บทที่ 92 ภารกิจเสร็จสิ้น กลับร้านได้

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

พลังปราณจากมีดทำครัวกระดูกมังกรทองกระเพื่อมออกมาเป็นวงกว้าง เข้าปกคลุมทั่วบริเวณ ทำให้อสูรเวทพากันหมอบลงกับพื้น อสูรที่มีพลังปราณต่ำกว่าระดับห้าต่างพากันตัวสั่นสะท้านด้วยอำนาจของพลังกดดันนั้น

อสูรเวทเป็นสิ่งมีชีวิตที่ให้ความสำคัญกับลำดับขั้นในห่วงโซ่อาหารมาก พวกมันเคารพบูชาผู้ที่แข็งแกร่งกว่าและเกรงกลัวสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นด้วยเช่นกัน พลังกดดันของสิ่งมีชีวิตที่ลำดับขั้นสูงกว่ามีอิทธิพลต่ออสูรที่มีปราณขั้นต่ำกว่าอย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงแบ่งอาณาเขตกันอย่างเป็นสัดเป็นส่วนภายในดินแดนป่ารกชัฏ

และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ดินแดนแห่งนี้แบ่งออกเป็นวงแหวนชั้นนอก วงแหวนชั้นกลาง และวงแหวนชั้นในด้วยเช่นกัน

พลังปราณของเหล่ามังกรถูกกักเก็บอยู่ในมีดทำครัวกระดูกมังกรทอง เผ่าพันธุ์มังกรจัดเป็นส่วนบนของห่วงโซ่อาหารอสูรเวทตลอดมา พวกมันถือเป็นอสูรเวทชั้นสูงและเป็นชนชั้นปกครองของอสูรเวทน้อยใหญ่ มีอำนาจสยบอสูรเวทได้ทุกชนิด

ด้วยเหตุนี้เมื่อปู้ฟางยกมีดทำครัวกระดูกมังกรทองขึ้นสูง และส่งพลังปราณของตนเองเข้าไปภายในเพื่อปลดปล่อยร่างจริงของมีดออกมา แสงสีทองเจิดจ้าผนวกกับอำนาจกดดันแสนยิ่งใหญ่ของมังกร ก็เพียงพอที่จะทำให้อสูรเวทน้อยใหญ่ภายในหุบเขาปักษาเพลิงพ่ายต้องหมอบราบลงกับพื้นอย่างยอมจำนน แม้แต่วานรปราณและวัวมังกรพเนจรยังต้องสยบ

ลมพายุกรรโชกพัดกระจายออกจากตัวปู้ฟางที่เป็นศูนย์กลาง ทำให้เส้นผมและเสื้อผ้าของเขาโบกสะบัด ชายหนุ่มถือมีดทำครัวกระดูกมังกรทองเอาไว้ในมือ เชิดหน้าขึ้น กวาดตามองเหล่าอสูรเวทน้อยใหญ่รอบกายด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

แม้วัวมังกรพเนจรจะเป็นอสูรเวทระดับเจ็ด แต่อำนาจกดดันของมีดทำครัวกระดูกมังกรทองนั้นส่งผลรุนแรงกับมันมากกว่าอสูรเวทชนิดอื่น เนื่องจากภายในกายของมันมีโลหิตของมังกรไหลเวียนอยู่ เมื่ออยู่เบื้องหน้าอำนาจของเผ่าพันธุ์มังกร ร่างกายของมันที่หมอบอยู่กับพื้นจึงสั่นเทิ้ม

ก่อนหน้านี้ถังอิ่นหลับตาปี๋ด้วยความสิ้นหวัง แต่เมื่อสัมผัสได้ว่าบรรยากาศรอบกายสงบลง แรงสั่นสะเทือนของอสูรเวทหยุดชะงักไป เขาจึงเปิดตาขึ้นด้วยความตกใจ แล้วก็ต้องเห็นภาพที่ตัวเขาจะไม่มีวันลืมเลือนไปตลอดชีวิต

สีหน้าหวาดกลัวของลู่เซียวเซียวก็ดูประหลาดใจเช่นกัน ใบหน้าของนางยังมีคราบน้ำตาอยู่ นางอ้าปากหวอจ้องมองปู้ฟางด้วยสายตาจับต้นชนปลายไม่ถูก ชายหนุ่มยืนห่างออกไปตรงหน้า ในมือถือมีดทำครัวสีทองเล่มยักษ์

พื้นที่รอบกายพวกเขาเต็มไปด้วยอสูรเวทที่หมอบราบลงกับพื้น…

“นี่มัน… เกิดอะไรขึ้นกัน ศิษย์พี่…” ถังอิ่นปากแห้งผาก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขากำลังมองดูอะไรอยู่

แม้แต่อสูรเวทระดับเจ็ดทั้งสองตัวยังต้องหมอบราบยอมจำนนให้ศิษย์พี่ผู้นี้ เขา… แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นเชียวหรือ!

