“ท่านปู่ ข้ามาแล้วค่ะ!”

 

เพราะฟีเรนเทียได้ยินข่าวว่าท่านพ่อจะกลับมาช้าอีกแล้ว เธอจึงตัดสินใจจะกินมื้อเย็นกับสองแฝดและชานาเนส แต่ตอนที่กำลังจะรับประทานอาหารจู่ๆ พ่อบ้านก็มาหาเธอด้วยตัวเองโดยแจ้งว่าท่านปู่เรียกหาเธอให้ไปพบ

 

พอเข้ามาข้างในห้องทำงาน ก็เห็นว่ามีอาหารง่ายๆ ถูกเตรียมเอาไว้บนโต๊ะเหมือนเมื่อคราวก่อน

 

“เทียของปู่มาแล้วหรือ! ปู่เรียกมากินอาหารด้วยกันกับปู่คนนี้น่ะ!”

 

“ดีเลยค่ะ!”

 

ก็คิดอยู่ว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า

 

ท่าทางจะแค่อยากร่วมมื้อเย็นด้วยกันกับหลานสาวละมั้ง

 

แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย…คิดได้อย่างนั้นแล้วฟีเรนเทียจึงเดินเข้าไปนั่งลงข้างท่านปู่ ก่อนจะเริ่มลงมือกินอาหาร

 

“เอาละกินนี่ด้วยสิ นี่ด้วย”

 

ท่านปู่ดันจานอาหารน่าอร่อยหลายอย่างมาให้ตรงหน้าเธอพลางลูบศีรษะของเธอไปด้วย

 

“แหะๆ ท่านปู่เองก็กินด้วยสิคะ! อร่อยนะคะ!”

 

และในตอนที่เธอกำลังยัดเนื้อชิ้นใหญ่เข้าปากเป็นชิ้นที่สาม ท่านปู่ที่มองเธอด้วยความเอ็นดูก็เอ่ยถามขึ้นมา

 

“ได้ยินมาว่าเทียของปู่มีเพื่อนใหม่ด้วยหรือ”

 

“เพื่อนเหรอคะ”

 

“ใช่แล้วละ ที่อยู่ในวัง”

 

เป็นเธอเผลอประมาทไปเองสินะที่คิดว่าท่านปู่คงแค่เรียกมากินมื้อเย็นด้วยเฉยๆ

 

เธอแสร้งทำเป็นเคี้ยวเนื้อให้ละเอียด ในขณะที่กลบเกลื่อนสีหน้าตื่นตระหนก

 

หากเป็นเด็กอายุแปดขวบทั่วไป จะแสดงสีหน้าแบบไหนเมื่อได้ยินคำถามแบบนี้จากปู่กันนะ

 

อึก

 

หลังจากกลืนเนื้อลงคอ ฟีเรนเทียจึงค่อยวางส้อมในมือลง

 

“เรื่องนั้นท่านปู่ทราบได้ยังไงเหรอคะ”

 

เธอเบิกตากว้าง พูดเสียงแหลมแสร้งทำเป็นว่าตกใจมาก

 

เด็กตัวเล็กๆ ย่อมยังไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ซับซ้อนของพวกผู้ใหญ่

 

ทั้งเรื่องที่เธอเล่าเกี่ยวกับ ‘เพื่อนในวัง’ ให้แคทเธอรีนฟังเมื่อกลางวัน มันก็เป็นเพียงแค่ความคิดถึงและความเป็นห่วงเพื่อน โดยไม่มีจุดประสงค์อื่นใดแอบแฝงทั้งสิ้น

 

เธอสะบัดหน้าหันหลังให้ท่านปู่อย่างแง่งอน

 

ท่านปู่ยิ้มพลางเอื้อมมือมาหยิกแก้มเธอเบาๆ โดยระวังไม่ให้เธอเจ็บ

 

“ได้ยินจากแคทเธอรีนน่ะ เล่าเรื่องเพื่อนที่ไม่เคยเล่าให้ปู่คนนี้ฟังแก่แคทเธอรีนเสียได้ รู้มั้ยว่าปู่เสียใจแค่ไหน”

 

