ภาคที่ 2 บทที่ 103 วันก่อนวันส่งท้ายปีเก่า

มู่หนานจือ

พระราชทานงานสมรสแล้ว ก็เป็นคนที่หมั้นแล้ว

แน่นอนว่าผู้หญิงที่หมั้นแล้วก็ต้องรอแต่งงานอยู่ในห้องส่วนตัว และออกไปข้างนอกตามใจชอบไม่ได้ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องอยู่ในวังต่อ ยิ่งไปกว่านั้นถึงจะไม่มีราชโองการฉบับนี้ ปีก่อนๆ พอผ่านวันก่อนวันส่งท้ายปีเก่าไปแล้วจวนเป่ยติ้งโหวก็จะรับไป๋ซู่กลับไปฉลองเทศกาลตรุษจีนอยู่ดี

ทว่าตอนที่ไป๋ซู่ออกจากวังเพราะราชโองการฉบับหนึ่ง กระทั่งราชโองการฉบับนี้เดิมทีควรจะเป็นพระราชเสาวนีย์ไม่ใช่พระราชโองการ ความโกรธของไทฮองไทเฮาก็พุ่งถึงขีดสุดในชั่วพริบตา

นางเอ่ยกับซุนเต๋อกงหัวหน้าขันทีวังเฉียนชิงที่มาแจ้งข่าวว่า “เจ้าไปทูลฝ่าบาทว่าท่านหญิงชิงฮุ่ยออกจากวังไปครั้งนี้ก็ยากที่จะเข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนข้าอีกแล้ว ข้าจะให้นางอยู่ฉลองปีใหม่ในวัง”

ซุนเต๋อกงพยักหน้าและค้อมตัว พลางเอ่ยว่า “พ่ะย่ะค่ะ” และเดินจากไปอย่างแผ่วเบา

เจียงเซี่ยนเตือนท่านยาย “เสด็จยายอย่าพิโรธไปเลยเพคะ! โกรธเรื่องแบบนี้ ไม่คุ้มกัน”

เวลานี้คนในวังฉือหนิงต่างกำลังเตรียมฉลองวันส่งท้ายปีเก่า บวกกับเมื่อวานหลังจากได้ข่าวว่าไป๋ซู่ได้รับพระราชทานงานสมรส เจียงเซี่ยนก็ให้อั่งเปาหนาๆ กับคนในวังฉือหนิง สีหน้าของทุกคนจึงต่างเต็มไปด้วยความสุข บรรยากาศของตำหนักข้างเล็กๆ นี้ และห้องอุ่นตะวันออกจึงยิ่งแลดูสดชื่น

ไทฮองไทเฮามองเหล่านางใน บ้างก็กำลังพันเชือกแดงให้ดอกดารารัตน์ บ้างก็เช็ดใบให้ส้มจี๊ด บ้างก็กำลังแขวนโคมแดงอันเล็กบนต้นตงชิงนอกตำหนัก แต่ละคนต่างหน้าตามีความสุข ในที่สุดก็อารมณ์ดีขึ้น จึงเอ่ยกับเจียงเซี่ยนเสียงเบาว่า “ฝ่าบาททำร้ายจิตใจข้าจริงๆ หากรู้ว่าเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก ข้าก็น่าจะเตือนลุงของเจ้าว่าอย่ายุ่งเรื่องของเขา”

เจียงเซี่ยนเอ่ยว่า “เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เสด็จยายก็อย่าคิดมากเลยเพคะ ตอนนี้พวกเราก็สบายดี” แล้วยิ้มพลางเปลี่ยนเรื่องด้วยการเอ่ยถึงของขวัญแต่งงานที่จะมอบให้ไป๋ซู่ “หม่อมฉันจำได้ว่าในคลังของเสด็จยายมีต้นปะการังอยู่ต้นหนึ่ง พระราชทานของชิ้นนั้นไปก็น่าจะสมเกียรติกระมัง?”

