บทที่ 91 พี่สาวน้องสาว (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

“ถ้าไม่แน่ใจจริงๆ จ่ายเงินกักตุนเสบียงไว้ก่อนก็ได้” ลู่เซิ่งเตือนอย่างคลุมเครือ

“กักตุนเสบียงหรือ” ลุงจ้าวที่อยู่ด้านข้างสีหน้าแตกตื่น “สถานการณ์ร้ายแรงถึงขั้นนี้แล้วหรือ”

“ใกล้เคียง ตอนนี้ด้านนอกแม้แต่ชาวนาก็ไม่กล้าออกห่างเมืองตัวคนเดียว ที่นาผืนใหญ่ไม่มีคนไถพรวน ต่อให้กักตุนเสบียงไว้มาก ก็มีช่วงกินหมด คาดว่าปีหน้าจะเกิดภัยแล้ง” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ

“…อีกเดี๋ยวข้าจะไปเตรียม…” ลู่เฉวียนอันหลับตา ไม่อยากพูดหัวข้อนี้อีก ลู่เฉินซินที่สุดแล้วก็เป็นบุตรของเขา ตอนนี้มองดูอีกฝ่ายตายต่อหน้าต่อตา ลู่เซิ่งไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกนี้

ลู่เซิ่งเห็นดังนั้นก็ไม่รบกวนบิดาอีก นำคนในพรรควาฬแดงจากไปอย่างรวดเร็ว

เมืองเลียบคีรียามค่ำคืนยังคงจุดโคมไฟสว่างไสว ตลาดกลางคืนบนถนน แผงเล็ก รถเข็น ตะเกียงน้ำมัน โคมไฟจำนวนมากค่อยๆ เคลื่อนตัวเหมือนกับกระแสน้ำที่ส่องแสง

สภาพอันเจริญหูเจริญตาเหมือนกับไม่มีร่องรอยปัญหาในช่วงนี้เกิดขึ้น

ลู่เซิ่งขี่ม้าค่อยๆ มุ่งหน้าไปตามถนนที่กำลังวุ่นวาย มองดูผู้คนที่ส่งเสียงอึกทึกรอบๆ พลันเหน็ดเหนื่อยและสับสนอยู่บ้าง

‘ตั้งแต่มาถึงโลกใบนี้ ก็พยายามแข็งแกร่งขึ้น ฝึกฝนวรยุทธ์ ต่อสู้กับผีไม่หยุดหย่อน ถ้าเราไม่ได้มาที่นี่ เกรงว่าตระกูลลู่จะถูกเซ่นสรวงล้างตระกูลเหมือนกับตระกูลของพี่ใหญ่สวีในตอนนั้น’ ลู่เซิ่งมองด้านหน้าฝั่งขวามือ เด็กผู้ชายคนหนึ่งรับกลองไม้ใบเล็กทรงกลมจากมือมารดา เขย่าให้เกิดเสียงอย่างเบิกบาน

‘คนของที่นี่ต่อให้ไม่รู้อะไรเลย ต่อให้ไร้พลังป้องกัน ก็พยายามใช้ชีวิตเหมือนกับหญ้าป่า’ ลู่เซิ่งใบหน้าไร้อารมณ์ ‘ขอเพียงแค่ให้มีชีวิตรอด’

ผ่านด้านข้างเด็กผู้ชาย ด้านหน้าเป็นนักศึกษาที่เมาสุรากำลังร้องเพลง ต่างคนต่างเอ็ดตะโรอย่างเมามาย เผยธาตุแท้ คนที่ผ่านทางส่วนใหญ่รีบหลบเลี่ยง

“ฮ่าๆๆ สุรามาพันจอกไม่มีคนเมา โคลงกลอนหมื่นม้วน…สะบัดหมึกตามใจนึก! พี่เฉิน! พี่ซ่ง! มาอีก!” นักศึกษาคนหนึ่งทำท่าชูจอก แบะเสื้อเผยหน้าอก ไม่นำพาสายตารังเกียจของคนผ่านทางแม้แต่น้อย

คนที่เหลือหัวเราะฮาๆ เอะอะประสมโรง

“แม่นางหงเอ๋อร์ใช้ได้! ครั้งหน้า…เอิ๊ก เลือกนางอีก!”