ท่านปู่เองก็หัวเราะเสียงดังฮ่าฮ่า ไม่มีสีหน้าต้องการจะเค้นดูจุดประสงค์ที่แท้จริงจากเธอในตอนที่ท่านพูดเช่นกัน

 

“งื้อ คือว่าเป็นเพื่อนที่ได้พบกันตอนหลงทางเมื่อตอนที่เข้าวังครั้งก่อนกับท่านพ่อน่ะค่ะ พอดีกลัวโดนดุก็เลย…”

 

“หลงทางอย่างนั้นหรือ”

 

ท่าทางท่านพ่อคงจะสั่งให้พวกผู้ดูแลปิดปากเงียบ

 

ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นต้องแคร์จักรพรรดินีกับจักรพรรดิแบบนั้นเลยสักนิด

 

ท่านพ่อน่ะ ใจดีเกินไปแล้วจริงๆ

 

ปัญหาคือเธอเป็นคนใจดีแบบนั้นไม่ได้หรอก

 

“ค่ะ! จู่ๆ อัศวินน่ากลัวหลายคนก็มาสั่งให้จอดรถม้า สั่งให้ข้ากับพ่อลงจากรถค่ะ ทะเลาะกันกับพ่อที่กำลังโมโหเสียยกใหญ่! เพราะอย่างนั้นข้าเลยก็ต้องลงไปด้วยค่ะ เพราะกลัวมากเลย…”

 

“กล้ายุ่งกับคนของข้า…”

 

ดูเหมือนว่าท่านปู่จะรู้ได้ในทันทีที่ได้ยินว่าใครเป็นคนสั่งให้พวกนั้นกล้าทำเรื่องแบบนั้น

 

ท่านปู่กัดฟันกรอด แต่พอเห็นนัยน์ตากลมโตของเธอที่มองอยู่ ท่านก็กระแอมไอฮึ่มๆ แสร้งกลบเกลื่อนและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอีกครั้ง

 

“แล้วเพื่อนเทียของปู่เป็นเด็กแบบไหนล่ะ เพื่อนอายุเท่าๆ กันกับเทียหรือ”

 

“ค่ะ! อายุมากกว่าข้าสามปีค่ะ! อ๊ะ แล้วก็มีผมกับตาสีแดงเหมือนกระต่ายเลยค่ะ!”

 

นัยน์ตาของท่านปู่ไม่ยิ้มอีกต่อไปแล้ว

 

เธอรีบพูดต่อทันที

 

“ตอนที่ข้าหลงทางในวัง เขาช่วยข้าไว้ค่ะ!”

 

“เหรอ เป็นเด็กใจดีจริงๆ นะ…”

 

“แต่เพื่อนคนนั้นเขาบอกว่าอยู่คนเดียวค่ะ ไม่มีทั้งแม่ ไม่มีทั้งพี่เลี้ยง อยู่ตัวคนเดียว ดูเหงาและโดดเดี่ยวมากเลยค่ะ ท่านปู่”

 

มือของท่านปู่ที่ลูบผมเธอหยุดชะงัก

 

“คนเดียว”

 

“ค่ะ! เพราะงั้นเลยบอกว่าอิจฉาข้าที่มีครอบครัวหลายคนค่ะ”

 

“นี่มันช่าง…”

 

แต่ปฏิกิริยาของท่านปู่กลับไม่ได้มีท่าทางอยากจะวิ่งตรงไปยังพระราชวังเสียเดี๋ยวนี้เหมือนอย่างที่เธอคิดไว้

 

ให้ตายเถอะ!

 

น้ำเสียงอาจจะดูสงสารอีกฝ่ายอยู่บ้าง แต่เธอรู้จักน้ำเสียงแบบนั้นของท่านปู่ดี

 

ท่านกำลังคิดอะไรอยู่มากมาย

 

บางทีคงจะได้ข้อมูลหลายอย่างมาจากผู้คนที่มาร่วมงานพบปะนักเรียนทุนวันนี้แล้วสินะ

 