ของขวัญแต่งงานสำหรับเจ้าสาวที่ในวังให้ ปกติก็จะจัดให้ถือเป็นชิ้นแรกของสินเดิม

นั่นเป็นเกียรติยศและความสูงศักดิ์ของหญิงสาวที่แต่งงาน

ไทฮองไทเฮารู้ว่าเจียงเซี่ยนอยากให้ตนเองอารมณ์ดี จึงเอ่ยตามนางไปเช่นกัน “ข้าว่าเจ้าทนเห็นข้ามีของดีอยู่ในมือหน่อยเป็นไม่ได้ ต้นปะการังนั้นเดิมทีข้าคิดจะเก็บไว้ให้เจ้า เจ้าให้ไป๋ซู่แล้ว ถึงเวลาแต่งงานเจ้าจะทำอย่างไร?”

นั่นก็หมายความว่า ไทฮองไทเฮาเริ่มมีความคิดที่จะให้นางแต่งงานออกไปจากวังแล้ว!

เป็นครั้งแรกที่ท่านยายแสดงท่าทีชัดเจนเช่นนี้ เจียงเซี่ยนก็ไม่คิดที่จะแสร้งทำเป็นเขินอายเช่นกัน นางกอดไทฮองไทเฮาและเอ่ยพลางยิ้มจนตาเป็นสระอิว่า “โธ่ หม่อมฉันไม่ชอบต้นปะการังนั้น หม่อมฉันชอบม้าหยกขาวในคลังของเสด็จยาย ถึงเวลานั้นเสด็จยายพระราชทานม้าหยกขาวตัวนั้นให้เป็นของขวัญแก่หม่อมฉันเถอะเพคะ?”

พอคิดว่าเวลานี้เด็กน้อยที่ตนเองประคบประหงมมาตั้งแต่เล็กก็ใกล้จะแต่งงานแล้วเช่นกัน ไทฮองไทเฮาก็รู้สึกปวดใจทันที นางยิ้มพลางยื่นนิ้วมาจิ้มหน้าผากของเจียงเซี่ยน และเอ่ยอย่างรักใคร่ว่า “เจ้าน่ะ หากแต่งงานจริงๆ จะเป็นอย่างไร?”

เจียงเซี่ยนหัวเราะ และเอ่ยว่า “เช่นนั้นหม่อมฉันก็จะไม่แต่งงาน และอยู่เป็นเพื่อนเสด็จยายไปตลอดชีวิต!”

นางคิดแบบนี้จริงๆ

ตอนที่ท่านยายยังมีชีวิตอยู่ดี นางจะอยู่เป็นเพื่อนท่านยายตลอด

ไว้ท่านยายสวรรคตแล้ว นางจะไว้ทุกข์สามปีแล้วค่อยแต่งงาน

จะได้คิดให้ดีด้วยว่าต่อไปจะทำอย่างไร?

ไทฮองไทเฮาถือว่าสิ่งที่นางเอ่ยเป็นเพียงคำพูดของเด็ก จึงไม่ได้ใส่ใจ และให้คนไปเรียกไป๋ซู่มา พลางเอ่ยว่า “ในเมื่อพระราชทานงานสมรสแล้ว วันแต่งงานก็น่าจะใกล้แล้วเช่นกัน เกรงว่าปีนี้คงจะเป็นปีใหม่ปีสุดท้ายที่เจ้าได้ฉลองที่บ้านของตนเองแล้ว แต่ข้าก็ทำเกินหน้าที่ ให้เจ้าอยู่ในวังเป็นเพื่อนข้ากับย่าของเจ้า…”

ในวังห้ามทำหน้าเศร้าต่อหน้าชนชั้นสูงอย่างเด็ดขาด

ทว่าไป๋ซู่ได้ยินคำพูดนี้ก็หวนนึกถึงการดูแลที่ตนเองได้รับจากในวังตลอดหลายปีมานี้ น้ำตาที่กลั้นไว้ไม่อยู่ก็ร่วงลงมา นางสะอึกสะอื้นและคุกเข่าลงตรงหน้าไทฮองไทเฮา พลางเอ่ยว่า “หม่อมฉันไม่อยากแยกจากไทฮองไทเฮา ไทฮองไท่เฟย และเป่าหนิง…”