เพียงแค่พลังกดดันของเขาก็สามารถทำให้ฝูงอสูรร้ายยอมแพ้ได้ ถ้าเช่นนั้นแล้ว พลังที่แท้จริงของศิษย์พี่ผู้นี้จะเป็นอย่างไรกันแน่

ถังอิ่นรู้สึกตื่นเต้นตกใจมากขึ้นกว่าเดิม ชายหนุ่มรู้สึกว่าความลึกลับเก่งกาจยากหยั่งถึงของปู้ฟางนั้นน่าประทับใจกว่าเจ้าสำนักของเขาด้วยซ้ำไป… อย่างน้อยเจ้าสำนักของเขาก็ทำให้อสูรเวทยอมหมอบลงกับพื้นอย่างสิ้นท่าเช่นนี้ไม่ได้แน่นอน

ในเสี้ยวลมหายใจนั้นเอง ปู้ฟางที่เป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับสี่ขั้นจิตยุทธการ ก็ดูราวกับเป็นผู้ฝึกตนระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามในสายตาของชายหนุ่มเลยทีเดียว

ปู้ฟางพาดมีดทำครัวไว้บนบ่า สายตามองไปที่ถังอิ่นผู้มีสีหน้าเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เขามองชายหนุ่มในชุดเขียวด้วยสายตางุนงง “พวกเจ้าไม่หนีรึ”

 “อ๋า!” ถังอิ่นตอบด้วยสีหน้าเหมือนตกอยู่ในภวังค์

 “หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะรีบวิ่งหนีโดยไม่หันหลังกลับมามองเลยทีเดียว ข้าจะวิ่งไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้” ปู้ฟางพูดหน้าตาเฉย

ถังอิ่นสูดเอาลมเย็นเข้าปอด เขารู้แล้วว่าปู้ฟางต้องการจะสื่ออะไร ศิษย์พี่ผู้นี้กำลังเปิดทางให้พวกเขาหนีไป! มิเช่นนั้นด้วยพลังของอีกฝ่าย คงพุ่งเข้าสังหารอสูรเวทเหล่านั้นไปแล้ว! แล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาดูแลพวกเขาทั้งสองคนกันเล่า!

ชายหนุ่มรู้สึกตื้นตันขึ้นในใจทันที!

ถังอิ่นกัดฟันแล้วหันไปช่วยให้ลู่เซียวเซียวลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มหันมาโค้งคำนับปู้ฟางจากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ศิษย์พี่ ข้าคงไม่มีวันตอบแทนบุญคุณที่ท่านช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้ในวันนี้ได้ ศิษย์พี่… โปรดรักษาตัวด้วยนะขอรับ!”

 “เอาล่ะ พวกเจ้ารีบไปเสีย อ้อ แล้วก็อย่าลืมแวะมาที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟางที่จักรวรรดิวายุแผ่วบ้างถ้ามีเวลา อาหารที่ร้านอร่อยมาก แถมราคาก็ถูกมากอีกด้วย” ปู้ฟางพูดหน้าตาย

ถังอิ่นชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าอย่างจริงใจ และกำลังจะลากลู่เซียวเซียวจากไปพร้อมกัน

 “เดี๋ยว! พี่… พี่สอง แล้วสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงเล่า!” ลู่เซียวเซียวดูเหมือนจะเพิ่งหายจากอาการตกใจ เมื่อเด็กหญิงเห็นว่าถังอิ่นกำลังลากนางให้หนีไปด้วยกัน นางก็พูดขึ้นมาอย่างกระวนกระวาย

 “เจ้ายังมีกะจิตกะใจมาคิดเรื่องสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงอีกรึ อยากตายหรืออย่างไรกัน” ถังอิ่นบันดาลโทสะ! ศิษย์พี่อุตส่าห์เปิดทางให้พวกเขาหนี แต่ศิษย์น้องหญิงผู้นี้กลับยังคิดเรื่องสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงอยู่อีก! นางนี่ช่าง… ไร้สติโดยสิ้นเชิงจริงๆ!

