บทที่ 92 พี่สาวน้องสาว (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

“จริงด้วย ช่วงนี้ความถี่ของคดีในละแวกนี้เป็นอย่างไร” หลายวันมานี้ลู่เซิ่งซุ่มฝึกวิชา ไม่สนใจการเคลื่อนไหวด้านนอกแม้แต่น้อย บอกนิ่งซานว่าถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่เกี่ยวพันกับความเป็นความตาย ก็ไม่ต้องรบกวนเขา

“ใต้เท้าอวี้เหลียนจื่อไปตำหนักใหญ่เป็นครั้งคราว ประชุมตามปกติ ที่เหลือก็เหมือนเดิม ยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร ถ้ามีการเคลื่อนไหว ทางเรือวาฬแดงจะส่งคนมาแจ้งท่าน” นิ่งซานตอบ

“ไม่มีอะไรก็ดี ยังมีขอทานหญิงสองคนที่ก่อนหน้านี้ข้าพากลับมาเล่า” ลู่เซิ่งนึกขึ้นได้ก็ถามต่อ

“ข้าตรวจสอบแล้ว เป็นคนนอกพื้นที่จริงๆ เพิ่งมาถึงเมืองเลียบคีรีได้ไม่เกินหนึ่งเดือน แต่ว่าในห้องเพาะดอกไม้พวกนางทำงานได้ชำนาญยิ่ง ห้องเพาะดอกไม้ที่พวกนางช่วยดูแลงอกงามกว่าห้องอื่นๆ ทั้งไม่ลอบเกียจคร้าน นิสัยไม่เลว” นิ่งซานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“สังเกตให้ละเอียด มีอะไรผิดปกติให้บอกข้าทันที” ลู่เซิ่งมักรู้สึกว่าบนตัวสองคนนั้นมีปราณหยิน ที่นำพวกนางกลับมาก็แค่อยากดูว่ามีส่วนไหนแตกต่างจากคนทั่วไป

“ขอรับ”

ทั้งสองคนออกจากห้องเพาะดอกไม้ นั่งลงพักผ่อนเช็ดเหงื่อในบ้านพักคนสวนที่อยู่ด้านข้าง

“อีกเดี๋ยวเจ้าเอาป้ายคำสั่งของาข้าไปยังร้านตีเหล็กที่กองบัญชาการ ข้าจะสร้างอาวุธดีๆ ที่คล่องมือ ดาบธรรมดาไม่ชินนัก” ลู่เซิ่งสั่ง

“รับทราบ อีกเดี๋ยวข้าจะส่งคนไปแจ้งให้ร้านตีเหล็กเตรียมวัตถุดิบ นอกจากนี้พิธีศพของตระกูลลู่เริ่มวันนี้” นิ่งซานเตือน

“ทำโถงวิญญาณของลู่เฉินซินหรือ” ลู่เซิ่งถอนใจ

“ขอรับ…” นิ่งซานลดเสียงจนเบามาก

“ข้าจะไปในภายหลัง” ลู่เซิ่งพยักหน้า “ทางโถงสมบัติเลิศมีข่าวหรือไม่”

“ไม่มี…แต่ทำไมหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกไม่ไปตำหนักใหญ่เล่า ข้าจำได้ว่าผู้อาวุโสจางไป๋อวี้ที่พักอยู่เป็นคนชอบสะสมวัตถุโบราณ และคลังตำหนักใหญ่ก็มีวัตถุโบราณจากหลุมศพไม่น้อย” นิ่งซานถามอย่างสงสัย

“อีกเดี๋ยวข้าจะไปดู” ลู่เซิ่งรีบกินอาหารเที่ยง ข้าวถังหนึ่งใส่ผักไม่ทันไรก็กินหมด

กินเสร็จลู่เซิ่งก็ลุกขึ้น ไปยังห้องนอนของตัวเองอย่างรวดเร็ว

ตอนผ่านห้องเพาะดอกไม้ห้องหนึ่ง เขามองเห็นสองพี่น้องที่กำลังสนทนากับชาวสวนที่ปลูกดอกไม้

