ภาคที่ 2 บทที่ 102 พระราชทานงานสมรส

มู่หนานจือ

ฮูหยินเป่ยติ้งโหวพูดจาอย่างมีนัยยะ แอบสื่อว่าเจียงเจิ้นหยวนช่วยฮ่องเต้ว่าราชการด้วยตนเอง ปรากฏว่าสุดท้ายฮ่องเต้ก็ยังคงปฏิบัติกับเฉาไทเฮามารดาของตนเองอย่างดี เจียงเจิ้นหยวนถูกฮ่องเต้วางไว้ข้างๆ เหมือนของไร้ค่าแล้ว และคงกลัวว่าฮ่องเต้จะเป็นภัยต่อเขา จึงยุยงให้เป่ยติ้งโหวจัดการเรื่องแต่งงานของไป๋ซู่ให้เรียบร้อย

เป่ยติ้งโหวได้ยินก็รู้สึกไม่สบายใจมาก และเอ่ยว่า “เจ้าพูดอะไรน่ะ? ตอนนั้นที่ท่านป้าทำให้คนสกุลอันเสียหน้าในงานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์ เพราะริษยาคนสกุลอัน  และฮ่องเต้เซี่ยวจงจะฆ่าท่านป้า ตอนที่ไทฮองไทเฮาออกหน้าช่วยชีวิตท่านป้า ตระกูลไป๋ของพวกเราก็แยกจากตระกูลหวังไม่ได้แล้ว ตอนนี้เจ้าอยากตัดขาด สายไปแล้ว! ยิ่งไปกว่านั้นหลายปีมานี้ หากจวนเป่ยติ้งโหวไม่มีไทฮองไทเฮากับจวนเจิ้นกั๋วกงคอยปกป้อง พวกเราจะได้อยู่อย่างสงบสุขและปลอดภัยแบบนี้หรือ?”

“ฮ่องเต้พระองค์ก่อนสังหารพระญาติที่สร้างคุณูปการให้แคว้นอย่างใหญ่หลวงไปเท่าไร เจ้าไม่รู้อย่างนั้นหรือ?”

“เวลานี้เฉาไทเฮายังมีอำนาจหลงเหลืออยู่ บางครั้งฝ่าบาทจึงยังต้องยอมก้มหัวให้เฉาไทเฮา พวกเราที่เป็นขุนนางก็จำเป็นต้องคิดหาทางฟื้นฟูความสัมพันธ์กับเฉาไทเฮา เพราะถ้าถึงเวลาหากฝ่าบาทกับเฉาไทเฮาไม่คืนดีกัน พวกเราที่ช่วยฝ่าบาทว่าราชการด้วยพระองค์เองก็คงจะกลายเป็นขุนนางที่ต้องโทษฐานยุยงฮ่องเต้กับไทเฮาให้แตกคอกัน”

“ข้าคิดว่าจ่างจูได้แต่งงานกับเฉาเซวียนก็ไม่เลว”

“แต่ลองคิดในอีกมุมหนึ่ง เจิ้นกั๋วกงเป็นใคร? ในเมื่อเขาตอบรับการแต่งงานนี้แล้ว ในภายหน้าหากเกิดเรื่องกับตระกูลเฉา เขาก็จะต้องพยายามปกป้องเฉาเซวียนอย่างสุดกำลังเช่นกัน”

“นี่ก็เป็นสาเหตุที่เฉาไทเฮาอยากดองกันกับพวกเราไม่ใช่หรือ?”

