บทที่ 108 พื้นที่อันน่าสะพรึงกลัว

ไหปีศาจ

บทที่ 108

พื้นที่อันน่าสะพรึงกลัว

แสงสีขาวสว่างวาบผ่านไป

คณะเดินทาง 5 คนของลั่วอู๋ทะลุมิติไปยังสถานที่ที่ห่างออกไปราว ๆ สามลี้ โดยมีฉูจงฉวนและเฒ่าเย่กำลังรออยู่ก่อนแล้ว

เสี่ยวไป่ดูเหนื่อยล้ามันจึงถูกนำกลับไปอยู่ในแหวนสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของหลี่หยิน

ด้วยสภาพปัจจุบัน มันเป็นเรื่องยากมากที่จะต้องเดินทางต่อ ด้วยที่พวกเขา 5 คนที่กลับมาจากการล่อเหล่านักฆ่า ไม่มีพลังวิญญาณเหลืออยู่เลย

ฉูจงฉวนหัวเราะเบา ๆ และกล่าวว่า “สมกับเป็นเจ้าจริง ๆ ที่คิดวิธีการจัดการแบบนี้ออกมาได้”

“พวกเรากำลังจะเข้าสู่ส่วนลึกของป่าหวงชา เราต้องรักษากำลังของพวกเราไว้ ใครมีเวลาไปสู้กับพวกมันล่ะ” ลั่วอู๋ยักไหล่

แน่นอนอยู่แล้วว่านั่นเป็นแผนการที่ลั่วอู๋คิดขึ้น

ความแข็งแกร่งอีกฝ่ายนั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่าพวกเขา ถ้าหากต้องสู้กันจริงๆ เขาเกรงว่าฝั่งของพวกเขาเองก็คงจะต้องสูญเสียครั้งใหญ่เหมือนกัน

โชคยังดีที่มีปีศาจยาหลงอยู่ในไหปีศาจ ดังนั้นลั่วอู๋จึงนึกออกถึงความไวในการดมกลิ่นเลือดของพวกเดียวกันที่ปีศาจยาหลงมีและใช้ประโยชน์จากมัน

แต่ทั้งหมดนี้สำเร็จได้ เนื่องจากการที่พวกเขามีทักษะทะลวงมิติ

เรียกได้ว่าที่แผนการเป็นไปได้เพราะว่าการนำหลี่หยินมาด้วย ซึ่งเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง

ไม่ไกลนักเสียงคำรามของปีศาจยาหลง ก็ดังขึ้นทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวพิกล

“รีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่า” ลั่วอู๋พูด

ทุกคนต่างก็พยักหน้าตาม ๆ กัน

อยู่ห่างออกไปเพียง 3 ลี้ มันก็ยังดูไม่ปลอดภัยเท่าไหร่

ดังนั้นลั่วอู๋และพรรคพวกจึงออกเดินทางในทันทีและมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของป่าหวงชาอีกครั้ง

……

……

ทางด้านถิ่นที่อยู่อาศัยของปีศาจยาหลง

กลิ่นเลือดฟุ้งฉุนไปทั่ว

ในเสียงคำรามต่ำร่างกายที่ทรุดโทรมราวกับลูกบอลที่พุ่งออกมาข้ามท้องฟ้าไปยังที่ที่ห่างไกลได้ล้มลง

ปีศาจยาหลงคำรามใส่ชิงชูอย่างบ้าคลั่งพร้อมแสดงความโกรธของมันออกมา แต่มันไม่ได้ผลพวกมันตามเขาไม่ทัน

“ปัง”

ร่างของเขาล้มลงไปกับพื้นทราย

ชิงชูได้คลานออกมาจากถิ่นของปีศาจยาหลงด้วยสภาพเลือดท่วมทั่วร่างกายของเขา เขารู้สึกอับอายมาก บาดแผลของเขาถูกปกคลุมไปด้วยทรายร้อนลวกและความเจ็บปวดที่เปรียบมิได้

