว่าสภาพการณ์คับขันขนาดนี้มานานแล้ว

ตระกูลลู่

ลานด้านหลังไฟตะเกียงสว่างโร่ เสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นดังมาไม่ขาด

“ลูกข้า! เหตุใดจึงตายน่าอนาถขนาดนี้!” หวังเหยียนอวี่นั่งโบกไม้โบกมืออยู่กับพื้น น้ำหูน้ำตาไหล เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย

ผู้เยาว์ ผู้อาวุโสจำนวนไม่น้อยอยู่รอบๆ ลู่เทียนหยางกับลู่อิงอิงต่างก็อยู่ ยังมีญาติทางไกลคนอื่นๆ ทั้งหมดยี่สิบกว่าคน

ลู่เฉวียนอันนั่งอยู่ด้านข้าง บนหน้า คอ มือ เป็นรอยเลือดที่ถูกข่วน

“หวังเหยียนอวี่! เจ้าทำบ้าอะไร! ตรงนี้มีคนมากมายมองอยู่ เจ้ามีความอับอายหรือไม่” เขาโมโหโกรธา คิดกระอักเลือด

“ลูกข้าตายแล้ว ตายแล้ว! ความหวังในอนาคตของข้าหายไปแล้ว ลู่เฉวียนอัน! ลูกท่านตายไปหนึ่งคนยังมีอีกสอง แต่ข้ามีคนเดียว! มีลูกคนเดียว! หวังเหยียนอวี่ตะโกน

“เฉินซินก็เป็นลูกของข้าเหมือนกัน เขาหายไป ข้าก็ปวดใจเหมือนเจ้า! แต่ตระกูลลู่มีคนหลายคน เด็กชราหลายสิบชีวิต ไม่อาจตายเพราะเฉินซินกระมัง เจ้าทำแบบนี้ ไม่รู้สึกผิดต่อเสี่ยวหงในตอนนั้น ไม่รู้สึกผิดต่อเทียนหยางหรือ!?” ลู่เฉวียนอันกุมหน้าอกกล่าวอย่างเจ็บปวด

“แล้วนั่นจะอย่างไร อาศัยอะไรลูกข้าตาย แล้วลู่เทียนหยางยังรอด พวกเขาอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน อาศัยอะไร นายผู้เฒ่าท่านบอกข้าอาศัยอะไร!?” หวังเหยียนอวี่ตาแดงก่ำ ถุงใต้ตาบวมเหมือนลูกท้อ ในดวงตาเป็นความโหดเหี้ยมที่ปิดไม่อยู่

ลู่เฉวียนอันไม่มีวาจาตอบโต้ ลู่เทียนหยางกับลู่เฉินซินอยู่ในบ้านหลังเดียวกันจริงๆ เหตุใดลู่เฉินซินหายไปแล้ว เทียนหยางกลับไม่เป็นอะไรเลย

“ดูสิ! ดู! ท่านไม่ใช่ไร้วาจาตอบจริงๆ หรือ เหอะๆๆ…. ลู่เฉวียนอัน ตอนท่านแต่งกับข้าท่านรับปากข้าว่าอย่างไร ตอนอยู่บนเตียง ท่านกล่าววาจาไพเราะ ขอแค่ข้ายินยอม จะกำหนดเงินทุน กำหนดสถานะในภายหลังให้ลูกของพวกเรา… ผลลัพธ์เล่า ผลลัพธ์เล่า!” หวังเหยียนอวี่คุ้มคลั่งกว่าเดิม “ลูกข้าตายแล้ว ตายแล้ว… ท่านให้กำเนิดได้อีกหรือ ได้หรือ ฮ่าๆๆ! ไม่อย่างนั้นให้ข้าไปหาพี่ใหญ่ ให้เขาทำข้า ไม่แน่จะยืมลูกคนใหม่มาได้! หรือว่าบุรุษที่อยู่รอบๆ ตัวท่าน!”