“เจ้ามักจะคิดว่าจ่างจูของพวกเราเสียเปรียบที่แต่งงานกับตระกูลเฉา แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า วันเฉลิมพระชนมพรรษาของเฉาไทเฮาผ่านไปเกือบหนึ่งเดือนแล้ว แต่ซื่อจื่อจิ้งไห่โหวกับอ๋องเหลียวยังไม่กลับไป ข้าได้ยินราชเลขาธิการวังบอกว่า ฝ่าบาทตรัสว่าสองคนนั้นมาครั้งหนึ่งก็ลำบาก จึงคิดจะให้ทั้งสองคนอยู่ฉลองเทศกาลตรุษจีนที่เมืองหลวง”

“ฝ่าบาทไม่ใช่ฝ่าบาทอย่างเมื่อก่อนแล้ว หากฝ่าบาททรงอยากกอบกู้ความสัมพันธ์พี่น้อง ดึงพระญาติมาเป็นพวก และพระราชทานงานสมรสให้อ๋องเหลียวกับซื่อจื่อจิ้งไห่โหวจริง จ่างจูของพวกเราเป็นท่านหญิงที่ได้รับการแต่งตั้งแล้ว ก็ต้องเป็นหนึ่งในคนที่จะได้รับพระราชงานสมรสอย่างแน่นอน ท่านหญิงตงหยางก็กำลังวิ่งเต้นเพื่อท่านหญิงชิงอี๋ไปทั่วทุกที่ เจ้าไม่ได้ยินข่าวสักนิดเลยงั้นหรือ?”

“มี…มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ!” ฮูหยินเป่ยติ้งโหวลนลานเล็กน้อย

สีหน้าของเป่ยติ้งโหวบึ้งตึงมากขึ้น และเอ่ยว่า “หลายวันนี้เจ้าทำอะไรอยู่กันแน่?”

ฮูหยินเป่ยติ้งโหวพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

นางคิดว่าลูกสาวของตนเองยังเล็ก แล้วก็เติบโตที่วังฉือหนิง เรื่องแต่งงานของลูกสาวอย่างไรก็ข้ามหน้าข้ามตาไทฮองไทเฮาไปไม่ได้ ขอเพียงไทฮองไทเฮาไม่ตกลง ลูกสาวก็ไม่มีทางต้องแต่งงานไปอยู่แดนไกล

ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้าไป๋ซู่ยังมีสตรีที่มีชื่อเสียงอย่างหานถงซินท่านหญิงชิงอี๋และไช่หรูอี้คุณหนูใหญ่แห่งจวนจิ้นอันโหว…อย่างไรก็คงมาไม่ถึงลูกสาวของตนเอง

“ไม่งั้นจะบอกให้เจ้ามีเรื่องอะไรก็ไปถามไทฮองไทเฮาให้มากๆ ทำไมเล่า?” เป่ยติ้งโหวก็ไม่รู้ว่าจะพูดให้ชัดเจนอย่างไร “เจ้าไม่อยากให้จ่างจูแต่งงานไปอยู่ที่ไกลๆ แล้วคนอื่นอยากให้ลูกสาวแต่งงานไปอยู่ไกลๆ งั้นหรือ? เวลานี้ใครจะไม่คิดหาทางแยกลูกสาวตนเองออกไปจากเรื่องนี้บ้าง? ยิ่งกว่านั้นตระกูลหานกับตระกูลไช่มีทางเลือกมากกว่าพวกเรา…” แล้วเอ่ยอย่างรู้สึกดีใจว่า “ยังดีที่ครั้งนี้เฉาไทเฮาถูกใจจ่างจู หากรอให้เจ้าช่วยวางแผนให้จ่างจู ข้าว่าถึงเวลานั้นคนที่แต่งงานต้องเป็นจ่างจูของพวกเราแน่!”

ฮูหยินเป่ยติ้งโหวหน้าร้อนผะผ่าว ทว่าพอนึกถึงเมื่อก่อนตอนที่เฉาไทเฮาว่าราชการหลังม่าน จวนเป่ยติ้งโหวต้องพึ่งพาอาศัยตระกูลเจียงกับตระกูลหวังถึงจะพอจะยืนอยู่ในราชสำนักได้ เวลานี้ตระกูลเฉาตกอับแล้ว แต่พวกเขากลับต้องให้ลูกสาวแต่งงานเข้าไป…นางก็ยังคงรู้สึกไม่พอใจ

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นจึงส่งสาส์นเข้าวังอีก

ไทฮองไทเฮายังคิดว่าเรื่องนี้จัดการเรียบร้อยแล้ว ตอนที่เจอฮูหยินเป่ยติ้งโหวยังยิ้มพลางเอ่ยว่า “ทำไมยังหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่อีก? เมื่อวานหลังจากเจ้ากลับบ้านไป เป่ยติ้งโหวทะเลาะกับเจ้างั้นหรือ?”