ในตอนนั้นเองที่ลู่เซียวเซียวเรียกสติกลับเข้าร่างตนเองได้ ร่างของนางสั่นไปทั้งตัว สายตาเหลียวไปมองปู้ฟางผู้ลึกลับที่ยืนทำสีหน้าไร้อารมณ์อยู่ตรงหน้า จากนั้นนางก็ไม่พูดอะไรอีก และตามถังอิ่นไปแต่โดยดี

เมื่อปู้ฟางมองสองร่างวิ่งพ้นออกจากอาณาเขตของหุบเขาปักษาเพลิงพ่ายไปเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันกลับมามองฝูงอสูรเวทเบื้องหน้าตนอีกครั้ง พลังปราณเที่ยงแท้ในกายที่ใช้รักษาอำนาจกดดันของมีดทำครัวกระดูกมังกรทองกำลังค่อยๆ หมดลง…

ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงไม่ลังเลอีกต่อไป มือข้างหนึ่งของเขาถือมีดทำครัวที่ด้ามสลักลายมังกรหน้าตาน่าเกรงขามอยู่ ชายหนุ่มกดมีดลง ปล่อยพลังกดดันให้พุ่งออกไปอีกครั้ง

ฝูงอสูรที่หมอบราบอยู่บนพื้นตัวสั่นสะท้าน…

ปู้ฟางชี้มีดไปที่วานรปราณ เขาเชิดคางขึ้นแล้วเอ่ย “เจ้าไม่คู่ควรที่จะเป็นวัตถุดิบของข้า จง… ไสหัวไปเสีย!”

วานรปราณตัวสั่นเทิ้ม มันแยกเขี้ยวใส่ปู้ฟาง แต่ดวงตาก็ยังเต็มไปด้วยความกลัวและความไม่ยอมจำนน

สมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงโตเต็มที่แล้ว จะให้มาทิ้งไปเช่นนี้… ในฐานะอสูรเวทระดับเจ็ดที่เพิ่งบรรลุขั้นปราณมาหมาดๆ มันย่อมไม่อยากเสียโอกาสงามนี้ไป

 “หือ ไม่ยอมไปรึ” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เขาวาดมีดทำครัวไปมาสองครั้งก่อนเดินเข้าไปหาวัวมังกรพเนจร

วัวมังกรพเนจรฝังหัวของมันลงไปในพื้นดินจนมิด หางมังกรม้วนเป็นวง มันไม่ขยับกายแม้แต่ชุ่นเดียว เนื่องจากมีสายโลหิตของมังกรไหลเวียนอยู่ในกาย อสูรวัวตัวนี้จึงยอมจำนนโดยสิ้นเชิง

ปู้ฟางไม่ได้พูดอะไรต่อ เขามองวานรปราณด้วยสายตาไร้อารมณ์ จากนั้นก็วาดมีดตัดเขาของวัวมังกรพเนจรราวกับกำลังหั่นเต้าหู้…

วัวมังกรพเนจรรู้สึกเหมือนตนเองโดนข่มเหงโดยไร้เหตุผล… มันคิดในใจ “หากเจ้าอยากให้ไอ้นั่นมันไสหัวไปก็ไปรังแกมันสิ มาข่มเหงข้าไปเพื่ออะไร คิดว่าวัวเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเลยจะข่มเหงอย่างไรก็ได้รึ…”

ในฐานะที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของวัวมังกรพเนจรมายาวนาน วานรปราณรู้ดีว่าเขาของวัวมังกรพเนจรนั้นทั้งแข็งและคมเพียงใด… แต่เขานั้นกลับถูกตัดอย่างง่ายดายด้วยฝีมือของมนุษย์ที่มีพลังกดดันน่าหวั่นเกรงคนนี้… “ก็ได้ ท่านวานรผู้นี้จะไม่หาเรื่องมนุษย์เจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างเจ้าก็แล้วกัน!”

