ตอนที่ 114 พี่สาวใหญ่สวี่แห่งคณะกรรมการหมู่บ้าน

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 114 พี่สาวใหญ่สวี่แห่งคณะกรรมการหมู่บ้าน

คุณป้าหลี่ยังคงสงสัย แต่จี้เจี้ยนเหอนั้นใจร้อนทนไม่ไหวแล้ว “แม่ ผมไม่ไปที่นั่นแล้วนะ น้ำที่นั่นไม่ได้แตกต่างจากน้ำที่ไหนเลย ถ้าแม่อยากพิสูจน์ให้ดู ผมก็ต้องเห็นความแตกต่างแล้วสิ เป็นเพราะต้นไม้เราได้รับมูลไก่เพียงพอต่างหาก ดูปุ๋ยมูลไก่พวกนี้สิ ต้นไม้ผลของเราถึงฟื้นฟูมีชีวิตชีวาได้ในครึ่งเดือนที่ผ่านมา แล้วมันจะเป็นเพราะน้ำที่บ้านของเจี้ยนอวิ๋นได้ยังไงล่ะครับ!”

หลังแวะมาตักน้ำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาครึ่งเดือนราวกับคนโง่งมคนหนึ่งและยังพบว่ามันไม่เกิดผลอะไรเลย แถมยังต้องหวาดกลัวกับสุนัขดำตัวใหญ่ตัวนั้นด้วย เขาก็ชักจะหมดความอดทน

อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่จี้เจี้ยนชวนพี่ชายของเขาก็เอ่ยขึ้น “แม่ครับ เจี้ยนเหอกับผมจะไม่ไปตักน้ำแล้วนะครับ แค่ใส่ปุ๋ยมูลไก่บำรุงต้นไม้ผลของเราเป็นบางครั้งบางคราวก็พอ”

คุณป้าหลี่ยังไม่ยอมแพ้ และวางแผนจะใช้ให้สองพี่น้องไปตักน้ำอีก นางไม่เชื่อหรอกว่าผลที่เกิดขึ้นจะไม่ได้มาจากน้ำที่ใช้รด ถ้าไม่ได้เป็นที่น้ำจริง แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่ใช้น้ำในบ่อประจำหมู่บ้าน แต่กลับใช้น้ำในบ่อที่บ้านของเจี้ยนอวิ๋นแทนล่ะ?

ในที่สุดคุณลุงจี้ก็เอ่ยตัดบท “คราวหน้าไม่ต้องไปตักน้ำที่บ้านของเจี้ยนอวิ๋นแล้วนะ อย่ากังวลอะไรไปเลย แค่ใส่ปุ๋ยแล้วจัดการสวนให้ดี ๆ ก็พอแล้ว!”

แค่บำรุงต้นไม้ให้สมบูรณ์ก็พอแล้ว หญิงชราคนนี้กลับคิดมากและเอาแต่สงสัยว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะน้ำที่ใช้รด แต่เมื่อรดน้ำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานแล้วกลับพบว่ามันไม่มีความแตกต่างเลย และมันทำให้เขารู้สึกอับอายอย่างมาก

ในตอนที่เขาขนน้ำขึ้นไปบนภูเขา ภรรยาของเขาก็ได้ถามว่าทำไมถึงต้องไปตักน้ำที่บ้านนั้น? เป็นเพราะน้ำในบ่อน้ำโบราณประจำหมู่บ้านมีไม่พอให้ตักไปใช้แล้วหรืออย่างไร? เขาที่ได้ยินดังนี้ก็รู้สึกขายหน้าเหลือเกิน

ให้พวกเขากอบโกยผลประโยชน์ทั้งที่มันจะส่งผลกระทบต่อญาติของพวกเขา แถมยังระแวงว่าคนบ้านนั้นเก็บซ่อนน้ำไว้จนต้องไปรบกวนขอน้ำจากบ้านของเขามาใช้ทุกวันแบบนี้ มันคืออะไรกันเนี่ย? อย่างนี้เรียกได้ว่าได้คืบจะเอาศอกชัด ๆ ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเอาเสียเลย!