พี่น้องมิตรสหายทั้งหมดของเขาตายกันหมดและสัตว์วิญญาณทั้งสามของเขาก็ตายไปแล้ว มีเพียงเขาเท่านั้นที่รีบวิ่งออกไปด้วยพลังวิญญาณอันทรงพลังที่เหลืออยู่ของเขา

อย่างไรก็ตามเนื่องจากความเสียหายในเส้นพลังวิญญาณของเขาและการฝืนใช้พลังวิญญาณมากจนเกินไป เขาจึงตกลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเดิม

ตอนนี้เขารักษาความแข็งแกร่งของตนเองให้อยู่ได้ที่แค่ประมาณระดับเงิน มิติ 4 หรือ 5 เท่านั้น

“ ลั่วอู๋ ลั่วอู๋!” ชิงชูคำรามอย่างขมขื่น “ข้าจะต้องฆ่าเจ้าให้ได้”

……

……

ลั๋วอู๋และพรรคพวกได้เดินทางมาเรื่อย ๆ กว่าครึ่งวัน ก่อนจะตัดสินใจหยุดลงที่ส่วนที่น่าจะปลอดภัยของป่าหวงชา

บัดนี้เหลือเพียงแค่ทะเลทรายทอดยาวและเศษไม้ที่เรียงรายอยู่เป็นระยะ ๆ บางครั้งก็มีแร้งทรายบินผ่านอยู่บนท้องฟ้า จึงค่อนข้างปลอดภัย

“เราควรระวังถ้าเราไปไกลกว่านี้ เราจะเข้าสู่ส่วนลึกของป่าหวงชาที่แท้จริง เราควรเตรียมพร้อมด้านพลังวิญญาณและจิตใจเอาไว้” ผู้นำทางเย่เตือน

ทุกคนพยักหน้า

“เดี๋ยวก่อน” ลั่วอู๋หยิบอาวุธอันยอดเยี่ยมออกมาจากไหปีศาจ อาวุธเหล่านี้มีพลังวิญญาณและทรงพลังมาก

ลั่วอู๋นำอาวุธออกมากองตรงหน้า “โปรดเลือกอาวุธเหล่านี้ไป เลือกอันที่พวกเจ้าสามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้ อาวุธพวกนี้มีคุณสมบัติพิเศษบางอย่าง หากซึ่งถ้าคุณสมบัติของมันหายไปก็ช่วยรีบบอกให้ข้าเปลี่ยนด้วย”

ลั่วอู๋ไม่เคยเอาอาวุธลงตราเหล่านี้ออกมาให้ใครเห็น

เนื่องจากอาวุธลงตราเหล่านี้นั้นทรงพลังมาก

ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งผู้ใช้พลังวิญญาณที่ใช้มันมีพลังมากเท่าไหร่ก็จะสามารถใช้คุณสมบัติของอาวุธเหล่านี้ได้มากขึ้นเท่านั้น ขีดจำกัดสูงสุดของอาวุธลงตรานั้นสูงมาก

สิ่งนี้เกือบจะทำลายแนวคิดสามัญสำนึกที่ว่าอาวุธนั้นไม่มีประโยชน์สำหรับผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูง

ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจ

ในโลกนี้เทคนิคการปรับแต่งและการหลอมอาวุธยังไม่สูงนัก ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อนว่ามีการปรับแต่งอาวุธและลงตรา ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้ของผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงให้ทรงพลังมากขึ้นไปอีกได้

ขัดกับหลักการที่เมื่อผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงสองคนต่อสู้กันอาวุธของพวกเขาคงจะถูกทำลายด้วยปลายนิ้วของอีกฝ่าย ทำให้ผู้คนคิดว่าหากเป็นแบบนั้นแล้วจำเป็นต้องใช้อาวุธอีกงั้นเหรอ?

ทว่านั่นเป็นความคิดที่ผิด ลั่วอู๋จึงไม่คิดจะที่จะเปิดเผยอาวุธวิญญาณลงตราเหล่านี้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับตัวเขาเอง

แต่ตอนนี้มันอันตรายเกินไปที่จะเข้าไปในส่วนลึกของป่าหวงชาโดยปราศจากพวกมัน ลั่วอู๋จึงวางแผนที่จะให้ทุกคนนำอาวุธวิญญาณลงตราติดตัวไปไป

ผู้คนต่างงงงวย อาวุธแบบไหนกันถึงจะมีคุณสมบัติพิเศษได้?