พี่น้องสองคนนี้แซ่หลิ่ว คนพี่ชื่อฉิน คนน้องชื่อไฉ่อวิ๋น หลิ่วฉินกับหลิ่วไฉ่อวิ๋นเป็นชื่อของคนทั้งสอง

ลู่เซิ่งทราบจากปากลูกน้องว่า บ้านของเด็กสาวสองคนนี้ประสบการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทุกคนตายหมดสิ้น พวกนางจึงตกต่ำถึงขั้นนี้

พวกนางไม่ได้พูดถึงรายละเอียดอย่างเป็นรูปธรรม แต่ลู่เซิ่งสัมผัสได้เลือนรางว่า บนร่างของคนทั้งสองซ่อนสิ่งของไม่น้อย

ตอนผ่านห้องเพาะดอกไม้ ลู่เซิ่งเห็นแขนขวาที่ห้อยต่ำของหลิ่วฉินผู้เป็นพี่สาวมีผิวบริเวณหนึ่งเปิดสู่ภายนอก

ที่น่าประหลาดก็คือ ผิวบนแขนของนางบวมเป็นสีม่วง ถึงขั้นเปลี่ยนรูปร่าง หากแต่หลิ่วฉินมีสีหน้าเหมือนไม่รู้สึกรู้สา

ลู่เซิ่งพยักหน้ายิ้มให้ทั้งสอง พี่น้องพยักหน้ารับ ชาวสวนปลูกดอกไม้รีบก้มหน้ายืนอย่างนอบน้อม รอลู่เซิ่งเดินไประยะหนึ่ง เขาค่อยกำชับสองพี่น้องหนึ่งประโยค แล้วรีบออกไปช่วยงานอื่น

ประตูห้องเพาะดอกไม้เหลือแค่พี่น้องหลิ่วฉินยืนอยู่

“ท่านพี่พวกเราอยู่ที่นี่หลายวันได้หรือไม่” หลิ่วไฉ่อวิ๋นผู้เป็นน้องสาวกล่าวเบาๆ

“อย่าดีกว่า จะทำให้คุณชายลู่ลำบากไปด้วย” หลิ่วฉินตอบอย่างสงบ “ช่วงนี้มือของเจ้าจะถึงเวลาออกอาการอีกแล้วกระมัง”

“อืม” หลิ่วไฉ่อวิ๋นพยักหน้า

“สิ่งเหล่านั้นจะมาอีกแล้ว ถ้าพวกเราอยู่ที่นี่นานเกินไป ที่นี่จะถูกทำลายเช่นกัน” หลิ่วฉินดวงตาปรากฏความเจ็บปวด

“แต่ว่า… ข้าชอบที่นี่ ดอกไม้เหล่านั้นงดงามนัก…” หลิ่วไฉ่อวิ๋นพึมพำเบาๆ

“ข้าก็เหมือนกัน…” หลิ่วฉินเบาเสียงเช่นกัน “แต่คุณชายลู่เป็นแค่คนธรรดา คนที่อยู่ที่นี่ทั้งหมดเป็นคนธรรมดา”

หลิ่วไฉ่อวิ๋นเงียบงัน

ผ่านไปสักพัก นางค่อยกล่าวเสียงสะอื้น “ข้ารู้แล้ว…”

“นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า” หลิ่วฉินโอบกอดนางเข้าอ้อมอกอย่างแผ่วเบา “ข้ารู้สึกถึงกลิ่นอายของพวกมัน พวกมันกำลังจะมาแล้ว”

“…” หลิ่วไฉ่อวิ๋นไม่ส่งเสียง เพียงแนบใบหน้ากับทรวงอกของพี่สาว ตุ่มหนองบริเวณเล็กๆ บนแก้มถูกกดแตก ของเหลวสีเหลืองจางๆ จำนวนมากซึมออกมา ทำให้เสื้อของหลิ่วฉินเปียก