นางตะกายลุกขึ้น จับบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งที่อยู่ด้านข้าง

“พ่อบ้านจ้าว ท่านไม่ใช่มักแอบมองข้าหรือ ชอบข้าหรือไม่ มาสิ! มา! ตรงนี้ ข้าให้ท่านขึ้น! ฮ่า… ฮ่าๆๆ!”

คนผู้นั้นหน้าแดงก่ำ คิดขัดขืน แต่ถูกจับเสื้อผ้าไว้ดิ้นไม่หลุด คนคุ้มกันที่เหลือคิดออกมา แต่กลัวทำให้หวังเหยียนอวี่บาดเจ็บ จึงไม่กล้าขยับ

ลานด้านหลังอึดอัดกว่าเดิม

ผัวะ!

“ผิดประเพณีไปหมด!” ลู่เซิ่งสาวเท้าเข้าประตูใหญ่ของลานด้านหลังมา ใบหน้าบึ้งตึง พลพรรควาฬแดงสองฟากพากันพุ่งเข้ามาจัดเป็นสองแถว

“แยกนางออกมา!” เขาจ้องหวังเหยียนอวี่ที่วิปลาส

มีคนสองคนเข้าไปแยกหวังเหยียนอวี่ที่กำลังหัวเราะออกมา

ลู่เฉวียนอันถูกข่วนจนใบหน้ามีแต่รอยเลือด นั่งถอนใจอยู่ด้านข้าง

“อ้าว! นี่ไม่ใช่คุณชายใหญ่ผู้น่าเกรงขามของพวกเราหรอกหรือ อยู่เมืองเลียบคีรีคนเดียวมานาน เหตุใดไม่เกิดอุบัติเหตุ…” หวังเหยียนอวี่หัวเราะคิกคัก ไม่สนใจที่ตนเองถูกจับ

เพียะ

ลู่เซิ่งเข้าไปตบหน้าหวังเหยียนอวี่อย่างแรง จนสตรีนางนี้ศีรษะสะบัด มึนงงไปครู่หนึ่ง แล้วจึงสลบไสลไปไม่ส่งเสียง

“ฮูหยินสามง่วงแล้ว พานางไปพักผ่อน ปิดประตูให้ดี”

“ขอรับ!” ครั้งนี้ข้ารับใช้สองคนค่อยรีบเข้ามาลากหวังเหยียนอวี่ไป

คุณชายใหญ่ลู่เซิ่งที่มีวาจาสิทธิ์สูงสุดเอ่ยปาก บวกกับเขาพาพลพรรคจำนวนไม่น้อยมา คนมากสภาวะมาก สะกดทุกผู้คน หวังเหยียนอวี่ถูกจัดการลากตัวออกไป

ลู่เซิ่งมองลู่เฉวียนอันผู้เป็นบิดา ถอนใจเบาๆ เขาชราแล้ว เผชิญกับคนข้างหมอนตัวเอง สุดท้ายก็ทำใจเหี้ยมไม่ลง ถึงขั้นเสียหน้าแบบนี้ จนปัญญายิ่ง

“เซิ่งเอ๋อร์…” ลู่เฉวียนอันถอนใจ เหมือนชราลงมาก

ลู่เซิ่งมองลู่เทียนหยางที่ยืนอยู่ด้านข้าง ยังกอดแขนหลูหงมารดาสี่ของเขา หรือก็คือมารดาของลู่เทียนหยางไว้แน่น

มารดาผู้น่าสงสารคนนี้ยามนี้กุมมือบุตรชายไว้แนบแน่น น้ำตาคลอ

“คุณชายเซิ่ง หวังเหยียนอวี่วางยาพิษในมื้อดึกของเทียนหยาง!” หลูหงกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ร่วงผล็อยลงมา

“เหตุใดนางถึงใจร้ายขนาดนี้…” นางร้องไห้ฮือๆ

ลู่เทียนหยางสีหน้าซีดขาว ลมหายใจปั่นป่วน ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า ได้แต่ปล่อยให้มารดากอดตัวเอง

“พอได้แล้ว!” ลู่เซิ่งแค่นเสียง “ร่ำร้องหาอะไร!?”