เพราะทุกคนจะเข้ามาพบตามที่ท่านปู่เรียกตัว แจ้งข่าวสารที่ตนทราบมากันทีละคน แล้วจากไปหากปล่อยไว้แบบนี้ กว่าท่านปู่จะเคลื่อนไหวอาจจะกินเวลาหลายวัน หรือใช้เวลาหลายสัปดาห์เลยก็ได้

 

ไม่ได้นะ! แบบนี้ท่านคงมัวแต่ครุ่นคิดว่าจะยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องของเฟเรสดีหรือเปล่าเป็นแน่

 

แต่สำหรับเฟเรส เขาไม่มีเวลารอเฉยแบบนั้นอีกแล้ว

 

เพราะฉะนั้นเธอถึงได้วางแผนไว้ว่าจะใช้สิทธิ์คำขอที่ได้รับมาเป็นของขวัญวันเกิด ให้ ‘ท่านปู่ไปหาเพื่อนของเธอที่พระราชวังด้วยกัน’

 

แต่ข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่เธอมอบให้แคทเธอรีนเพื่อเรื่องในภายภาคหน้า กลับเคลื่อนไหวไปในรูปแบบนี้เสียได้

 

ครั้งนี้มันแตกต่างจากเรื่องของท่านพ่อ เรื่องที่เกี่ยวพันกับท่านปู่โดยตรง มันย่อมไม่มีทางเป็นไปในทิศทางตามที่เธอต้องการง่ายๆ แน่

 

ฟีเรนเทียลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจลงไป

 

ต้องบอกเหตุผลที่จะทำให้ท่านปู่ต้องรีบลงมือเคลื่อนไหวให้ได้เร็วที่สุด

 

“และก็…”

 

พอเห็นเธอลังเล ท่านปู่ก็ปลอบเธอให้วางใจ

 

“ไม่ต้องห่วง บอกปู่คนนี้ได้ทุกเรื่อง”

 

เธอขยุกขยิกนิ้วไปมา เอ่ยพูดคล้ายกับรวบรวมความกล้าพูดมันออกไป

 

“และเขาบอกว่าป่วยค่ะ บอกว่ามีคนทำให้เพื่อนของข้าป่วย…”

 

เธอก้มหน้านิ่ง แสร้งทำสีหน้าเศร้าหมองให้ได้มากที่สุด

 

“บอกว่ามีคนพยายามทำร้ายเขา…”

 

แต่ถึงอย่างนั้นท่านปู่ก็ยังไม่พูดอะไร

 

เธอจับแขนเสื้อท่านปู่แน่น ช้อนตาขึ้นในขณะที่เอ่ยปากขอร้อง

 

“ท่านปู่ช่วยเขาหน่อยไม่ได้เหรอคะ”

 

คำขอร้องด้วยความสิ้นหวังของหลานสาวดูเหมือนจะได้ผลอยู่มาก สีหน้าเย็นชาของท่านปู่จึงเริ่มหวั่นไหวขึ้นมา

 

ท่านปู่มองเธอด้วยใบหน้าซับซ้อน ก่อนจะเอ่ยถามเธอสั้นๆ

 

“เพื่อนของเจ้าชื่ออะไรหรือ ฟีเรนเทีย”

 

ราวกับจำเป็นต้องตรวจเช็กให้แน่ใจ

 

ฟีเรนเทียเองก็ตอบออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ

 

“เฟเรส เพื่อนของข้าชื่อเฟเรสค่ะ ท่านปู่”

 

พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นสง่าอยู่บนฟากฟ้า

 

รูลลักลอมบาร์เดียดื่มเหล้าแก้วหนึ่งไปพลางเหม่อมองนอกหน้าต่าง

 

ฟีเรนเทียหลานสาวของเขากลับห้องไปได้พักใหญ่แล้ว แต่รูลลักก็ยังคงครุ่นคิดไม่จบ

 

พอได้รู้ว่าแท้จริงแล้วเจ้าชายลำดับที่สองอยู่ที่ไหน เขาก็เอาแต่ครุ่นคิดเรื่องอื่นมากมาย

 

มันมีหลายเรื่องให้ตนต้องตัดสินใจ

 

