ภาคที่ 2 บทที่ 104 งานเลี้ยงในวัง

มู่หนานจือ

ต้องบอกว่าเจียงเซี่ยนรู้จักนิสัยของจ้าวอี้เป็นอย่างดี ทุกคำพูดของนางล้วนแทงลึกเข้าไปในใจของจ้าวอี้ ทำให้จ้าวอี้สีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก จนหน้าตาหม่นหมองราวกับช่วงเวลาก่อนฝนจะตก

ทว่าเจียงเซี่ยนกลับคิดแต่จะขุดหลุมไม่คิดที่จะกลบ นางลุกขึ้นยืนเหมือนมองไม่เห็น และเอ่ยว่า “ฝ่าบาทยังมีเรื่องอะไรจะบอกหม่อมฉันอีกหรือไม่? หากมีเพียงเรื่องนี้ หม่อมฉันทูลฝ่าบาทเลยแล้วกัน…หม่อมฉันไม่ตกลง หากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว พวกเราก็เข้าไปกันเถอะ! ในห้องชานี้จุดเตาไฟไว้ หม่อมฉันได้กลิ่นแล้วไม่สบายตัว”

ความจริงแล้วจ้าวอี้เรียกเจียงเซี่ยนออกมาเพราะอยากคุยเรื่องคนสกุลฟางกับนาง เจียงเซี่ยนทำกับเขาแบบนี้ เขาจะพูดออกได้อย่างไร จ้าวอี้รู้สึกกลุ้มใจมากกว่าเดิม เขาลุกขึ้นยืนอย่างวู่วาม แล้วเลิกม่านขึ้นเดินออกไปข้างนอก “อย่างนั้นพวกเราไปเข้าเฝ้าไทฮองไทเฮาเถอะ!”

เจียงเซี่ยนไม่ใส่ใจกับท่าทีของเขา และตามเขาไปที่ห้องอุ่นตะวันออก

ไทฮองไทเฮายิ้มตาหยีและถามจ้าวอี้ว่ามาทำอะไร?

จ้าวอี้ออดอ้อนพลางจูงแขนไทฮองไทเฮา และนั่งลงข้างกายไทฮองไทเฮา แล้วเอ่ยว่า “ข้าคิดถึงเสด็จย่า มาฉลองวันก่อนวันส่งท้ายปีเก่าเป็นเพื่อนเสด็จย่าไม่ได้หรือ?”

“ได้สิ!” ไทฮองไทเฮายิ้มพลางตบมือของจ้าวอี้ และสั่งเมิ่งฟางหลิง “รีบไปบอกห้องเครื่องว่าเดี๋ยวฝ่าบาทจะอยู่เสวยพระกระยาหารค่ำที่วังฉือหนิง”

เมิ่งฟางหลิงยิ้มพลางตอบว่า “เพคะ”

ไทฮองไทเฮาหันไปถามเรื่องเฉาไทเฮา “ฝ่าบาทจะรับเสด็จแม่ของฝ่าบาทกลับมาฉลองปีใหม่ที่วังหรือไม่?”

ไม่ได้กอดจ้าวอี้และรักมากดุจ ‘แก้วตาดวงใจ’ เหมือนเช่นเคย

จ้าวอี้รู้สึกว้าวุ่นใจ ทว่าเรื่องที่ไทฮองไทเฮาถามก็สำคัญมาก เขาจึงหยุดความคิดนั้นไว้ชั่วขณะ ในสมองมีแต่เรื่องจะตอบไทฮองไทเฮาอย่างไร “เสด็จย่าคิดว่าควรรับเสด็จแม่กลับมาที่วังหรือ? แต่หลายวันนี้หิมะตกต่อเนื่องตลอด และสองปีนี้พระวรกายของเสด็จแม่ก็ทรุดลงทุกปี ข้ากลัวว่าเสด็จแม่จะป่วยจริงๆ…”