“ทะเลาะไปจะมีประโยชน์อะไรเล่าเพคะ?” ฮูหยินเป่ยติ้งโหวพูดไปน้ำตาก็ร่วงลงมาอีก และเอ่ยว่า “ท่านโหวของพวกเรากลับมาบอกว่า เจิ้นกั๋วกงคิดว่านี่เป็นการแต่งงานที่ดี จึงตัดสินใจให้จ่างจูของพวกเราแต่งงานกับเฉาเซวียนเพคะ!”

ไทฮองไทเฮาตกใจมาก ทว่าพอคิดอีกทีก็เข้าใจ

ใบหน้าของนางฉายแววไม่สบอารมณ์อย่างไม่อาจควบคุมได้

เวลานี้นางยังไม่ตาย ตระกูลเจียงก็ถึงขั้นต้องให้ไป๋ซู่ไปแต่งงานเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์กับเฉาไทเฮาแล้ว หากนางไม่อยู่แล้ว…ตระกูลเจียงและตระกูลหวังจะมีที่ยืนงั้นหรือ!

นางทำเพื่อฮ่องเต้มากขนาดนั้น คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้กลับไม่รับน้ำใจและสำนึกในบุญคุณแม้แต่น้อย!

ไร้ความปรานีโดยกำเนิดเช่นนี้ สมกับเป็นบุตรของคนของสกุลเฉาจริงๆ!

“เจ้าอย่าเสียใจไปเลย” ไทฮองไทเฮาเอ่ย “เมื่อก่อนตอนที่เฉาไทเฮาสำเร็จราชการแทน พวกเราต้องพึ่งพาอาศัยเจิ้นกั๋วกงถึงจะหายใจได้ เวลานี้ก็พึ่งพาอาศัยเจิ้นกั๋วกงถึงจะมีความดีความชอบที่ช่วยให้ฝ่าบาทได้ว่าราชการด้วยพระองค์เอง เจ้าต้องเชื่อเจิ้นกั๋วกงถึงจะถูก ในเมื่อเขาบอกว่าการแต่งงานนี้ไม่เลว ข้าก็คิดว่าจะต้องมีสาเหตุที่เขาคิดว่าดีแน่ เขาไม่มีทางให้ไป๋ซู่ขาดทุนหรอก”

ฮูหยินเป่ยติ้งโหวผิดหวังมาก

ทว่าไทฮองไทเฮากลับคิดเรื่องจ้าวอี้ รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก จนไม่มีอารมณ์คุยกับฮูหยินเป่ยติ้งโหวแล้ว จึงเอ่ยว่า “ในเมื่อเฉาไทเฮาส่งคนมาสู่ขอ และเจิ้นกั๋วกงกับท่านโหวของพวกเจ้าก็ตกลงแล้ว ข้าว่าเรื่องนี้ก็เอาตามนี้แล้วกัน! เจ้าไปบอกจ่างจูเดี๋ยวนี้ กำหนดวันแล้วก็เข้าวังมาบอกข้าหน่อย จ่างจูอยู่ข้างกายข้ามาหลายปีขนาดนี้ เป็นเด็กที่ข้าเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต นางแต่งงาน อย่างไรข้าก็ต้องมอบของไว้ให้นางเป็นที่ระลึกสักสองสามชิ้น”

ฮูหยินเป่ยติ้งโหวน้ำตาคลอ แต่ก็ไม่กล้าล่วงเกินแม้แต่นิดเดียว นางตอบว่า “เพคะ” อย่างนอบน้อมและระมัดระวัง แล้วตามนางในไปที่ตำหนักซีซานที่ไป๋ซู่อยู่

