ตอนที่ 115 จ่ายค่าปรับไหวก็อยู่รอด

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 115 จ่ายค่าปรับไหวก็อยู่รอด

ซูตานหงรู้ถึงสถานะในหมู่บ้านนี้ของครอบครัวเธอเป็นอย่างดี

ทั้งเช่าที่ขนาดใหญ่หลังภูเขาปลูกผลไม้เป็นจำนวนมาก ล้อมรอบด้วยกำแพงสูง แถมยังมีรถบรรทุกคันใหญ่ที่จี้เจี้ยนอวิ๋นเพิ่งซื้อกลับมาอีก

สิ่งเหล่านี้มีอย่างไหนบ้างที่ไม่สร้างความฮือฮาในหมู่บ้านแห่งนี้?

หัวหน้าหมู่บ้านหรืออะไรทำนองนี้ถึงกับเชิญจี้เจี้ยนอวิ๋นมารับประทานอาหารด้วยเป็นการพิเศษ นอกเหนือจากคนอื่น ๆ แล้ว การที่หัวหน้าหมู่บ้านเชิญมารับประทานอาหารเย็นด้วยก็เพราะว่าเขาตั้งความหวังอย่างใหญ่หลวงไว้กับเจี้ยนอวิ๋นของครอบครัวเธอ เขาหวังว่าอีกฝ่ายจะจัดการสวนผลไม้ได้เป็นอย่างดี และเมื่อมันเจริญรุ่งเรืองแล้ว เขาก็จะนำพาให้คนในหมู่บ้านคนอื่น ๆ เจริญรุ่งเรืองไปด้วย

และถ้าเกิดรวยกันทั้งหมู่บ้านขึ้นมา มันก็จะเป็นความสำเร็จด้านการปกครองของเขาด้วย!

ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าสถานการณ์ในหมู่บ้านตอนนี้ดีกว่าปีก่อนมาก มีหลายครอบครัวรื้อบ้านแล้วสร้างใหม่ ซึ่งครอบครัวของจี้เจี้ยนอวิ๋นก็ไม่เว้น

ตัวอย่างเช่นในตอนนี้ทุกบ้านต่างตั้งใจเลี้ยงลูกเจี๊ยบมากกว่าเดิม ซึ่งลูกเจี๊ยบเหล่านี้จี้เจี้ยนอวิ๋นจะมากว้านซื้อไปเลี้ยงบนภูเขา นั่นหมายความว่าชาวบ้านคนอื่น ๆ จะมีรายได้เสริมไม่ใช่หรือ?

นอกจากนี้ชาวบ้านทั้งหลายยังปลูกผลไม้และผักตามฤดูกาลเป็นจำนวนมาก และขายได้เงินกลับมาเป็นกอบเป็นกำกันทุกคน

ทำไมน่ะหรือ?

เพราะว่าพี่ชายรองของซูตานหงจะมาที่หมู่บ้านทุกวันเพื่อรับผักผลไม้จำนวนมากไปขายในเมืองน่ะสิ และยังให้ราคาดีอีกด้วย แน่นอนว่าความต้องการก็ค่อนข้างสูงเช่นกัน และคุณภาพก็ต้องสดกรอบ ซึ่งทำให้ต้องใช้ปุ๋ยในปริมาณที่เพียงพอ แต่นี่ก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน เป็นไปไม่ได้หรอกที่พวกเขาจะไม่ขอทำตามคำสั่งที่ได้รับจากเขา

หากเขารับผลผลิตไป มันก็จะช่วยผ่อนแรงในการทำงานไปได้หนึ่งวัน เขาจะเป็นคนขับรถขนผลผลิตเหล่านี้ไปขาย ส่วนชาวบ้านก็ได้รับค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ ทั้งยังมีเวลาไปทำไร่ทำสวนของตัวเองอีกด้วย