แต่เมื่อพวกเขาลองเลือกอาวุธ พวกเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าอาวุธเหล่านี้ดูผิดปกติ

“ความลับของอาวุธพวกนี้คืออะไร?” ฉูจงฉวนเลือกดาบยาวที่มีตราวิญญาณธาตุเหล็กและดึงดาบออกมาจากฝักได้อย่างง่ายดาย

ลั่วอู๋อธิบายให้เขาฟังเล็กน้อยถึงคุณสมบัติของตราวิญญาณแต่ละแบบ ซึ่งทำให้ทุกคนอึ้งไปชั่วขณะ

ฉูจงฉวนอุทานแล้วลูบที่ดาบ “ล้อเล่นกันใช่ไหมเนี่ย”

“มันเป็นเรื่องจริง แต่มันก็การจำกัดจำนวนครั้งที่จะใช้ความสามารถของมันได้” “ราว ๆ 20 ครั้งและจากนั้นมันก็จะหายไป” ลั่วอู๋กล่าว

จากนั้นพวกเขาก็เลือกอาวุธและออกเดินทางต่อ

ทันใดนั้นความรู้สึกโดดเดี่ยวที่อธิบายไม่ได้ ก็เกิดขึ้นในใจของทุกคน ราวกับว่าจิตใจของพวกเขาถูกส่งไปยังสถานที่ที่แปลกประหลาดจากเดิมโดยสิ้นเชิง

ลั่วอู๋หันหน้าไปด้วยความสับสน

……

……

พวกเขายังคงอยู่ในป่าหวงชา ยังคงมีผืนทรายสีเหลืองอยู่เบื้องหลัง

“ อย่าเอะอะคิดมาก รีบเข้าไปกันเถอะ” ผู้นำทางเย่พูดอย่างใจเย็น

เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนเดียวที่สงบสติอารมณ์ได้

ทุกคนต่างก็ตื่นตัว พวกเขาเดินไปข้างหน้าได้เพียงไม่ถึงหนึ่งในสี่ของชั่วโมง ด้านหน้าของพวกเขาก็ปรากฏแหล่งน้ำโดยไม่คาดคิด

ต้นไม้สีเขียวยืนรับลมและมีผลเบอร์รี่สีแดงเล็ก ๆ อยู่บนยอดไม้ สนามหญ้าสีเขียวแผ่กระจายออกไป ดั่งฤดูใบไม้ผลิอันชัดเจน ที่ปลายน้ำมีน้ำพุ ซึ่งใสมากจนเห็นปลาคาร์ปตัวอ้วน ๆ ว่ายอยู่ในน้ำ พร้อมกับปลาตะเพียนที่เอาหางตบน้ำสาดขึ้นมารูปร่างดีเลยทีเดียว

อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นเย็นจาง ๆ ราวกับอยู่ในทะเลสาบ

ทุกคนต่างตกใจ

ที่แปลกประหลาดที่สุดคือเมื่อตอนที่พวกเขาอยู่ข้างนอก พวกเขาลองมองเข้าไปไกลก็เห็นเพียงแต่ทะเลทรายอันไร้ขอบเขตไม่มีเงาของแหล่งน้ำเลย

แต่หลังจากที่เดินเข้ามา พวกเขากลับเจอกับแหล่งน้ำเสียอย่างนั้น

มันเป็นเรื่องแปลก.