นั่นก็หมายความว่า จริงๆ แล้วจ้าวอี้ไม่อยากให้เฉาไทเฮากลับวัง

เจียงเซี่ยนคิดดูแล้วก็เข้าใจ

จ้าวอี้ถูกเฉาไทเฮากดหัวมาตลอดหลายปีนี้ กว่าจะมีโอกาสได้ลืมตาอ้าปากก็ไม่ง่ายเลย แล้วจะให้ภูเขาลูกใหญ่อย่างเฉาไทเฮากลับมาทับอยู่บนศีรษะตนเองได้อย่างไร? เรื่องบางเรื่องเขาอาจจะยอมก้มหัวให้ต่อหน้าเฉาไทเฮา แต่หากเกี่ยวพันถึงศักดิ์ศรี อย่างไรเขาก็จะไม่ยอมก้มหัวให้อย่างเด็ดขาด

ไม่รู้ว่าไทฮองไทเฮาก็เข้าใจแล้วเหมือนกันหรือว่าไม่อยากให้เฉาไทเฮากลับวังจริงๆ นางได้ยินแล้วก็ไม่ถามอะไรอีก และเอ่ยเพียงว่า “ฝ่าบาทโตแล้ว แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ฝ่าบาทก็ต้องเป็นคนตัดสินพระทัย” แล้วก็เปลี่ยนเรื่องไปถามว่าไป๋ซู่แต่งงาน ฮ่องเต้จะหยิบของจากท้องพระคลังสักสองสามชิ้นให้ไป๋ซู่เป็นของขวัญแต่งงานได้หรือไม่ “จะได้คู่กับต้นปะการังที่หม่อมฉันจะมอบให้นาง คนนอกข้างนอกเห็นแล้ว มีแต่จะคิดว่าฝ่าบาทกตัญญู ไม่เพียงพระราชทานงานสมรสให้พี่ชายของตนเอง ทว่ายังให้เกียรติเจ้าสาวด้วย”

เรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่จ้าวอี้ชอบทำที่สุด เขาเสนอมอบงาช้างแกะสลักรูปฮกลกซิ่วในท้องพระคลังของตนเองให้ไป๋ซู่เป็นของขวัญแต่งงานทันที

ไทฮองไทเฮาพอใจมาก และเอ่ยถึงงานเลี้ยงรวมตัวทุกคนในครอบครัววันส่งท้ายปีเก่าปีนี้ “หม่อมฉันอายุมากแล้ว ก็ไม่ไปแล้ว หม่อมฉันจะให้ต้าจั่งเฉียนอันคุมงานแล้วกัน”

องค์หญิงต้าจั่งเฉียนอันเป็นลูกสาวของฮ่องเต้เซี่ยวจง และพี่สาวต่างมารดาขององค์หญิงหย่งอันมารดาของเจียงเซี่ยน มารดาเป็นนางในธรรมดา บังเอิญถูกฮ่องเต้เซี่ยวจงหลับนอนด้วย หลังจากคลอดลูกสาวจึงถูกแต่งตั้งเป็นกุ้ยเหริน[1] องค์หญิงต้าจั่งเฉียนอันเป็นป้าของจ้าวอี้

นางแต่งงานกับผู้ช่วยคนหนึ่งที่สืบทอดบรรดาศักดิ์ระดับสี่ที่ธรรมดามากในเมืองหลวง มีลูกชายหนึ่งคนลูกสาวหนึ่งคน ทั้งสองคนต่างเป็นคนซื่อสัตย์และพูดไม่เก่ง ตอนที่เฉาไทเฮาอยู่ดูถูกนางมาก ดังนั้นงานเลี้ยงในวังจึงไม่ค่อยได้เชิญนางนัก และนางก็รู้เช่นกันว่าตนเองไม่เป็นที่โปรดปราน นานๆ ไป ในวังก็เหมือนลืมไปแล้วว่ามีนางอยู่

พอไทฮองไทเฮาเอ่ยเช่นนี้ จ้าวอี้ถึงนึกขึ้นได้

เขารู้สึกว่าความคิดนี้ดีทันที

องค์หญิงต้าจั่งเฉียนอันคุมงานเลี้ยงรวมตัวทุกคนในครอบครัววันส่งท้ายปีเก่า งั้นเขาจะสั่งอะไรก็ได้ไม่ใช่หรือ?