แม้คุณป้าหลี่ไม่อยากจะทำแบบนั้น แต่นางก็ไม่ได้เอ่ยอะไร

ตอนนี้นางรู้สึกว่าตัวเองขาดความน่าเชื่อถือไปแล้ว เพียงเพราะความไม่แน่ใจของนางแท้ ๆ

ครั้นจี้เจี้ยนชวนไม่ได้มาตักน้ำแล้ว เขาก็มาพูดคุยเรื่องนี้กับจี้เจี้ยนอวิ๋น ซึ่งจี้เจี้ยนอวิ๋นก็รับฟังและถามว่าตอนนี้ต้นผลไม้บนภูเขาเป็นอย่างไรบ้าง

จี้เจี้ยนชวนถอนหายใจ “ดินบนภูเขาไม่ค่อยเหมาะต่อการใช้ปลูกผลไม้จริง ๆ ด้วย” นี่คือเหตุที่เหล่าฉินพาพวกเขาไปเรียนรู้เคล็ดลับการทำสวนผลไม้ ในเมื่อชาวสวนมากประสบการณ์เหล่านั้นพากันบอกว่าดินแบบนี้เก็บปุ๋ยไว้ไม่อยู่แถมวัชพืชยังงอกไม่ได้ แล้วจะปลูกผลไม้ได้อย่างไร?

บรรดาชาวสวนผลไม้เหล่านั้นไม่ได้มาเห็นสภาพดินในที่ของพวกเขาด้วยตาของตัวเอง เพียงแต่ฟังจากสิ่งที่พวกเขาอธิบายเท่านั้น

ยิ่งกว่านั้นคนที่ทำสวนทำไร่มาเกือบทั้งชีวิตหรือจะบอกไม่ได้? ไม่ใช่เป็นเพราะว่าพวกเขามองเห็นสวนของเจี้ยนอวิ๋นที่เป็นญาติเจริญเติบโตดีแล้วเกิดความอิจฉาขึ้นมาจนอยากลองทำให้ได้แบบนั้นหรอกหรือ?

ตอนที่ครอบครัวพวกเขาจะลงสัญญาเช่าภูเขาเพื่อปลูกผลไม้ เขาเองก็เป็นคนคัดค้าน แต่แม่ของเขายังคงยืนกรานที่จะทำ และพ่อของเขาก็อยากจะปลูกผลไม้ด้วย นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำไมเขาถึงต้องทุ่มทรัพย์สินเพียงเล็กน้อยของครอบครัวตัวเองไปกับการลงทุนนี้ด้วย

ผลสุดท้ายที่เกิดขึ้นก็คือต่อให้เขาอยากจะถอนตัวออก เขาก็ยังอยากจะปลูกมันต่อด้วย ซึ่งนั่นก็ไม่ได้มีหวังมากนัก

ทว่าหลังได้ใส่ปุ๋ยมูลไก่แล้ว ก็ดูเหมือนสถานการณ์ในสวนของเขาจะดีขึ้นเล็กน้อย แต่ในอนาคตใครจะรู้ล่ะ?

“พี่ลองพยายามปลูกต่อไปเถอะครับ ในครอบครัวพี่ยังมีลูกอีก 4 คนไม่ใช่เหรอ พี่จะทิ้งงานในไร่ในสวนไม่ได้หรอก” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ย

อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นญาติกัน ดังนั้นแนะนำสักหน่อยคงไม่เป็นไร

จี้เจี้ยนชวนพยักหน้า เขาไม่มีทางทิ้งงานในไร่ในสวนหรอก มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะฝากปากท้องไว้แล้ว

“ถ้าพี่กับพี่สะใภ้รองประสบปัญหาอะไรก็มาหาผมได้นะครับ พี่ก็เห็นเล้าไก่บนภูเขาของผมแล้ว ผมมีแผนว่าจะขยายมันอีกหน่อย ก็เลยจะรับคนงานอีกคนน่ะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก

จี้เจี้ยนชวนได้ยินดังนี้ก็หูผึ่ง และเอ่ยขึ้นมาว่า “ยังขาดคนอีกคนหนึ่งเหรอ? เจี้ยนอวิ๋น นายคิดว่าฉันทำได้เหรอ?”