“ไม่ต้องกลัวไป ข้าเองก็เคยตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ไปพักผ่อนซะ ดื่มน้ำแร่สักหน่อยพวกมันไม่มีอันตราย”

จากนั้น ลั่วอู๋ก็เข้าใจได้ถึงความหมายที่แท้จริงของประโยค “ดูเหมือนกับเป็นมิติที่แยกออกมา” ของผู้นำทางเย่

ทุกคนเดินเข้าไปในแหล่งน้ำ

มันไม่มีอันตรายใด ๆ

น้ำแอ่งสามารถดื่มได้และผลไม้บนยอดไม้ก็ไม่มีพิษ

ทุกคนต่างก็ได้ผ่อนคลายจากความระมัดระวัง

“ นายน้อย น้ำในแอ่งน้ำช่างหวานเหลือเกิน” ชายคนหนึ่งจากทีมคมมีดพูดด้วยรอยยิ้ม “มีปลาคาร์ปตัวอ้วน ๆ อยู่ในน้ำ ข้าจะจับมาให้ท่านได้ชิม”

หลังจากนั้นชายคนนั้นก็ชูมือไปที่แอ่งน้ำและดูดปลาขึ้นมาด้วยพลังของเขา ผิวน้ำกลายเป็นคลื่นเล็กน้อยและปลาคาร์ปตัวใหญ่ตัวหนึ่งถูกดูดกลับหัวขึ้นมา

“มีปลาในแหล่งน้ำงั้นเหรอ?” สีหน้าของเฒ่าเย่เปลี่ยนไป “แย่จังข้าสับสนจริงๆ แม้แต่เรื่องนี้ข้าก็ดันลืมไปแล้ว อย่าจับปลานั้นนะ”

“อะไรนะ?” ชายจากทีมคมมีดสับสน ส่งปลาคาร์ปตัวใหญ่บินไปในอากาศอย่างไร้เรี่ยวแรง

จากนั้นขนาดลำตัวของปลาก็เพิ่มใหญ่ขึ้นดวงตาของมันกลายเป็นขนาดเท่าโคมไฟและเกล็ดของมันก็กลายเป็นเหมือนใบมีด ฟันในปากของมันแหลมคมและดุร้าย

“แอ่ว…”

ปลาประหลาดส่งเสียงร้องเหมือนเด็ก จากนั้นก็กระโดดอ้าปากเตรียมกัดชายจากทีมคมมีด

เขาไม่มีเวลาได้โต้กลับ ทุกคนที่เห็นต่างหวาดกลัวในทันที

“ต้าหวงช่วยเขาซะ” ลั่วอู๋ตะโกน

ก้าวพริบตา

ต้าหวงโผล่มาที่ด้านข้างของปลาประหลาดทันที มันรีบวิ่งขึ้นไปกัดและปลาตัวใหญ่ก็กระโดดหนีออกไป

ชายคนนั้นจากทีมคมมีดนั่งลงบนพื้นด้วยสภาพเหงื่อเย็นไหลท่วม

ปลาตัวใหญ่ตกลงมาที่พื้น มันแยกเขี้ยวใส่ต้าหวงและท่าทีดูดุร้ายมาก เมื่อเห็นว่ามันไม่สามารถทำอะไรได้ มันก็ทำได้เพียงแค่หันหลังและกระโดด พร้อมที่จะกระโดดกลับลงไปในน้ำ

ต้าหวงเงยหน้าขึ้นฟ้าและส่งเสียงหอนยาว แสงสีขาวปกคลุมมันและเปลี่ยนสถานะการต่อสู้

สุนัขขนสีเงินตัวใหญ่กัดหางของปลาประหลาด ไม่ปล่อยให้มันได้หนีไป

“แอ่ว…”

ปลาประหลาดเริ่มส่งเสียงร้อง

ปลาคาร์ปตัวใหญ่ที่เหลืออยู่ในแอ่งน้ำต่างก็ได้ยินเสียงและแยกย้ายกันไปทันที ดำดิ่งลึกลงไปในบ่อน้ำไม่เห็นร่างอีกต่อไป

เฒ่าเย่พูดด้วยความรู้สึกผิด “มันเป็นความผิดของข้าเอง ข้าไม่ทันได้สังเกตว่ามีปลาในแอ่งน้ำ ข้าจึงลืมบอกพวกเจ้าในบางอย่างที่สำคัญไป”

“ยิ่งลึกเข้าไปในป่าหวงชาสิ่งมีชีวิตใด ๆ ก็ตาม มันอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้”