หลูหงตกใจตัวสั่น ไม่กล้าร้องไห้อีก

“แยกย้ายกันได้แล้ว! ลู่เทียนหยาง ลุงจ้าว พ่อบ้านจ้าวอยู่ก่อน ผู้คุ้มกันเฝ้าอยู่ด้านนอก ที่เหลือล้วนกลับไป! ควรทำอะไรก็จงทำเสีย!” ลู่เซิ่งหันไปมองรอบๆ ดวงตาดุดัน ทุกคนที่ถูกมอง นอกจากลุงจ้าวล้วนไม่กล้าสบตากับเขา พากันก้มศีรษะ

บารมีของเขาในตอนนี้เพิ่มมากขึ้น บวกกับกล้ามกำยำ ร่างสูงใหญ่ เป็นเพราะฆ่าคนมามากมาย บนตัวมีความโหดเหี้ยมชั้นหนึ่ง เมื่อดุร้ายขึ้นมา คนธรรมดาแม้แต่ความกล้าในการสบตากับเขาก็ไม่มี

ได้ยินเขาออกคำสั่ง คนอื่นๆ รีบวิ่งเหยาะๆ แยกย้ายกันไป เหลือแค่คนส่วนน้อยยืนอยู่ลานด้านหลัง

อย่างรวดเร็ว รอประตูลานปิด ด้านนอกมีคนเฝ้า คนของพรรควาฬแดง ถูกลู่เซิ่งเรียกออกไปเฝ้าเช่นกัน เขาจึงค่อยถามลู่เฉวียนอัน ทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ที่แท้หวังเหยียนอวี่รอมานาน รู้สึกว่าลู่เฉินซินบุตรชายประสบเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดี บวกกับลู่เฉวียนอันไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้อีก ตนไร้ทายาท จึงเกิดความสิ้นหวังและความอำมหิต

วางพิษดอกกาวที่อันตรายถึงชีวิตไว้ในของว่างมื้อดึกที่จะส่งให้ลู่เทียนหยาง ยังดีถูกลุงจ้าวพบตอนลาดตระเวน

ได้ยินต้นสายปลายเหตุจบ ลู่เซิ่งก็เงียบงัน

“เรื่องนี้… เป็นภัยจากฟ้าหรือภัยจากมนุษย์ ไม่มีใครคาดถึง เฉินซินตายไปแล้วจริงๆ ข้าเจอศพแล้ว…”

“เจอศพแล้วหรือ” ลู่เฉวียนอันงุนงง

ลุงจ้าวถอนใจอยู่ด้านข้าง คนอื่นๆ เช่นลู่เทียนหยางก้มหน้าไม่กล่าววาจา

“คนอยู่ด้านนอก สภาพไม่ดีอยู่บ้าง พวกท่านพ่อไปดูได้” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้ม

ลู่เฉวียนอันเงียบขรึม ครู่หนึ่งค่อยกล่าวเสียงแหบ

“ไปเถอะ ไปดูด้วยกัน…”

“รอมารดาสามใจเย็นลง ค่อยบอกนางเรื่องนี้” ลู่เซิ่งเตือน

“อือ” ลู่เฉวียนอันตอบรับ หลับตาไม่พูดอะไรอีก

ทุกคนออกจากลานด้านหลัง จนกระทั่งถึงประตูข้างคฤหาสน์ลู่ โลงศพไม้สีดำขนาดใหญ่ใบหนึ่งวางอยู่ด้านนอกตรอกแห่งนั้น