ทว่าไทฮองไทเฮากลับโกรธจนทำถ้วยชาที่อยู่ใกล้มือแตกละเอียดหมด

ฮูหยินเป่ยติ้งโหวยังคิดว่าไทฮองไทเฮากำลังโกรธเฉาไทเฮา ตอนที่เจอไป๋ซู่ก็ไม่กล้าพูดมากเช่นกัน เพียงแค่ให้นางเตรียมตัวไว้ และกลับจวนครั้งนี้อาจจะอยู่ที่จวนไปตลอดเลย

สตรีจะแต่งงาน มีสิ่งที่ต้องเรียนรู้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายปีนี้ไป๋ซู่อยู่ในวังตลอด ธรรมเนียมในวังกับข้างนอกก็ไม่เหมือนกัน สิ่งที่จำเป็นต้องเรียนรู้จึงมีมากขึ้น

หัวใจที่แขวนอยู่กลางอากาศของไป๋ซู่ถึงวางลงอย่างสงบได้

พอรู้ว่าเรื่องแต่งงานของตนเองกับเฉาเซวียนถือว่ากำหนดเป็นที่แน่นอนแล้ว

นางก็รู้สึกหน้าร้อน และตอบเสียงเบาว่า “เจ้าค่ะ”

ฮูหยินเป่ยติ้งโหวถอนหายใจ และลุกขึ้นบอกลา

เวลานี้ไป๋ซู่ถึงเห็นความผิดปกติของมารดา นางอดที่จะดึงมือของมารดาไว้ไม่ได้ และเอ่ยว่า “ท่านเป็นอะไรไปหรือ? ไม่อยากให้ข้าแต่งเข้าตระกูลเฉาหรือ?”

นางไม่อยากให้ท่านแม่รู้สึกว่านางถูกบังคับ และแค้นตระกูลเฉากับเฉาเซวียน

ต่อไปลูกสาวก็เป็นคนของตระกูลเฉาแล้ว ฮูหยินเป่ยติ้งโหวไม่อยากให้นางต้องบาดหมางกับตระกูลเฉาเพราะตนเอง

นางฝืนอดทนกับความเสียใจและเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่มีอะไร แค่เจ้าโตแล้ว แต่ข้าก็ยังไม่อยากแยกจากเจ้า!”

หลายปีนี้ไป๋ซู่อยู่ในวังก็ไม่ได้อยู่อย่างเปล่าประโยชน์เช่นกัน นางคิดแล้วก็เอ่ยอย่างลำบากใจว่า “ท่านแม่ ข้าเคยเจอเฉิงเอินกงในวัง และยังเคยคุยกับเขาด้วย…เขาเป็นคนดีมาก ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าจะใช้ชีวิตกับเฉิงเอินกงอย่างดี…ใต้หล้านี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ต่อให้ข้าไม่แต่งงานกับเฉิงเอินกง ก็จะแต่งงานกับคนอื่นอยู่ดี ไม่มีผู้หญิงที่เป็นไทเฮาผู้สำเร็จราชการแทนอย่างตระกูลเฉา ก็อาจจะมีปัญหาอื่นเช่นกัน ท่านต้องเชื่อว่าข้าทำได้ดี”

ลูกสาวรู้ความเช่นนี้ ฮูหยินเป่ยติ้งโหวยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ

นางพยักหน้าทั้งน้ำตา แล้วถึงออกจากวัง

ไป๋ซู่มองภาพเงาด้านหลังของมารดา และถอนหายใจยาวเหยียด

ไม่รู้ว่านางทำแบบนี้ ถูกหรือผิดกันแน่!

ไม่นานก็มีราชโองการลงมา จ้าวอี้พระราชทานงานสมรสให้เฉาเซวียนกับไป๋ซู่

วันที่จวนเป่ยติ้งโหวรับราชโองการนั้นเป็นวันที่ยี่สิบสอง เดือนสิบสองพอดี

สองวันก่อนวันส่งท้ายปีเก่า

——————