จ้าวอี้มองไทฮองไทเฮาด้วยสายตาอ่อนโยนมากขึ้น เขาคิดแล้วก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าว่าตอนที่ชิงฮุ่ยแต่งงาน ข้ามอบที่ดินแปลงเล็กๆ ให้นางอีกแปลงหนึ่งดีกว่า”

ไม่ว่าที่ดินที่จ้าวอี้ให้เป็นรางวัลจะเล็กแค่ไหน ถึงอย่างไรก็เป็นที่ดินของราชสำนัก เพียงเรื่องนี้ก็พอที่จะทำให้คนตกใจกลัวจนพูดไม่ออกแล้ว

ไทฮองไทเฮาหัวเราะ และเอ่ยว่า “ฝ่าบาทจะให้รางวัลเท่าไรก็ได้! อย่างไรสุดท้ายจ่างจูก็นำไปตระกูลเฉาอยู่ดี”

จ้าวอี้หัวเราะ และไม่ตอบสิ่งใด

อาหารมื้อค่ำนั้นก็ถือว่าทั้งแขกและเจ้าภาพต่างกินอย่างมีความสุขเต็มที่

ทว่าไม่ช้าก็เร็วไป๋ซู่ก็ต้องออกจากวัง พอผ่านวันก่อนวันส่งท้ายปีเก่าไปแล้ว เจียงเซี่ยนก็เริ่มช่วยนางเก็บของ ฮูหยินเป่ยติ้งโหวก็ให้คนมาแจ้งข่าวเช่นกันว่าให้ไป๋ซู่อยู่ฉลองปีใหม่ในวัง แล้วนางค่อยเข้าวังมาเยี่ยมไป๋ซู่ ตอนประชุมว่าราชการครั้งใหญ่วันที่หนึ่ง

ไป๋ซู่ถอนหายใจเล็กน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้ และเอ่ยกับเจียงเซี่ยนว่า “นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าได้ฉลองปีใหม่ในวังแล้ว!”

ดังนั้นปีนี้เจียงเซี่ยนจึงไม่กลับไปฉลองปีใหม่ที่จวนเจิ้นกั๋วกงเช่นกัน

เจียงเซี่ยนไม่เอ่ยสิ่งใด และชี้หลิ่วเย่กับหลิ่วเหมยนางในสองคนที่รับใช้ไป๋ซู่ “เจ้าจะพาพวกนางออกไปจากตำหนักหรือให้ที่บ้านจัดหาคนใหม่ให้?”

คนที่อยู่ในวังล้วนเป็นนางใน ตามหลักแล้วรับใช้ฮ่องเต้ ไป๋ซู่สามารถใช้งานได้แต่พาออกไปจากวังไม่ได้ ทว่าทุกเรื่องต่างมีข้อยกเว้น ขอเพียงแค่ทำให้ถูกต้องตามขั้นตอน ก็ให้นางในสองคนลาออกได้เช่นกัน

ไป๋ซู่คิดแล้วก็เอ่ยว่า “หากไม่ลำบาก ก็ให้พวกนางตามข้าไปแล้วกัน ถึงอย่างไรพวกนางก็รับใช้ข้ามาหลายปีแล้ว ข้าก็เรียกใช้จนชินแล้วเช่นกัน”

เจียงเซี่ยนจึงให้หลิวตงเยว่ไปจัดการเรื่องนี้

ผ่านไปเพียงสองวัน หลิวตงเยว่ก็จัดการเรื่องนี้เรียบร้อย

เจียงเซี่ยนกำลังให้รางวัลเขาอยู่ ก็มีนางในเข้ามาเอ่ยว่า “ท่านหญิง ขันทีหลิวหัวหน้าขันทีท้องพระคลังขอเข้าพบเจ้าค่ะ”

“หัวหน้าขันทีท้องพระคลัง?” เจียงเซี่ยนงงเล็กน้อย และไม่เข้าใจว่าเขามาหาตนเองด้วยเรื่องอะไร?