แอ๊ด

ประตูห้องถูกเปิด ลู่เซิ่งสาวเท้าเข้าไป พลิกมือปิดประตู กำลังจะเดินไปนอนพักผ่อนบนเตียง

ทันใดนั้น การเคลื่อนไหวของเขาก็ชะงัก กวาดตามองห้องนอน

เก้าอี้สองสามตัววางข้างโต๊ะอาหารสีดำ บนโต๊ะอ่านหนังสือทรงสี่เหลี่ยมยังมีหนังสือที่เมื่อคืนอ่านไม่จบกระจัดกระจาย ผ้าห่มบนเตียงไม่เรียบร้อย เหมือนก่อนหน้าที่เขานอน

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้สีหน้าลู่เซิ่งค่อยๆ เคร่งขรึมคือ มีมือซีดขาวข้างหนึ่งคว้าขอบผ้าม่านบนเตียงอยู่

เหมือนกับบนเตียงมีคนนั่งจับผ้าม่านไว้ไม่ให้มันคลุมลง

เพียงแต่จากมุมมองของลู่เซิ่งเห็นแค่มือข้างเดียว

“ผู้ใด?!” เขาสายตาเคร่งขรึม มือขวาคว้าด้ามดาบหลังเอว

ไม่มีเสียงตอบ มือข้างนั้นค่อยๆ หดกลับไปบนเตียง การเคลื่อนไหวช้ายิ่ง ไม่มีเสียงแม้แต่น้อย

แต่ลู่เซิ่งเห็นชัดว่า ทิศทางที่มือข้างนั้นหดกลับไปมีแค่กำแพง

เขาแค่นเสียงคำหนึ่ง ก้าวสองสามก้าวเป็นก้าวเดียว ถลันเข้าไปคว้าผ้าม่านก่อนฉีกออก

แคว่ก!

ผ้าม่านถูกฉีกออกแล้ว แต่บนเตียงว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด

เตียงจัดวางตรงมุมกำแพง สองด้านเป็นกำแพง อีกสองด้านไม่ได้วางสิ่งใด เห็นได้ชัดว่าเป็นที่ว่าง

ลู่เซิ่งเห็นดังนั้นก็กวาดตามองรอบหนึ่ง

“คิดหนีหรือ!?” เขาหัวเราะเย็นชา ฟันฝ่ามือใส่เตียงอย่างรุนแรง

พลังฝ่ามือที่ร้อนแรงกระตุ้นอากาศ ส่งเสียงหวีดหวิวเสียดหู

ตูม!

เตียงถล่มลง เสียงไม้แตกหักดังครืน ขณะเดียวกันก็แทรกเสียงกรีดร้องเบาๆ

เงาดำสายหนึ่งพุ่งพรวดลงจากเตียง โจนใส่ลู่เซิ่ง

“ตาข่ายโลหิต!” ลู่เซิ่งไม่ขยับเขยื้อน ปราณภายในพลิกม้วนทั่วร่าง วิชาลมปราณแดงฉานระดับเจ็ดโคจร ตาข่ายปราณไร้รูปร่างชั้นหนึ่งบังอยู่ด้านหน้าเขา

ตูม!

กลางอากาศแว่วเสียงร้องอย่างทรมาน

ลมเย็นในห้องนอนสลายหายไป ไม่ทันไรก็กลับคืนสู่ความสงบนิ่ง

รอจนกระแสอากาศทั้งหมดสงบลงโดยสิ้นเชิง ลู่เซิ่งสัมผัสรอบๆ อย่างละเอียด ค่อยผ่อนคลายลงอย่างช้าๆ

‘ถึงกับมีของสกปรกมุดเข้ามาในห้องหรือ เป็นร่างกึ่งหยินของเราร้ายกาจกว่าเดิมใช่หรือไม่ หรือเป็นเพราะเด็กสาวสองคนนั่น’

เขาหยีตาตรวจสอบในห้องอย่างละเอียด ด้านนอกมีคนได้ยินการเคลื่อนไหวมาเคาะประตูแล้ว

“หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอก! ท่านไม่เป็นไรกระมัง!?”

