ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายอะไรเพิ่มเติมฟีเรนเทียก็รีบยื่นมือทั้งสองข้างออกไปรั้งท่านปู่ในขณะที่ร้องตะโกนเสียงดัง

 

“สะ…สักครู่นะคะ! รอสักครู่นะคะ ท่านปู่!”

 

“หืม?”

 

เธอทิ้งท่านปู่ที่เอียงคอมองด้วยความสงสัยไว้ข้างหลัง แล้วรีบวิ่งกลับเข้าไปในห้องของเธออย่างรวดเร็ว

 

“พ่อ! กระเป๋า! กระเป๋าค่ะ!”

 

“อ๊ะ? อื้อ ได้ๆ …”

 

ท่านปู่ที่ยืนเหม่อเองก็พานยุ่งตามไปด้วยเพราะเธอ

 

ฟีเรนเทียหยิบกระเป๋ารูปทรงสี่เหลี่ยมที่ยัดไว้อยู่มุมห้องออกมากางบนเตียงแล้วก็โยนของใช้ที่จำเป็นสำหรับเฟเรส และของที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับเขาใส่ลงไปในกระเป๋า

 

“หนังสือนี่…อ๊ะ นั่นด้วย! แล้วก็คุกกี้ ลูกกวาด เครื่องเขียน…”

 

เธอวิ่งไปทั่วบ้าน วิ่งเข้าออกห้องโน้นห้องนี้ หยิบของหลายชิ้นอย่างแข็งขันอยู่พักใหญ่

 

ทั้งๆ ที่เพิ่งจะใส่ของลงไปได้แค่ไม่กี่ชิ้นเอง แต่เพียงไม่นานกระเป๋าก็เต็มแน่นเสียแล้ว

 

“ทำอะไรน่ะฟีเรนเทีย”

 

ท่านปู่ที่เคยนั่งรออยู่ในห้องรับรองสุดท้ายก็เดินเข้ามาในห้องของเธอแล้วเอ่ยถาม

 

“เตรียมพวกของที่จำเป็นนิดหน่อยค่ะ! ใช้เวลาไม่นานหรอกค่ะ รอสักครู่นะคะ ท่านปู่!”

 

บนเตียงกลายเป็นกองของขนาดย่อมไปแล้ว

 

“ของพวกนั้นจำเป็นต้องใช้ตอนนี้เลยหรือ”

 

ท่านปู่เอียงคอมองด้วยความงุนงง ท่าทางจะไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย

 

เธอหันไปมองท่านปู่ที่ทำท่าเช่นนั้น แล้วเอ่ยตอบเสียงสดใส

 

“จะเอาไปให้เฟเรสน่ะค่ะ!”

 

“…ให้เด็กนั่นอย่างนั้นหรือ”

 

ไม่รู้ทำไมใต้ตาของท่านปู่ถึงได้กระตุกถี่ยิบ

 

หรือว่าท่านจะรู้สึกเสียดายของขึ้นมาเหรอ

 

“แค่ไม่กี่อันเอง…”

 

แต่ใบหน้านิ่วของท่านปู่ยังดูไม่มีทีท่าว่าจะคลายตัวลงเลยแม้แต่น้อย

 

“เดี๋ยวได้พบเฟเรสแล้วท่านปู่ก็จะเข้าใจความรู้สึกของข้าเองค่ะ!”

 

มันเป็นความรู้สึกพื้นฐานของมนุษย์ที่อยากจะหาของกินของใช้ไปให้ หากได้เห็นเด็กน้อยผอมแห้งแบบนั้นอยู่แล้ว

 

เธอยืนยันเสียงหนักแน่นในขณะที่เอ่ยพูด

 

“…อืม ลองดูก็แล้วกัน”

 

ไม่รู้ทำไมคำตอบของท่านปู่ถึงได้ฟังดูแปลกไปเล็กน้อย แต่เธอก็แค่ยักไหล่ไม่ยี่หระเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

 

หลังจากนั้นเธอก็ปิดล็อกกระเป๋าหนัง ยกมันขึ้นด้วยมือข้างหนึ่ง

 

ไม่สิ ต้องบอกว่าพยายามจะยกมันขึ้นต่างหาก

 

“อ๊ะ!”

 

กระเป๋ามันหนักมากจนทำให้ร่างกายของเธอโงนเงนไปมาตามน้ำหนักกระเป๋า

 

สงสัยจะใส่ของเยอะไปหน่อย

 

ท่านพ่อถอนหายใจเสียงแผ่วอยู่ด้านข้าง ตั้งใจจะช่วยยกกระเป๋าแทนเธอ

 

แต่เธอส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะพูดเสียงมีชีวิตชีวาเปี่ยมพลังเหมือนเสียงของท่านปู่เมื่อครู่นี้

 

“ไปหาเฟเรสกันเถอะค่ะ ท่านปู่!”