กลุ่มคนหัวเราะร่า

ลู่เซิ่งมองพวกเขา ขี่ม้าผ่านไปอย่างเชื่องช้า พลพรรควาฬแดงติดตามอย่างใกล้ชิดท่ามกลางฝูงชนอยู่สองฟาก ผู้คนพากันหลีกทาง

สมาชิกพรรคเช่นพวกเขาเป็นคำแทนของวลีตอแยไม่ได้ในสายตาของคนทั่วไป

เดินทางอีกระยะ ลู่เซิ่งรั้งบังเหียนม้า มองไปที่แผงเล็กขายบัวลอยข้างทาง

ด้านหน้าโต๊ะตัวเล็กตัวหนึ่งตรงมุมนั้นมีขอทานสกปรกที่สวมเสื้อผ้าซอมซ่อสองคนนั่งอยู่

สองคนนี้กล่าวไปน่าประหลาด ทั้งๆ ที่เป็นขอทาน บนมือบนร่างมอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิงเหมือนรังไก่ ร่างผอมกระหร่อง แต่ ทั้งสองคนกลับนั่งตัวตรงสูงโปร่งเหมือนกับต้นสน

ลู่เซิ่งจ้องมองสองคนนี้ หยีตาโบกมือให้บริวารด้านหลังหยุด

เขาพลิกตัวลงมา ให้สมุนจับม้าไว้ แล้วก้าวไปนั่งลงที่แผงบัวลอย

“นายท่านมาสั่งบัวลอยอะไรหรือ” เจ้าของแผงเห็นลู่เซิ่งบุคลิกไม่สามัญ รีบวิ่งมาต้อนรับเขาก่อน รอยยิ้มเต็มหน้า

“อะไรก็ได้ เอาเหมือนพวกเขาก็ได้” ลู่เซิ่งชี้ไปที่ขอทานทั้งสองคนที่นั่งอยู่บนพื้นข้างๆ

เจ้าของแผงเป็นบุรุษวัยกลางคนมีอายุ ได้ยินดังนั้นก็ลำบากใจอยู่บ้าง

“นายท่านล้อเล่นแล้ว ที่เด็กน้อยสองคนนั่นรับประทาน ทำด้วยของเหลือจากแผงของข้านี่ ไม่ใช่บัวลอยที่ดี…”

“พวกเขาไม่จ่ายเงินหรือ”

“ดูท่านพูดเข้า เด็กน้อยสองคนนี้ดูสภาพไหนเลยจะมีเงิน” เจ้าของแผงยิ้มฝาด “พวกนางสองคนเร่ร่อนอยู่แถวนี้หลายวัน เพียงแต่ทุกวันเก็บผักเน่ากับกระดูกติดเนื้อซึ่งไม่เป็นที่ต้องการมากิน ข้าเห็นแล้วสงสาร”

“ท่านกลับจิตใจดี พวกนางไม่ใช่คนท้องถิ่นหรือ” ลู่เซิ่งมองขอทานทั้งสองคนที่อยู่ไม่ไกล สังเกตเห็นว่าที่เจ้าของแผงพูดคือพวกนาง “เป็นเด็กสาวสองคนใช่หรือไม่”

“ไม่ใช่หรอกหรือ ช่วงก่อนหน้าพวกนางอพยพหนีความแห้งแล้งมาจากภายนอก แต่ว่ามีศักดิ์ศรียิ่ง ข้าบอกว่าจะให้พวกนางกินเปล่า พวกนางกลับไม่รับ ภายหลังเกลี้ยกล่อมบอกว่าขายให้ ติดบัญชีไว้ก่อนได้ วันหน้าค่อยมาใช้หนี้ พวกนางจึงกิน” เจ้าของแผงส่ายหน้า