ถึงจะได้ราคาขายค่อนข้างน้อย แต่เมื่อเทียบกับการทำงานอยู่กับบ้านแล้วมันก็คุ้มค่า

เป็นเพราะเรื่องนี้ ชาวบ้านจึงมีรายได้เสริมเข้ามาอีกทางหนึ่ง

นอกจากนี้ยังมีการจ้างแรงงานพิเศษเพิ่มอีกด้วย เมื่อใดที่สวนผลไม้ออกผลผลิตมาก ก็มีความต้องการแรงงานเก็บผลไม้เพิ่ม นอกจากมีตำแหน่งคนงานประจำแล้วก็ยังมีคนงานชั่วคราวอีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ก็ช่วยให้ชาวบ้านบางคนมีรายได้มาจุนเจือชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นไม่ใช่หรือ?

การเป็นคนงานชั่วคราวแน่นอนว่าไม่ดีเท่ากับการเป็นคนงานประจำ ซึ่งคนงานประจำนั้นมีจี้หงจวินกับสวี่อ้ายตั๋งอยู่แล้ว และสวี่อ้ายตั๋งนี้ก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้านด้วย

ตอนที่สวี่อ้ายตั๋งแยกครอบครัวออกจากเหล่าสวี่ผู้เป็นพ่อ ตัวเขานั้นไม่มีอะไรติดตัวเลย เป็นหัวหน้าหมู่บ้านเองที่ให้เพิงอาศัยนอกบ้านกับเขา เขาจึงอยู่รอดมาได้ในช่วงระยะแรกนั้น

ไม่อย่างนั้นสองสามีภรรยาสวี่อ้ายตั๋งกับหลี่อวี้ซุ่ยที่กำลังตั้งครรภ์อยู่จะมีชีวิตรอดได้อย่างไร?

แล้วตอนนี้ชีวิตของสวี่อ้ายตั๋งดีมากขนาดไหนกันล่ะ? เมื่อสองวันก่อนเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่ผ่านมา ครอบครัวของสวี่อ้ายตั๋งก็ได้ส่งเนื้อสามชั้นมาให้ครึ่งชั่ง

หัวหน้าหมู่บ้านไม่ได้อยากได้เนื้อจากเขาหรอก แต่นี่มันเป็นการแสดงทัศนคติอย่างหนึ่ง มันหมายความว่าอย่างไรน่ะเหรอ? มันแสดงให้เห็นว่าคนทั้งคู่มีความกตัญญูรู้คุณต่อความช่วยเหลือที่เขาได้ยื่นมือช่วยไว้ในตอนต้น ซึ่งนับเป็นเรื่องน่ายินดี

และสวี่อ้ายตั๋งก็ถือว่ายังเป็นลูกหลานของเขาอยู่ แม้จะอยู่ห่างกัน แต่ความสัมพันธ์นี้คืออะไรล่ะ? ตั้งแต่ที่สวี่อ้ายตั๋งทำงานเป็นคนงานประจำให้กับตระกูลจี้ ชีวิตของเขาก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ

ตอนนี้บ้านของเขาถูกสร้างขึ้นมาใหม่แล้ว ส่วนคนเองก็กระฉับกระเฉงมีพลังมากขึ้น ถึงขนาดมีเงินเหลือพอจะซื้อเนื้อมาให้ทางนี้ได้ เรื่องนี้ยังไม่เพียงพอต่อการอธิบายทุกอย่างอีกหรือ?

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะจี้เจี้ยนอวิ๋นทั้งนั้น

ส่วนเรื่องที่เหลือก็คือการขอทำสัญญาเช่าภูเขาเพื่อปลูกผลไม้ มันก็เป็นเพราะจี้เจี้ยนอวิ๋นปลูกมันได้จนทุกคนอยากจะปลูกตามบ้าง เขาจึงทำสัญญาไว้เป็นจำนวนมากจนกลายเป็นหมู่บ้านที่ทำสัญญาเช่าพื้นที่มากที่สุดเมื่อเทียบกับหมู่บ้านใกล้เคียง