 

เธอแบกกระเป๋าเอาไว้บนไหล่อย่างโก้หรู แต่กว่าพวกเราจะได้ออกเดินทางจากคฤหาสน์ เวลาก็ผ่านไปหลังจากนั้นสักพัก

 

“ต่อให้คิดถึงเด็กนั่นมากแค่ไหน แต่คิดจะใส่ชุดนอนเข้าวังเนี่ยนะ…”

 

ท่านปู่ส่ายหน้าด้วยความละเหี่ยใจพลางเอ่ยพูด

 

“พะ…เพิ่งตื่นก็เลยไม่ค่อยมีสติน่ะค่ะ…”

 

อา น่าขายหน้าชะมัด

 

ใส่ชุดนอนลูกไม้ลายหวานแหวว แล้วตะโกนเสียงดังว่าเข้าวังกันเถอะเนี่ยนะถ้ารู้ตัวว่าใส่ชุดนอนอยู่ อย่างน้อยเธอก็คงจะไม่ยิ้มกว้างขนาดนั้นหรอก

 

ฟีเรนเทียแสร้งทำเป็นสงบเสงี่ยม นั่งนิ่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร

 

พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ทั้งท้องฟ้า ทั้งถนนที่รถม้ากำลังวิ่งไปต่างก็มืดสลัว

 

ขบวนเดินทางของพวกเราเรียบง่ายมากเกินกว่าจะบอกว่าเป็นการเดินทางของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย

 

มีเพียงแค่รถม้ากับอัศวินตระกูลลอมบาร์เดียตามหลังมาสองนายเท่านั้น

 

นอกจากเสียงกีบเท้าม้าวิ่งกับเสียงล้อรถม้าที่หมุนไปบนถนน บริเวณโดยรอบนั้นเงียบสงัด

 

ราวกับโลกยังคงหลับใหล

 

เธอหันไปมองท่านปู่ที่นั่งอยู่ข้างๆ

 

คงเป็นเพราะแสงไฟสลัวที่ส่องให้ความสว่างภายในรถม้า วันนี้ริ้วรอยบนหน้าผากของท่านถึงได้ดูลึกจนเห็นชัดกว่าที่เคย

 

เมื่อคืนตอนที่คุยเรื่องของเฟเรส ท่านยังดูเหมือนจะมีเรื่องอะไรให้ต้องครุ่นคิดมากมายอยู่เลย

 

แต่สุดท้าย ท่านก็กลับมาหาเธอตั้งแต่เช้าตรู่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ชวนให้เข้าวังไปพร้อมกัน

 

อะไรกันที่ทำให้ท่านเปลี่ยนความคิด

 

เธอไม่สามารถถามท่านปู่ตรงๆ ได้ แต่เธอก็สามารถรู้สึกได้คร่าวๆ จากริ้วรอยลึกนั่น ว่ามันคงไม่ได้มีแต่เหตุผลด้านดีเสียเท่าไหร่

 

รถม้ายังคงวิ่งไปตามทางไม่หยุดพัก

 

ทั้งตอนที่พ้นอาณาเขตของลอมบาร์เดีย ทั้งตอนที่วิ่งไปบนทุ่งหญ้าผ่านประตูเมืองหลวง

 

หลังจากที่เหล่าพลทหารมองเห็นรถม้าสี่ตัวลากซึ่งมีเพียงเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียเท่านั้นที่สามารถนั่งได้วิ่งเข้ามาจากไกลๆ พวกเขารีบขยับตัวกันอย่างรวดเร็ว

 

ประตูเมืองที่ต้องปิดแน่นสนิทจนกว่าจะถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและผ่านพ้นช่วงเคอร์ฟิวไปก่อน กลับเปิดทางให้อย่างง่ายดายเมื่ออยู่ต่อหน้าสัญลักษณ์ลอมบาร์เดีย

 

รถม้าที่พวกเรานั่งมาไม่จำเป็นต้องลดความเร็วลง

 

และในที่สุดก็มาถึงหน้าพระราชวัง

 

ฟีเรนเทียได้แต่รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย

 

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรื่องที่ต้องเจอเมื่อคราวก่อน อีกอย่างถึงยังไงพระราชวังก็ยังคงเป็นพระราชวังที่แสนน่ากลัวอยู่ดี

 

รถม้าก็ค่อยๆ ลดความเร็วลงอย่างช้าๆ ทำให้ความคิดที่ว่าอาจจะมีใครเปิดประตูรถม้าเหมือนเมื่อคราวก่อนผุดขึ้นมาในหัว เธอจึงปรับท่วงท่าเป็นนั่งตัวตรง

 

แต่ท่านปู่กลับยังคงนั่งเท้าคางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างไม่มีเปลี่ยน

 

ทันใดนั้นท่านปู่ก็หันหน้ากลับมาสบตากับเธอ เพราะรู้สึกได้ถึงสายตาของเธอที่มองท่านอยู่

 

และในวินาทีนั้น รถม้าก็ขยับเคลื่อนไหวอีกครั้งราวกับโกหก

 

เคลื่อนตัวไปบนถนนที่ทอดยาวตั้งแต่หน้าประตูพระราชวังถนนที่เจ้าของของมันยังคงไม่ตื่นจากการหลับใหลอย่างไร้ซึ่งการลังเล