ลู่เซิ่งให้บริวารเปิดฝาหีบ คนที่เหลือเข้าไปดู

ลู่เฉวียนอันเข้าไปดู ไม่กี่อึดใจก็น้ำตาไหลพราก หันหน้าออกมาอาเจียนอยู่ด้านข้าง

พวกลู่เทียนหยางกับลุงจ้าวก็เข้าไปดูด้วย สีหน้าเหยเกถอยออกมา มีคนอดกลั้นไม่ไหวอาเจียนออกมาเช่นกัน

“เฮ้อ…” ลุงจ้าวถอนใจ “คุณชายเซิ่ง ดูออกว่าท่านมีรากฐานในเมืองเลียบคีรีอยู่บ้าง ไม่ทราบว่าตรวจสอบได้หรือไม่ว่าผู้ใดทำกับนายน้อยเฉินซินแบบนี้”

พอเขาถาม พวกลู่เฉวียนอันก็พากันมองลู่เซิ่ง

พวกเขาเพิ่งมาถึงเมืองเลียบคีรี ไม่รู้จักสัญลักษณ์ของพรรควาฬแดง กลับนึกว่าลู่เซิ่งมีโชค

“ไม่แน่ใจ…” ลู่เซิ่งย่อมทราบว่าฆาตกรเป็นใคร แต่ต่อให้บอกที่บ้าน แล้วมีประโยชน์อันใด

“จวนขุนนางเล่า” ลู่เฉวียนอันใบหน้าเจ็บปวด ลดเสียงถาม “เรื่องนี้รายงานทางการมีประโยชน์หรือไม่”

ลู่เซิ่งไม่ส่งเสียง

ลู่เฉวียนอันพลันทราบผลลัพธ์ เขาเป็นคนที่เคยเข้าร่วมกลุ่มระดับสูงในเมือง ไม่เหมือนพวกลู่เทียนหยางกับลุงจ้าว ย่อมทราบสิ่งที่คนอื่นๆ ไม่รู้มากมาย ในนี้รวมถึงเรื่องภูตผี

ดูลักษณะของเฉินซิน ก็ทราบระดับความยุ่งยากประมาณหนึ่ง ทำลายศพจนเป็นแบบนี้ได้ ไม่น่าใช่มนุษย์…

“พวกท่านไม่สมควรมาเมืองเลียบคีรีในเวลานี้…” ลู่เซิ่งถอนใจ กล่าวอย่างแช่มช้า

“ไม่ใช่พวกเราอยากมา แต่ไม่อาจไม่มา…” ลู่เฉวียนอันถอนใจ “เมืองเก้าประสานก็ไม่ปลอดภัยเช่นกัน… หนำซ้ำตอนนี้คนน้อยลงมาก คนโยกย้ายมีเยอะ เมื่อคนไม่อยู่ กิจการก็ทำไม่ได้ บ้านเราต้องเลี้ยงคนมากมาย ต้องจ้างคนทำงาน เมื่อคนน้อยลงแม้แต่ที่นาก็ไม่มีคนไถ”

ลู่เซิ่งเข้าใจความลำบากของบิดาพอประมาณ

หลังการระเบิดครั้งล่าสุด เมืองเก้าประสานได้รับความเสียหายหนักหน่วง ตอนนี้ฟื้นฟูไม่ได้ นี่ทำให้ตระกูลลู่ที่พึ่งพาเมืองเก้าประสานขาดทุนย่อยยับ เป็นแบบนี้ต่อไปเกรงว่าบ้านจะตกต่ำ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจย้ายที่

“ในเมื่อมาแล้ว ก็อยู่ไปก่อน ท่านพ่อตัดสินใจหรือยังว่าจะทำกิจการอะไร” เขาไต่ถาม ตนในฐานะระดับสูงของพรรควาฬแดง มีอำนาจไม่ใช้ หมดวาระก็ไร้ประโยชน์ ย่อมดูแลบ้านได้ และต้องดูแลอย่างเต็มที่

“ดูไปก่อน ยังไม่แน่ใจ” ลู่เฉวียนอันกล่าวอย่างจนปัญญา

……………………………………….