ส่วนจะปลูกผลไม้ขึ้นหรือไม่นั้น เขาไม่ได้เป็นคนรับผิดชอบ ไม่อย่างนั้นก็รอจนหมดสัญญาเสีย นี่คือหลักการปกครองของเขาอย่างหนึ่ง

และหัวหน้าหมู่บ้านคนนี้เองก็เป็นสามีของพี่สาวใหญ่สวี่

หัวหน้าหมู่บ้านคนนี้มีความประทับใจที่ดีต่อจี้เจี้ยนอวิ๋น และพี่สาวใหญ่สวี่ก็มีความประทับใจอันดีต่อซูตานหง โดยเฉพาะผลไม้ถุงใหญ่ที่ซูตานหงนำมาให้คราวที่แล้วนั้นเธอนำมาให้แบบไม่หวงเลย ทุกผลล้วนมีขนาดใหญ่และรสชาติดีทั้งหมด

จริงสิ ในคราวที่แล้วที่เป็นฤดูเชอร์รี่ เธอก็ยังนำมาให้หล่อนราว 5 ถึง 6 ชั่ง หลังจากนั้นที่หล่อนไปเก็บแตงโมกับสตรอเบอรี่ที่บ้านของเธอ ตานหงก็ขอให้หล่อนนำแตงโมกับสตรอเบอรี่กลับไปด้วย เป็นแตงโมลูกหนึ่งที่มีน้ำหนักราว 9 ชั่งกว่า และสตรอเบอรี่อีกหลายชั่ง

ผู้หญิงหันหน้าคุยกันได้อย่างรวดเร็ว เมื่อได้สานสัมพันธ์เป็นมิตรกันจึงพลอยเร็วไปด้วย

โดยเฉพาะซูตานหงที่เป็นคนใจกว้างอยู่แล้ว ทัศนคติหรือก็สงบนิ่ง ตัวคนยังเปิดกว้างเข้ากับคนอื่นได้ง่าย แม้แต่เจินเหมียวหงที่อยู่ในเมืองก็ยังเข้ากับเธอได้ดี

ด้วยเหตุที่มีความสัมพันธ์อันดีมาตั้งแต่ต้น ครั้นจี้เจี้ยนอวิ๋นนำเปี๊ยะไหว้พระจันทร์จำนวน 1 ชั่งมาให้ พี่สาวใหญ่สวี่ยังพูดว่าหากจะมาก็มาแต่ตัวก็ได้ ทำไมต้องเอาของมาให้ด้วย?

“วันนี้ภรรยาผมอยากกินมากก็เลยลงมือทำน่ะครับ หล่อนบอกให้ผมนำมาให้พี่ในตอนที่ยังอุ่น ๆ พี่เอาไปให้หลานชายหลานสาวผมกินตอนที่มันยังอุ่นได้นะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม พี่สาวใหญ่สวี่มีอายุประมาณเขา แต่มากกว่าเขาราว 4 หรือ 5 ปี

“ไม่ต้องถามถึงฝีมือการทำอาหารของตานหงเลย คราวที่แล้วที่พี่ไปเยี่ยม หล่อนก็ชวนให้พี่กินเค้กหวานที่หล่อนทำเองเหมือนกัน” พี่สาวใหญ่สวี่เอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนเชิญเขาเข้าไปในบ้าน

จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่เห็นหัวหน้าหมู่บ้านออกมานานแล้ว เห็นแต่คนอื่น ๆ ออกมา จึงถามขึ้น “พี่สาว หัวหน้าอยู่ที่นี่ไหมครับ?”