“ในเมื่อเป็นเด็กสาว ยังร่อนเร่บนถนนได้โดยไม่ถูกจับหรือ” ลู่เซิ่งประหลาดใจเล็กน้อย

“เรื่องนี้ท่านดูใบหน้าพวกนาง ก็จะทราบเอง” เจ้าของแผงเอ่ยอย่างจนปัญญา

ลู่เซิ่งไม่ถามอีก สั่งบัวลอยไส้เนื้อชุดหนึ่ง แล้วนั่งมองขอทานหญิงทั้งสองคนนั้นบนที่นั่ง

ตั้งแต่เห็นพวกนางเป็นครั้งแรก เขาก็ได้กลิ่นที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับคนธรรมดาจากร่างพวกนาง

อยู่ห่างกันสิบกว่าหมี่ แต่ว่ากลิ่นบนร่างคนทั้งสองชัดเจนสุดเปรียบปานเหมือนกับแสงไฟในยามวิกาลมืดมิด ดึงดูดความสนใจของลู่เซิ่งทันที

นั่นเป็นปราณหยินที่เลือนรางสองสาย

กลิ่นที่มีแต่ภูตผีถึงจะมี ตอนนี้กลับปรากฏบนร่างขอทานมนุษย์สองคน ดังนั้นลู่เซิ่งจึงหยุดเพื่อตรวจสอบสถานการณ์

เขานั่งบนที่นั่งฟังบทสนทนาระหว่างขอทานหญิงสองคนนั้นเงียบๆ

“ท่านพี่ ท่านไม่กินหรือ ถ้าไม่กินอีกจะเย็นแล้วนะ” ขอทานที่เตี้ยกว่ากล่าวเบาๆ เสียงนางกระจ่างชัดยิ่ง เหมือนกับเคาะโลหะบนถาดกระเบื้อง

“ข้ากินไปสามชิ้นแล้ว ที่เหลือเป็นของเจ้า” พี่สาวขอทานที่สูงกว่าเล็กน้อยเอ่ยเสียงทุ้ม เสียงนางแหบยิ่ง แต่ฟังออกว่าเป็นเสียงสตรี ปรากฏความมั่นคงราบเรียบจางๆ

“ข้าคำนวณแล้ว บัวลอยถ้วยหนึ่งอยู่ได้ราวสี่ชั่วยาม บวกกับบะหมี่ พวกเรากินอย่างประหยัด ไม่ต้องทานผักได้อีกหลายวัน”

“ข้าไม่อยากกินผักแล้ว” น้องสาวเอ่ย

“ข้าก็ไม่อยากกินเหมือนกัน แต่พวกเราไม่มีทางเลือก” พี่สาวตอบ

“จนถึงวันนี้ พวกเราติดหนี้คนใจดีสิบสามคน ข้าไม่อยากติดค้างแล้ว” น้องสาวก้มหน้ากำลังจะกิน พลันเอ่ยขึ้น

พี่สาวเงียบงัน

“ไม่ต้องห่วง ข้าจดจำไว้หมดแล้ว”

สองพี่น้องตกต่ำจนกลายเป็นขอทาน กลับยังระวังคำพูดคำจา ลีลาการสนทนาก็ไม่ใช่คนธรรมดา เหมือนกับมาจากครอบครัวมีการศึกษา ทั้งยังเป็นคนมีหลักการอย่างยิ่ง เพียงแค่กินบัวลอยถ้วยเดียว กลับเหมือนรับมือเรื่องใหญ่ที่จริงจังถึงขีดสุด

ลู่เซิ่งฟังอยู่ด้านข้าง ในใจเกิดความสงสัย ลุกขึ้นเดินไปที่ข้างโต๊ะสองขอทาน

“ฟังคำพูดคำจาของพวกเจ้า สมควรรู้หนังสือกระมัง เหตุใดไม่ช่วยคนเขียนจดหมาย เขียนหนังสือเป็นเส้นทางทำกิน”

เสียงของเขาตัดบทเข้ามา สองพี่น้องพลันเงยหน้าขึ้นมอง พอมองดูลู่เซิ่งพลันทราบว่าทำไมสองพี่น้องถึงตกต่ำจนอนาถปานนี้