ทำให้ไทฮองไทเฮากับเจียงเซี่ยนรู้สึกเศร้าตามไปด้วย

ไทฮองไท่เฟยมาถึงพอดี นางร้อง “ว้าย” และสั่งสอนว่าไป๋ซู่ไม่รู้ความ ไป๋ซู่ทำให้ไทฮองไทเฮากับไทฮองไท่เฟยหัวเราะ ทั้งที่สีหน้ายังฉายแววทุกข์ใจ ถึงทำให้บรรยากาศมีความสุขขึ้นมาอีกครั้ง

เจียงเซี่ยนก็สั่งให้เมิ่งฟางหลิงส่งคนไปแจ้งจวนเป่ยติ้งโหวว่าปีนี้ไป๋ซู่จะอยู่ฉลองปีใหม่ในวัง แล้วไปดูอาหารที่เตรียมไว้สำหรับคืนก่อนวันส่งท้ายปีเก่า และสั่งให้เหล่านางในกับขันทีจัดห้องอุ่นตะวันออกใหม่ตามความชอบของไทฮองไทเฮา กะว่าตอนกลางคืนทุกคนจะได้กินข้าวด้วยกัน

จู่ๆ จ้าวอี้ก็เข้ามาในห้องอุ่นตะวันออกโดยไม่ได้ให้คนรายงาน

เจียงเซี่ยนทักทายเขาอย่างเฉยชา และจะไปรายงานไทฮองไทเฮาด้วยตนเอง

จ้าวอี้ยื่นมือมาจะจับนาง

เจียงเซี่ยนแสร้งทำเป็นหันตัวหลบมือของเขา

“เจ้าโกรธข้าหรือ” ทว่าจ้าวอี้กลับเข้ามาใกล้อย่างไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว และเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าออกไปคุยกับข้าสักครู่ เดี๋ยวข้าค่อยเข้ามาคารวะไทฮองไทเฮา และอยู่ฉลองคืนก่อนวันส่งท้ายปีเก่าเป็นเพื่อนพวกเจ้าที่วังฉือหนิง”

เจียงเซี่ยนมองเขาตาขวางอย่างไม่พอใจ แต่ก็ไม่อยากทำให้ไทฮองไทเฮาที่ยากจะทำให้อารมณ์ดีได้ว้าวุ่นใจอีก จึงเอ่ยว่า “ฝ่าบาทอยากจะเสด็จมาก็เสด็จมา ทำลับๆ ล่อๆ แบบนี้ได้อย่างไร? ตอนนี้ฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้ที่ว่าราชการด้วยพระองค์เองแล้ว มีเรื่องอะไรที่พูดต่อหน้าไม่ได้”

“เจ้าออกไปกับข้าก็พอ” จ้าวอี้มองผ้าม่านทอลายสีแดงเข้มที่ปักลายมังกรห้าตัวล้อมคำว่าอายุยืนทรงกลมของห้องพักผ่อนครั้งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้ไทฮองไทเฮารู้ และเอ่ยว่า “ตอนนี้ข้ารู้สึกกลุ้มใจจะตายอยู่แล้ว อยากคุยกับเจ้าหน่อย”

เดาว่าคงไม่ใช่เรื่องดีนัก

เจียงเซี่ยนจึงเดินตามเขาไปที่ห้องชา

ที่นั่นจุดเตาไฟใต้ตำหนักคลายหนาวแล้ว และยังสามารถนั่งดื่มชาได้ด้วย

นางเรียกนางในคนหนึ่งเข้ามาช่วยชงชาให้

พอนางในคนนั้นออกไปแล้ว จ้าวอี้ก็บ่นว่า “เจ้าชงชาให้ข้าสักถ้วยไม่ได้หรือ? ผู้หญิงในวังนี้มีใครที่ไม่ตามใจข้าบ้าง…”

เจียงเซี่ยนสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก และเอ่ยเสียงเฉียบขาดว่า “พูดอีกสิ!”