“ไม่เป็นไร” ลู่เซิ่งเปิดประตู “พวกเจ้าย้ายเตียงออกไป เปลี่ยนหลังใหม่มา”

คนหลายคนเข้ามาในห้อง เห็นเตียงที่ถูกฟาดถล่ม พลันสบตากันเอง

“ขอรับ” ถึงแม้ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่มีใครกล้าถามลู่เซิ่ง

อาศัยตอนที่บริวารย้ายเตียงออกไป ลู่เซิ่งก้มตัวเก็บถุงบัวสีชมพูขนาดเล็กชิ้นหนึ่งขึ้นมาจากพื้น

ถุงบัวปักลายยวนยางเล่นน้ำ งานเย็บปักไม่ได้ประณีตนัก ถึงขั้นหยาบไปบ้าง นี่เป็นของราคาไม่กี่เหวินที่ซื้อได้จากร้านเล็กๆ ข้างทาง

แต่พอล้วงมือเข้าไป ลู่เซิ่งก็รู้สึกเย็นเยียบอยู่บ้าง

‘นั่งอยู่ในบ้านก็มีปราณหยินส่งถึงปาก’ ลู่เซิ่งฉีกยิ้ม รู้สึกว่าปราณหยินไม่พอ จึงกัดปลายนิ้วชี้ กดบนถุงบัวเบาๆ

ซี่…หลังเสียงที่เบาจนไม่ได้ยิน ปราณหยินที่ไม่นับว่าหยาบมากสายหนึ่งก็ไหลเข้าไปในร่างลู่เซิ่ง ไหลตามแขนเขาเข้าสู่อก จากนั้นพริบตาเดียวก็ถูกดูดหายไป

ไม่ทันไรถุงบัวก็ไม่เย็นเฉียบอีกต่อไป

“ผู้ใด!” ทันใดนั้นด้านนอกแว่วเสียงตวาดของพลพรรคที่เฝ้าประตู “พวกเจ้ากล้ามาวุ่นวายที่ห้องพักผ่อนของหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกหรือ ไม่อยากมีชีวิตแล้ว ใช่หรือไม่!?”

“พี่ชายท่านนี้ ตอนนี้คุณชายลู่มีอันตราย! ต้องแจ้งเขาทันที!” เสียงของหลิ่วฉินดังมาเลือนราง รีบร้อนอยู่บ้าง

“อันตรายหรือ” หลายๆ คนกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “ลูกพี่พวกเราไม่ทำให้คนอื่นมีอันตรายก็นับว่าไม่เลวแล้ว พอแล้วๆ ตัวอัปลักษณ์ทั้งสองรีบกลับไปนอน อย่ามาเพ่นพ่านแถวนี้”

พี่น้องหลิ่วฉินหรือ

ลู่เซิ่งได้ยินบทสนทนาจากในห้องนอน ดวงตามีแววใคร่ครวญ เดินออกจากห้อง เห็นพี่น้องสองคนที่พัวพันพลพรรคซึ่งเป็นผู้คุ้มกันอยู่

“พวกเจ้าเหตุใดมาแล้ว มีธุระหรือไม่” เขาเข้าไปถาม

“คุณชายลู่… ท่าน… ได้เจอเรื่องแปลกๆ หรือไม่” หลิ่วฉินเห็นลู่เซิ่งพลันโล่งอก ท่าทางดั่งปลดภาระที่หนักอึ้ง

“เรื่องแปลกๆหรือ ในห้องมีโจรมา เมื่อครู่ถูกข้าฟาดไปไม่ทราบว่าวิ่งไปไหนแล้ว เหลือแต่ถุงบัว คิดไม่ถึงว่ายังเป็นของสตรี” ลู่เซิ่งโยนถุงบัวในมืออย่างขบขัน