ตุ่มหนองสีเนื้อขึ้นเต็มใบหน้าพวกนาง ตุ่มหนองเหล่านี้ปกคลุมจมูก ปาก หนังตา คอ และผิวหนังที่เห็นได้ ดวงตาเพียงเห็นผ่านร่องสายหนึ่งอย่างเลือนราง กลิ่นเหม็นโชยมาจากร่างทั้งสอง เหมือนกับเนื้อเน่าเปลี่ยนสภาพ

ลู่เซิ่งยังสังเกตเห็นว่า ตุ่มหนองบนเนื้อคอพวกนางใหญ่กว่าเล็กน้อย สองสามเม็ดที่ใหญ่ที่สุดยังเห็นหนอนเลื้อยอยู่

คล้ายเห็นสายตาของเขา พี่สาวยื่นมือลูบคอ

“ข้าเองก็อยากเอาพวกมันออกไป แต่ว่าพวกมันไม่สะอาด คันยิ่ง”

ลู่เซิ่งพิจารณาทั้งสองคน ถ้าไม่ใช่ไม่มีคอหอย และส่วนอกนูนขึ้นมาเหมือนมีเหมือนไม่มี เขาถึงขั้นไม่กล้ายืนยันว่าสองคนนี้เป็นเด็กสาว

“ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ ข้าอาจให้งานพวกเจ้าได้” เขาสงสัยใคร่รู้ในตัวเด็กสาวทั้งสอง บนร่างมีปราณหยินผสมปนเป เขาเพิ่งเจอเป็นครั้งแรก

“จริงหรือ!” น้องสาวลุกขึ้น จ้องมองเขา

พี่สาวที่อยู่ด้านข้างตัวสั่น แสดงว่าตื่นเต้นยิ่ง กำลังพยายามควบคุมตัวเอง

“จริง” ลู่เซิ่งพยักหน้า

“ท่านต้องการให้พวกเราทำอะไร พวกข้ารู้จักหนังสือ เป็นงานเย็บปักถักร้อยพื้นฐาน ยังมีซักเสื้อผ้า ทำอาหารล้วนกระทำได้” น้องสาวรีบพูด

“เลี้ยงดอกไม้เป็นหรือไม่” ลู่เซิ่งฉีกยิ้ม “รดน้ำใส่ปุ๋ย แต่งกิ่งตัดใบให้ดอกไม้ใบหญ้า”

“เป็น!”

พี่สองน้องสาวตอบแทบจะพร้อมกันเป็นเสียงเดียว สองตาเป็นประกายเลือนราง

หลังจากพาสองขอทานกลับมาเป็นคนงานที่ห้องเพาะดอกไม้ ภายหลังลู่เซิ่งก็ทุ่มเทกับการฝึกวิชาโซ่เก้าสินธุ เขาใช้วิชาหยินหยางกระเรียนหยกจนหมด ค่อยฝึกฝนวิชาโซ่เก้าสินธุ

ครั้งนี้เห็นผลทันที กระแสความร้อนที่คันเล็กน้อยหลายสายไหลบนผิวหนัง เป็นหนึ่งในสัญญาณมาตรฐานที่วิชาโซ่เก้าสินธุกลายเป็นระดับต้น

นี่พิสูจน์การคาดเดาต่อความขัดแย้งระหว่างวิชาของลู่เซิ่ง ตอนมีวิชาหยินหยางกระเรียนหยกอยู่ เมื่อฝึกฝนวรยุทธ์ที่ต้องมีสภาพร่างกายสุดโต่งแบบนี้ กลับเกิดผลเป็นอุปสรรค หลังจากครั้งนี้ ภายหลังพอเจอสถานการณ์คล้ายๆ กัน ก็ทราบวิธีปรับแก้สำหรับรับมือแล้ว

ผัวะ! ผัวะ! ผัวะๆๆ!