หลิวตงเยว่รีบเอ่ยกับเจียงเซี่ยนว่า “เพราะอดีตหัวหน้าขันทีท้องพระคลังถูกจับได้ว่าแอบขโมยของไปขาย จึงเปลี่ยนหัวหน้าใหม่แล้วขอรับ คนนี้สกุลหลิว ชื่อชิงหมิง เดิมทีเป็นหัวหน้าขันทีฝ่ายซักล้าง ไม่รู้ว่าใช้เส้นสายใคร จู่ๆ ก็ถูกย้ายมาเป็นหัวหน้าที่ท้องพระคลัง ถึงแม้ท้องพระคลังจะเทียบฝ่ายซักล้างไม่ได้ แต่เป็นคนรับใช้ที่วังหลัง หากโชคดี อาจจะถูกย้ายไปวังเฉียนชิงก็ได้…”

ฝ่ายซักล้าง สกุลหลิว?!

ใบหน้าที่ดูท่าทางหน้าตาซื่อและจริงใจ ทว่านัยน์ตากลับทอประกายปรากฏขึ้นมาในความทรงจำของเจียงเซี่ยน

ตอนนั้นแค่รู้สึกว่าเขาทำงานเป็น คิดไม่ถึงว่าเวลาเพียงไม่กี่วัน เขาก็คิดหาทางย้ายมาที่วังหลังได้แล้ว

คนๆ นี้ดูถูกไม่ได้

ไม่รู้ว่าเขามาหานางทำไม?

เจียงเซี่ยนอยากรู้เล็กน้อย จึงให้คนเรียกเขาเข้ามา

หลิวชิงหมิงไม่ได้มาคนเดียว

ข้างหลังเขายังมีขันทีอีกสี่ห้าคน ในมือของขันทีเหล่านั้นต่างถือห่อผ้าที่พันด้วยผ้าไหมหังสีน้ำเงินสดใส

ทีนี้ไม่เพียงแต่เจียงเซี่ยนแล้ว แม้แต่หลิวตงเยว่ก็รู้สึกแปลกใจ

เขาช่วยขันทีเหล่านั้นวางห่อผ้าทั้งหมดในมือลงบนเตียงอรหันต์ที่อยู่ข้างๆ เจียงเซี่ยนถึงถามหลิวชิงหมิง “ทำไมวันนี้ขันทีหลิวถึงว่างมาที่ตำหนักของข้าได้?”

หลิวชิงหมิงท่าทางนอบน้อมมาก และเอ่ยว่า “ข้าเพิ่งมาอยู่ใหม่ ไม่รู้ธรรมเนียม หากมีตรงไหนล่วงเกินท่านหญิง ขอท่านหญิงโปรดอภัยให้ด้วย อย่าลดตัวลงมาถือสากับคนอย่างข้าน้อยเลยขอรับ”

เจียงเซี่ยนไม่รู้ว่าทำไมถึงทำให้เขาจดจำนางแบบนี้ นางพยักหน้าอย่างขอไปที เหมือนตกลงแล้ว ทว่าความจริงไม่ได้ตกลงอะไรทั้งนั้น

หลิวชิงหมิงดูเหมือนไม่ได้ต้องการให้เจียงเซี่ยนตอบเขา และเอ่ยต่อว่า “เมื่อก่อนข้ารับใช้อยู่ที่ฝ่ายซักล้าง เรื่องอื่นข้าไม่สนใจ แต่กลับถนัดเรื่องผ้าที่สุดแล้ว ข้าก็ไม่มีของดีอะไรเช่นกัน จึงนำผ้าสำหรับฤดูใบไม้ผลิหลายพับซึ่งล้วนเป็นที่นิยมที่สุดทางฝั่งเจียงหนานที่ส่งบรรณาการมาตอนฤดูหนาวปีนี้มาให้ท่านหญิงตัดเสื้อผ้าสำหรับฤดูใบไม้ผลิสักสองสามชุดขอรับ”

——————–