“ครับ แต่พี่รองไม่ต้องบอกกับผมหรอกครับ ถ้าพี่อยากจะทำก็มาหาผมได้ ผมกันตำแหน่งนี้ไว้ให้พี่ได้นะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก

เทศกาลไหว้พระจันทร์เพิ่งผ่านพ้นไป และต้นผลไม้ในสวนของคุณลุงของเขายังไม่เห็นผลที่เกิดขึ้นชัดนัก ยังต้องคอยดูต่อไปในปีหน้า ทว่าแม้จะใส่ปุ๋ยลงไปแล้ว โอกาสที่สวนจะฟื้นตัวก็ยังน้อยนิดอยู่ดี

จี้เจี้ยนชวนกลับบ้านไปด้วยความตื่นเต้น

ซูตานหงกำลังทำเปี๊ยะไหว้พระจันทร์อยู่ในครัว เปี๊ยะไหว้พระจันทร์ที่ทำในคราวที่แล้วช่างอร่อยเหลือเกิน มีทั้งงา ไข่แดงเค็ม และเม็ดบัวอยู่ในไส้ถั่วแดงบด ซึ่งเธออยากกินทั้งหมดเลย

ตอนนี้ที่บ้านไม่มีอะไรผิดปกติ มีแต่เรื่องที่เธอกินมากทุกวัน มันเป็นเพราะเด็กในท้องที่ให้เธอหิวบ่อย หิวมากกว่าตอนที่เธอท้องเหรินเหรินเสียอีก ตอนท้องเหรินเหรินนั้นเธอแค่หิวบ่อยในช่วงเดือนหลัง ๆ แต่ในท้องนี้ซูตานหงกลับหิวบ่อยทั้งที่อายุครรภ์ยังไม่ถึง 5 เดือนเสียด้วยซ้ำ

เธอกินจุพอๆ กับจี้เจี้ยนอวิ๋นแล้ว ทั้งที่เธอรู้ว่าไม่อาจกินมากเกินไป แต่เธอก็หิวเหลือเกิน!

จี้เจี้ยนอวิ๋นเข้ามาช่วย และพูดว่าต่อไปในอนาคตทางบ้านญาติหลังนั้นจะไม่มาตักน้ำในบ้านของพวกเขาแล้ว ซูตานหงได้ยินแล้วก็ไม่ใส่ใจ เพราะสวนของเธอตั้งตัวได้แล้ว ในตอนนั้นเธอแค่ใส่น้ำวิเศษในบัวรดน้ำแล้วนำไปรดทุกวันเท่านั้น แล้วมันก็ค่อย ๆ ได้ผล ขณะที่คุณป้าหลี่มาตักน้ำจากบ่อน้ำ แล้วน้ำธรรมดามันจะให้ผลอย่างนั้นได้อย่างไรล่ะ?

อย่างไรก็ตาม ไก่บนภูเขาก็ยังได้ดื่มน้ำวิเศษที่เจี้ยนอวิ๋นขนขึ้นไปในฤดูที่แล้ว ดังนั้นมูลไก่จึงยังมีสรรพคุณนั้นอยู่ แต่ถึงอย่างไรมันก็ให้ผลไม่ดีเท่ากับการรดน้ำวิเศษโดยตรงหรอก

สวนของพวกเขาจะตั้งตัวได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวพวกเขา

ครั้งนี้ซูตานหงทำเปี๊ยะไหว้พระจันทร์เป็นจำนวนมาก คิดเป็น 7-8 ชั่งเลยทีเดียว แต่นั่นก็ไม่ถือว่ามากเกินไป เพราะมันไม่พอต่อปริมาณที่เธอจะกินแม้แต่น้อย