จ้าวอี้รีบหุบปาก

ผู้หญิงที่ตามใจเขาในวังนี้ หากไม่ใช่นางในก็เป็นนางในระดับสูง…เขาเอาเจียงเซี่ยนไปเทียบกับผู้หญิงพวกนั้น เจียงเซี่ยนจะไม่โกรธได้อย่างไร!

แล้วจ้าวอี้ก็ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน และพึมพำว่า “เจ้านี่ขี้โมโหจริงๆ” ถือว่าหาทางลงให้ตนเองแล้ว ต่อมาก็ทำเหมือนไม่ใส่ใจเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว และเริ่มระบายความทุกข์กับเจียงเซี่ยน “ข้าให้เหยียนหวาเหนียนเกษียณแล้ว ตอนฉลองปีใหม่ วังจี่เต้าจะเป็นคนรับผิดชอบงานเลี้ยง ไว้ขุนนางเริ่มทำงานแล้ว ก็จะให้วังจี่เต้าเป็นราชเลขาธิการแห่งสำนักราชเลขาธิการอย่างเป็นทางการ…”

เจียงเซี่ยนเอ่ยแทรกเขาอย่างไม่เกรงใจแม้แต่นิดเดียวว่า “ฝ่าบาทบอกเรื่องพวกนี้กับหม่อมฉันทำไม? หม่อมฉันไม่รู้เรื่องเสียหน่อย!”

จ้าวอี้เอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยว่า “เดี๋ยวไป๋ซู่ก็จะเป็นพี่สะใภ้ของข้าแล้วไม่ใช่หรือ? เจ้าอยู่ในวังคนเดียว ต้องเบื่อแน่ มีครั้งหนึ่งข้าคุยกับวังจี่เต้า เขาคิดว่าสามารถเรียกคนเข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าจำนวนหนึ่งได้ ข้าคิดว่าท่านหญิงชิงอี๋ของอ๋องเจี่ยนก็ไม่เลว นอกจากนี้จวนจิ้นอันโหว จวนอันกั๋วกง จวนอันลู่โหว…คนพวกนี้ก็ไม่เลวเช่นกัน…”

เจียงเซี่ยนได้ยินก็ขมวดคิ้ว และเอ่ยว่า “หม่อมฉันเข้ากับหานถงซินไม่ได้มาตั้งแต่เด็ก ฝ่าบาทยังจะเรียกนางเข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนหม่อมฉันอย่างนั้นหรือ? นี่ฝ่าบาทอยากให้หม่อมฉันดีใจหรืออยากให้หม่อมฉันโมโหกันแน่?”

จ้าวอี้เอ่ยว่า “ข้าก็รู้สึกไม่ค่อยดีเหมือนกัน แต่ที่วังจี่เต้าพูดก็มีเหตุผล…”

เรื่องในวังหลังเกี่ยวอะไรกับวังจี่เต้าด้วยล่ะ?

ความคิดแล่นผ่านไป เจียงเซี่ยนก็เข้าใจทันที

วังจี่เต้ากำลังเลือกฮองเฮาให้จ้าวอี้!

ทว่าภายนอก…เจียงเซี่ยนอดที่จะยิ้มเยาะไม่ได้ และเอ่ยว่า “ฝ่าบาทไม่ต้องคิดเรื่องนั้นแล้วเพคะ เสด็จยายตรัสแล้วว่าจะให้จ่างจูอยู่ฉลองปีใหม่ในวัง ดังนั้นไว้หลังปีใหม่ค่อยว่ากันเถอะ! ส่วนวังจี่เต้า ฝ่าบาทอย่าโทษว่าหม่อมฉันไม่เตือนฝ่าบาท ฝ่าบาทตรัสกับหม่อมฉันสองประโยค ก็เอ่ยถึงวังจี่เต้าสองครั้งแล้ว คนที่รู้จะบอกว่าเขาเป็นขุนนางคนสนิทของฝ่าบาท แต่คนที่ไม่รู้จะคิดว่าฝ่าบาทเป็นขุนนางของเขานะเพคะ! ต่อไปฝ่าบาทเอ่ยถึงเขาต่อหน้าหม่อมฉันให้น้อยๆ หน่อย!”

——————