“เขาเพิ่งออกไปตอนเช้านี้น่ะจ้ะ เจี้ยนอวิ๋น มีเรื่องอะไรหรือเปล่าจ๊ะ บอกพี่มาเถอะ พี่จะได้บอกเขาให้” พี่สาวใหญ่สวี่เอ่ยอย่างรู้ทันเพียงเห็นท่าทางที่แปลกไปของเขา

“พี่สาว ตานหงท้องได้เกือบ 5 เดือนแล้วครับ เหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว ผมก็เลยไม่ได้บอกเรื่องนี้ที่ไหน” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ย

พี่สาวใหญ่สวี่ถึงกับหัวเราะเมื่อได้ยินดังนั้น “พี่ก็ว่าแล้วเชียว กลับไปบอกตานหงแล้วกันจ้ะว่าให้ดูแลลูกให้ดี ๆ อย่าได้กังวลกับเรื่องอะไรอย่างอื่น พรุ่งนี้พี่จะไปเยี่ยมหล่อน”

“ครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นตอบด้วยรอยยิ้ม

เย็นนั้นเอง หัวหน้าหมู่บ้านก็กลับมา และพี่สาวใหญ่สวี่ก็บอกเรื่องนี้กับเขา

หัวหน้าหมู่บ้านได้ยินก็ประหลาดใจเล็กน้อย เอ่ยขึ้น “ยังท้องอีกเหรอ? ไม่ใช่ว่าหล่อนคลอดลูกไปแล้วคนหนึ่งหรือไง?”

“จะเป็นอะไรไปล่ะคะ มีใครบ้างที่ไม่อยากมีความสุขกับการมีลูกหลายคน? จะคลอดอีกก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถ้าตานหงอยากจะคลอดลูกก็ให้หล่อนคลอดเถอะ” พี่สาวใหญ่สวี่บอก

“มันไม่ใช่ว่าจะคลอดลูกหรือเปล่าน่ะสิ ถ้าเกิดหล่อนคลอดออกมาแล้ว คนอื่น ๆ ในหมู่บ้านล่ะจะทำยังไง?” หัวหน้าหมู่บ้านย่นคิ้ว

พี่สาวใหญ่สวี่จึงขอร้องกับสามี “เรื่องนี้มันไม่ง่ายเลยจริง ๆ ค่ะ ใครก็ตามที่คลอดลูกเกินจะต้องจ่ายค่าปรับ ไม่ใช่ว่าต้องจ่ายสี่ร้อยหยวนหากคลอดลูกเกินเหรอคะ? ใครที่จ่ายค่าปรับได้ก็คลอดลูกได้ ส่วนใครที่ไม่สามารถจ่ายไหวคุณก็พาคนไปรื้อบ้านก็ได้นี่คะ แต่ตานหงน่ะจ่ายไหวอยู่แล้ว ฉันจะไปบอกหล่อนพรุ่งนี้แหละค่ะ”

ได้ยินดังนี้แล้ว หัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่อาจพูดอะไร ได้แต่พยักหน้า “งั้นคุณก็ไปบอกหล่อนพรุ่งนี้แล้วกัน”

จากนั้นเขาก็เห็นบรรดาลูกหลานกำลังกินเปี๊ยะไหว้พระจันทร์กันพร้อมกับกลิ่นหอมโชยตลบอบอวลชวนน้ำลายสอ จึงพูดขึ้น “เปี๊ยะไหว้พระจันทร์นี่มาจากไหนน่ะ?”

“เจี้ยนอวิ๋นเอามาให้ ตานหงเพิ่งทำวันนี้เองค่ะ” พี่สาวใหญ่สวี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ถึงว่าทำไมคุณช่างพยายามเหลือเกิน” หัวหน้าหมู่บ้านกลอกตาใส่หล่อน

“ไม่ใช่ว่าฉันเห็นแก่ประโยชน์เล็กน้อยนะคะ ฉันกับตานหงสนิทกันมายาวนานแล้ว อย่าคิดเล็กคิดน้อยในความสัมพันธ์ของเราเลยค่ะ” พี่สาวใหญ่สวี่ตอบอย่างแง่งอน

“ผมรู้ ภรรยาเจี้ยนอวิ๋นน่ะเป็นคนดีคนหนึ่งจริง ๆ คุณถึงสนิทกับหล่อนได้” หัวหน้าหมู่บ้านบอก

……………………………………………