ข้อมูลที่คนอื่นๆ ที่เข้ามาพบเข้าก่อนหน้าแคทเธอรีน ต่างก็พัวพันอยู่ในหัวสมองทำเอาศีรษะหนักอึ้งไปหมดแต่สิ่งที่ทำให้ความรู้สึกของรูลลักมันยุ่งเหยิงไปหมดนั้น มันเป็นเพราะเรื่องของสายเลือดไม่ใช่แค่เรื่องการเมืองหรือความสัมพันธ์ใดๆ

 

รูลลักยืนนิ่งดื่มจนเหล้าในแก้วเหลือเพียงครึ่ง ก่อนที่จะกดกริ่งเรียกตัวพ่อบ้าน

 

เพียงครู่หลังจากนั้น พ่อบ้านก็เปิดประตูเข้ามาเงียบๆ

 

“โยฮัน”

 

“ครับ รับสั่งมาได้เลยครับ”

 

“เบเจอร์กลับมาแล้วหรือยัง”

 

บุตรชายคนโตเมินเฉยคำเตือนของรูลลัก พาภริยาและบุตรชายบุตรสาวเข้าวังไปตั้งแต่เช้าตรู่

 

“เรื่องนั้น…”

 

พ่อบ้านโยฮันเอ่ยตอบอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

“ก่อนหน้านี้มีสารแจ้งมาจากสารถีรถม้าครับ ดูเหมือนว่าครอบครัวของท่านเบเจอร์วันนี้จะค้างคืนที่พระราชวัง…เพื่อที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงที่จะจัดขึ้นในวังพรุ่งนี้เย็นครับ”

 

รูลลักพูดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่

 

พ่อบ้านไม่อาจคาดเดาได้ว่ารูลลักจะรู้สึกเจ็บปวดใจเพียงใด เขาจึงได้แต่ยืนค้อมศีรษะเฝ้ารออยู่เงียบๆ

 

ไม่นานหลังจากนั้น รูลลักจึงเอ่ยพูดเสียงทุ้มต่ำ

 

“อย่างนั้นหรือ ตัดสินใจเช่นนั้นสินะ”

 

แกรก

 

เสียงแก้ววางลงบนขอบหน้าต่างดังก้องไปทั่วห้องทำงาน

 

“เทีย? เทีย ตื่นก่อนเถอะ”

 

เธอขยี้ตาด้วยความง่วงพลางลุกขึ้นจากเตียงเมื่อมีมือมาเขย่าปลุก

 

“พ่อ?”

 

สิ่งแรกที่เห็นในห้องที่ยังคงมืดสลัวคือท่านพ่อ

 

ท่านพ่อสวมชุดนอนคลุมเพียงเสื้อคลุมผ้าไหม ท่านกำลังปลุกเธอด้วยใบหน้าตื่นตระหนก

 

“ง่วงมากเลยใช่มั้ย”

 

“งื้อ ไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่มีอะไรเหรอคะ”

 

“ดูเหมือนวันนี้เทียจะต้องตื่นเช้าหน่อยแล้วละ”

 

หากไม่มีเรื่องอะไรสำคัญ ท่านพ่อไม่มีทางปลุกเธอตั้งแต่ไก่โห่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นแบบนี้แน่

 

ท่าทางของท่านพ่อที่เอาแต่เหลือบมองประตูที่ถูกเปิดแง้มค้างทิ้งไว้อยู่เรื่อย มันทำให้เธอตาสว่างเหมือนกระโดดจ๋อมลงในน้ำเย็นผสมน้ำแข็ง

 

เธอรีบลงจากเตียง วิ่งไปเปิดประตูห้องทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ใส่รองเท้า

 

ท่านปู่นั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับรองที่มืดสลัวไม่ต่างจากห้องนอนของเธอ

 

“โอ้ๆ ตื่นแล้วหรือ”

 

ท่านปู่เอ่ยต้อนรับด้วยน้ำเสียงมีชีวิตชีวาราวกับหลับสนิทมาตลอดทั้งคืน ท่านอยู่ในสภาพเตรียมตัวพร้อมแล้วตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

 

ท่านปู่มองเธอที่กำลังจับลูกบิดประตู ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยพูด

 

“เข้าวังกับปู่คนนี้หน่อยเป็นอย่างไรฟีเรนเทีย”