ด้วยเหตุนี้วานรปราณระดับเจ็ดจึงกรีดร้องเสียงแหลม ก่อนกระโจนทีเดียวก็พ้นจากหุบเขาไปด้วยท่าทีลังเล แล้วหายตัวไปทันที

เหล่าอสูรที่ติดตามวานรปราณเองก็สลายตัวไปเหมือนกระแสน้ำลงด้วยเช่นกัน

เขาใช้วิธีเดียวกันนี้ไล่ฝูงอสูรที่ติดตามอสูรวัวให้แตกกระเจิงไปเช่นกัน เท่านี้ทั้งหุบเขาก็เหลือเพียงปู้ฟางที่ถือมีดทำครัวกระดูกมังกรทองเล่มยักษ์พาดบ่าเอาไว้ และวัวมังกรพเนจรเขาหายที่กำลังตัวสั่นงันงก…

ปู้ฟางลูบร่างกายใหญ่โตของอสูรวัวแล้วทำเสียงจึ๊ในปาก พร้อมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นตาตื่นใจ “ไม่เลวเลย วัตถุดิบนี้ดีกว่าหมูวิญญาณเพลิงอัสนีเยอะทีเดียว”

หัวขนาดใหญ่ของวัวมังกรพเนจรเต็มไปด้วยความสงสัย… วัตถุดิบรึ วัตถุดิบอะไรกัน

จากนั้นมันก็มองเห็นมีดทำครัวสีทองขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ… เรื่อยๆ… และฉึบ

พลังปราณเที่ยงแท้ในกายปู้ฟางหมดลงพอดิบพอดี เขาจึงรักษารูปร่างของมีดทำครัวกระดูกมังกรทองเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป มีดหดกลับสู่สภาพดั้งเดิมของมัน ก่อนสลายกลายเป็นไอสีเขียว

ปู้ฟางลูบลำตัวของอสูรวัวอีกครั้ง จากนั้นก็โบกมือเก็บมันกลับเข้ากระเป๋าที่ระบบมอบให้

 “ขอแสดงความยินดีกับนายท่านที่ทำภารกิจฉุกเฉินออกหาวัตถุดิบครั้งแรกสำเร็จ ระบบจะมอบรางวัลให้ตามสัญญา วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายจะเริ่มทำงานในอีกชั่วอึดใจ นายท่านโปรดเตรียมตัวให้พร้อม” เสียงขรึมของระบบประกาศอยู่ในหัวของชายหนุ่ม ในเวลาเดียวกับที่ซากของวัวมังกรพเนจรถูกเก็บเข้ากระเป๋าพอดี

ชายหนุ่มชะงัก ชั่วอึดใจเองรึ เขายังไม่ได้เก็บสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงเลย!

ลำแสงเจิดจ้าเริ่มปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของชายหนุ่ม ลำแสงนั้นค่อยๆ ก่อตัวเป็นภาพวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายแสนลึกลับ อันเป็นภาพที่ปู้ฟางคุ้นเคยเรียบร้อยแล้ว

ชายหนุ่มไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขารีบหันตัววิ่งไปทางเนินเขาเล็กเต็มกำลัง ลำแสงเหนือศีรษะกำลังก่อตัวเป็นวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเสร็จไปครึ่งหนึ่ง

 “สิบลมหายใจก่อนการเคลื่อนย้าย เริ่มนับถอยหลัง สิบ… เก้า…”

สีหน้าของปู้ฟางยังคงไร้อารมณ์ แต่ดวงตาเต็มไปด้วยความกระวนกระวายชัดเจน เขาเข้าใกล้สมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว แต่การนับถอยหลังก็เข้าใกล้เลขศูนย์ขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน…

“ขออีกแค่หนึ่งลมหายใจ… ข้าจะพลิกแผ่นดินหาของล้ำค่าทั้งหุบเขามันเสียเลย!” ปู้ฟางตะโกนก้องอยู่ในใจขณะกระโจนไปข้างหน้าสุดแรงเกิด คว้าสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงที่กำลังลอยขึ้นในอากาศราวกับเป็นนกปักษาเพลิงเอาไว้ในมือ ความเจ็บแปลบส่งจากมือเข้าไปสู่จิตใจทันที!

แต่ก่อนที่เขาจะทันได้กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก็ก่อตัวขึ้นสำเร็จ จากนั้นลมกรรโชกแรงก็พัดหอบร่างของชายหนุ่มหายไป…

หุบเขาปักษาเพลิงพ่ายกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง เสียงน้ำตกกระเซ็นกลับมาดังตามธรรมชาติ ทุกสรรพสิ่งกลับสู่ครรลองที่ควรจะเป็น

…………………….