ลู่เซิ่งกระแทกก้อนเหล็กสีดำตรงหน้าหลายฝ่ามือ

บนพื้นที่ว่างภายในห้องเพาะดอกไม้ หว่างคิ้วเขาปรากฏลวดลายสีแดง กลางฝ่ามือแดงฉาน ทั่วร่างแผ่คลื่นความร้อนหลายสาย ลมร้อนขนาดสองหมี่ซัดแรง

“ฝ่ามือทำลายใจ!”

เขากระแทกฝ่ามือสุดท้ายใส่ก้อนเหล็กอย่างแรง ก้อนเหล็กทั้งก้อนสั่นสะเทือน

เปรี้ยง!

ลู่เซิ่งคงท่านี้ไว้สักพัก ค่อยๆ คลายมือลง

ก้อนเหล็กยังดำสนิท แต่ถ้ายื่นมือไปลูบ จะสัมผัสได้ว่ามันร้อนถึงขั้นลวกมือ

นี่เป็นวิธีฝึกฝนวิชาลมปราณแดงฉานของลู่เซิ่ง วิชาลมปราณแดงฉานระดับเจ็ดของเขาเป็นขอบเขตสูงสุดของวิชากำลังภายในวิชานี้ ด้านหน้าไม่มีหนทางแล้ว อีกทั้งเขายังไม่มีวิธีที่ดีสำหรับฝึกฝนตาข่ายโลหิตเช่นกัน เป็นตัวเองคิดใช้ก้อนเหล็กฝึกฝน

ทุกครั้งที่ใช้ตาข่ายโลหิต ต้องรับประกันว่าตาข่ายโลหิตอันเป็นปราณภายในห่อหุ้มก้อนเหล็กทั้งหมด หลังห่อหุ้มค่อยเพิ่มความร้อน นับว่าฝึกฝนระดับความแม่นยำและควบคุมพลัง

เป็นเพราะก้อนเหล็กไม่มีรูปร่าง บวกกับขนาดสูงเท่าหนึ่งคนครึ่ง จึงใช้เพื่อฝึกฝนประสิทธิภาพของตาข่ายโลหิตตอนใช้กับศัตรูในสภาพและแง่มุมที่แตกต่าง

ฝ่ามือสุดท้ายกระตุ้นตาข่ายโลหิตในวิชาลมปราณแดงฉานระดับเจ็ด ผลที่ได้ทำให้ลู่เซิ่งค่อนข้างพอใจ

เดิมทีเป็นแค่ฝ่ามือทำลายใจขอบเขตพลังปลอดโปร่ง หลังวิชาลมปราณแดงฉานเพิ่มระดับ อานุภาพก็ทวีขึ้น ใช้พลังกระแทกออกไป สัมผัสได้ว่าก้อนเหล็กสั่นไหวอย่างรุนแรง ถ้าไม่ใช่เขาจงใจปล่อยพลังใส่พื้น เกรงว่าก้อนเหล็กหลายพันชั่งต้องถูกกระแทกปลิวออกไป

“หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอก ถึงเวลาอาหารแล้ว” นิ่งซานกล่าวอย่างนอบน้อมที่ด้านข้าง

“อืม” ลู่เซิ่งพยักหน้า วิชาโซ่เก้าสินธุเป็นระดับเบื้องต้นแล้ว อีกเดี๋ยวเขาจะกลับห้อง เริ่มใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยนลองปรับเปลี่ยนวิชาแข็งกร้าววิชานี้ดู มีวิชาหยินหยางกระเรียนหยกเป็นพื้นฐาน สมควรมีปัญหาไม่มาก วิชากำลังภายนอกระดับพลังปลอดโปร่งวิชานี้ ต่อให้เป็นวิชาแข็งกร้าวที่สิ้นเปลืองพลังมาก แต่เป็นเพราะระดับต่ำ จึงไม่พิสดารมากเกินไป

เป้าหมายที่เขาฝึกวิชานี้คืออย่างไร วิชาโซ่เก้าสินธุก็เป็นวรยุทธ์ป้องกัน รักษาชีวิตในห้วงเวลาสำคัญได้

……………………………………….