“นี่คือ…!?” หลังจากหลิ่วฉินกับหลิ่วไฉ่อวิ๋นเห็นถุงบัว ก็ตัวสั่น

“คุณชาย! เป็นพวกเราผิดพลาดในหน้าที่!” พลพรรคผู้คุ้มกันแตกตื่นหน้าถอดสี รีบขอรับโทษ

“ไม่เป็นไร อยู่ว่างๆ ได้ฆ่าเวลาที่น่าเบื่อพอดี ทุกวันก็มีแต่ฝึกวิชา กำลังกังวลอยู่พอดีว่าไม่มีเรื่องน่าสนุก” ลู่เซิ่งฉีกยิ้ม มองสองพี่น้องด้วยสายตาลึกซึ้ง

“คุณชายลู่…” หลิ่วฉินกล่าวเสียงทุ้ม “ท่าน… ไม่กลัวหรือ”

“กลัวหรือ” ลู่เซิ่งโบกมือให้ผู้คุ้มกันถอยไปก่อน “พวกเจ้าตามข้ามา” เขาพูดกับสองพี่้น้อง

เขาพาทั้งสองคนไปยังมุมหนึ่งที่ลานด้านหลังของหอซึ่งเพิ่งสร้างเสร็จ รอบๆ ไม่มีคน ลู่เซิ่งให้คนเฝ้าประตูไว้ ห้ามคนเข้าไป

เขานั่งลงบนม้านั่งหินในลาน

“บอกมาเถอะว่าพวกเจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงดึงดูดภูตผีมาได้”

สองพี่น้องได้ยินคำว่าภูตผี พลันงุนงง จากนั้นที่น่าประหลาดคือ พวกนางไม่ได้ตกใจ หวาดกลัว หรือสงบ แต่อึ้งอยู่กับที่ ในดวงตาปรากฏความโล่งอกและความลิงโลดอย่างช้าๆ

เหมือนกับคนที่ลอยคอในทะเลมานาน พลันเห็นเกาะเกาะหนึ่งอยู่ด้านหน้า นั่นเป็นสายตาที่เห็นความหวัง

เงียบงันสักพัก รอสองคนใจเย็นลงเล็กน้อย

“ท่าน… รู้จักภูตผีเหมือนกันหรือ” หลิ่วไฉ่อวิ๋นผู้เป็นน้องสาวถามอย่างระมัดระวัง

“แน่นอน พวกเราเจอกับตัวยุ่งยากเหล่านี้บ่อยๆ ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าพวกเราตั้งสถานที่ที่ใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร” ลู่เซิ่งมองออกว่าคนทั้งสองคล้ายมีความผิดปกติอยู่บ้าง ไม่สอดคล้องกับการคาดเดาก่อนหน้าของเขา จึงขมวดคิ้ว

“มิน่า… ในเมื่อคุณชายลู่รู้แล้ว พวกเราก็ไม่ขออ้อมค้อมอีก” หลิ่วฉินเอ่ย ในเสียงดั่งปลอดภาระที่หนักอึ้ง

“เดิมทีพวกเรานึกว่ามีแค่พวกเรารับมือภูตผีได้มาโดยตลอด คิดไม่ถึงตอนนี้ได้เจอยอดคนอย่างคุณชายลู่!”

ลู่เซิ่งเหมือนอยู่ในเมฆหมอก ประหลาดใจเหลือแสน

“พวกเจ้าเล่าตั้งแต่แรก เหตุใดข้ายิ่งฟังยิ่งงง”

“ได้ พวกเราจะเล่าให้ท่านฟังตั้งแต่ต้น” หลิ่วฉินกล่าวอย่างขึงขัง

นางนึกย้อนช่วงเวลาเริ่มต้นอย่างละเอียด ในดวงตาค่อยๆ ปรากฏความอบอุ่นและความเจ็บปวด

……………………………………….