เธอจะกินเปี๊ยะไหว้พระจันทร์เองหมดได้อย่างไร? พ่อแม่สามีของเธอชอบกินมันมาก ดังนั้นจึงต้องส่งไปให้พวกเขากินบนภูเขาบ้าง 2 ชั่ง แม่ของเธอเองก็ชอบกินเช่นกัน เธอจึงต้องให้นางไปอีก 2 ชั่ง ซึ่งนี่ก็นับเป็นครึ่งหนึ่งของปริมาณทั้งหมดที่ทำแล้ว หลังจากให้พี่ชายรองของเธอไปอีกชั่งหนึ่ง ส่วนที่เหลืออีก 2 ชั่งก็กลายเป็นของโหวหวาจือ เสี่ยวเจินเสี่ยวอวี้ไป

แต่เปี๊ยะไหว้พระจันทร์ 2 ชั่งนี้ถือว่าไม่มากไม่น้อยเกินไป หากเหลือมากเกินไป เธอจะกินไม่หมด แต่ถ้าเหลือน้อยเกินไป เธอก็จะหิวขึ้นมาเพียงแค่มองมัน

จี้เจี้ยนอวิ๋นเองก็ชอบกินเปี๊ยะไหว้พระจันทร์ที่ภรรยาของเขาทำเช่นกัน แต่เขาก็ไม่ได้กินมาก แค่หยิบไปชิมชิ้นหนึ่ง แล้วก็ไม่กินชิ้นอื่นอีก

“ภรรยครับ อีกไม่กี่วันผมพาคุณเข้าเมืองดีไหมครับ? คุณจะอยู่ในเมืองดูระยะหนึ่งไหมครับ?” คืนนั้นเองจี้เจี้ยนอวิ๋นก็พูดขึ้นมา

“เข้าเมืองเหรอคะ? เป็นเพราะเรื่องวางแผนครอบครัวหรือเปล่า?” ซูตานหงถาม

“ครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้า ตอนนี้ท้องของภรรยาเขาใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว หากทางหมู่บ้านจับได้ก็จะบังคับให้พวกเขาทำแท้งอย่างแน่นอน

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เราต่างเป็นคนที่ชาวบ้านรู้จักกันดี จะมีใครกล้ามาจับฉันกันคะ? พี่สวี่ที่เป็นภรรยาของคณะกรรมการหมู่บ้านยังเป็นพี่สาวของสวี่อ้ายตั๋งอยู่นะคะ ฉันยังมีเปี๊ยะไหว้พระจันทร์อยู่อีกชั่งหนึ่งในครัว คุณเอาไปให้หล่อนแล้วบอกเรื่องนี้กับหล่อนก็ได้ค่ะ” ซูตานหงบอก

พี่สาวใหญ่บ้านสวี่คนนี้จี้เจี้ยนอวิ๋นยังไม่ได้เจอหน้า แต่หล่อนเป็นคนในตอนนั้นที่เอ่ยปลอบซูตานหงที่กำลังตกใจหลังเด็กในท้องเคลื่อนไหวเป็นครั้งแรกขณะกำลังคุยโทรศัพท์กับจี้เจี้ยนอวิ๋นที่ได้รับบาดเจ็บ ว่าเป็นการเคลื่อนไหวของทารกและไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด

หลังจากนั้นเธอก็ได้ติดต่อพี่สาวใหญ่สวี่คนนี้ ซึ่งหล่อนยังเป็นคนของคณะกรรมการหมู่บ้านและมักจะไปช่วยงานที่คณะกรรมการหมู่บ้านเสมอ

คราวใดที่ผลไม้ในสวนสุก เธอก็ถือถุงผลไม้แวะไปให้และพูดคุยกับหล่อนถึงครึ่งชั่วโมงจึงกลับมา บางครั้งพี่สาวใหญ่สวี่ก็จะมาหาเธอที่บ้านโดยเฉพาะ นับได้ว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ดีอย่างหนึ่ง

จี้เจี้ยนอวิ๋นที่ไม่รู้เรื่องพวกนี้ถึงกับประหลาดใจเล็กน้อย

“นี่เป็นเรื่องระหว่างผู้หญิงด้วยกันน่ะค่ะ แค่เอาไปให้หล่อนแล้วบอกหล่อนว่าฉันท้องได้เกือบ 5 เดือนแล้ว หล่อนรู้เรื่องนี้ดีค่ะ” ซูตานหงบอก

…………………………………………