“อาจารย์ เสียงดังรบกวนจนท่านตื่นหรือเปล่า?” ชายหนุ่มคนหนึ่งแต่งตัวเหมือนบัณฑิตเปิดประตูเข้ามา เขาจัดถ้วยชามวางไว้อย่างเป็นระเบียบ

ห้องพักเทียนจื้อมีชายสูงวัยคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าต่าง เขายิ้มและโบกมือให้ชายหนุ่มคนนั้น “เจ้าไปถามเสี่ยวเอ้อร์สิ คนพวกนี้เป็นใครกัน”

หน้าประตูโรงเตี๊ยม ท่านย่าหม่าและพวกเขากำลังรับอาหารแห้งที่ส่งต่อกันมา

ตอนซ่งหลี่เจิ้งจ่ายเงิน ท่านย่าหม่าก็ได้พูดกับเถ้าแก่ “ที่นี่มีคนดีไม่เยอะ เจ้าเป็นคนดีคนหนึ่งที่อยู่ในจำนวนไม่เยอะนั้น”

เถ้าแก่ตอบกลับอย่างอารมณ์ดี “เจ้าเคยเห็นคนที่นี่กี่คน?”

มองเบื้องหลังพวกซ่งฝูเซิง มีเสี่ยวเอ้อร์หลายคนยืนโบกมือและตะโกนอยู่ข้างทาง “ขอให้ไปสู่ที่หมายโดยเร็ววัน” เถ้าแก่หันหลังกลับเข้าโรงเตี๊ยม ส่ายหัวพึมพำเบาๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ยังดี ไม่ถือว่าสิ้นเปลืองขิงของข้า”

เขาได้ยินคำพูดพวกนั้นของซ่งฝูเซิงก็รู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น

คนเราเมื่อพบกับความยากลำบากแล้ว กลัวว่าจะหดหู่ ท้อแท้ และสิ้นหวัง

ในตู้รถที่ทำขึ้นใหม่ เฉียนหมี่โซ่วเปิดกล่องขนมด้วยมือเล็กๆ ของเขา เขายกนิ้วก้อยขึ้นมาและพูดกับเด็กคนอื่นๆ “คนหนึ่งกินได้เพียงครึ่งชิ้นเท่านั้น ห้ามแย่งกัน”

“ตกลง ครึ่งชิ้น ไม่แย่งกัน” พวกเด็กๆ ตอบกลับมา

เมื่อหักแบ่งขนมออกครึ่งหนึ่ง เศษขนมร่วงลงบนผ้าห่ม บนขา และบนเสื้อผ้าของพวกเด็กๆ บ้าง พวกเขาใช้มือแตะเศษขนมเอาใส่ปาก

ในมือน้อยๆ ถือขนมครึ่งหนึ่งที่แห้งแล้ว ต่างคนต่างมองหน้ากัน เด็กหลายสิบคนกินขนมกันอย่างมีความสุข

สักครู่ก็มีเสียงหัวเราะกันอย่างครื้นเครงลอยมาจากในตู้รถ

กัวคนโตลากรถที่มีผ้าห่มกับเด็กๆ อยู่ในตู้รถ เขาลากรถไปด้วยรอยยิ้ม

คนอื่นเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะ ใบหน้าก็เริ่มมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น

ซ่งหลี่เจิ้งบอกกับทุกคน “ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรังเกียจพวกเราที่เป็นตัวถ่วง ดูสิ ท่านคหบดีให้ยาแก้อักเสบมาให้ ถ้าท่านบาดเจ็บก็รับไป พวกเจ้ามีหลายคนที่บาดเจ็บก็สามารถกินได้เลย ท่านเห็นแก่มิตรภาพเคยอยู่ถิ่นเดียวกัน อยู่ข้างนอกก็ต้องอาศัยคนบ้านเดียวกัน นี่ถึงสมเหตุสมผล”

ทุกคนพอใจอย่างมากและเริ่มนับจำนวนคนดีเหล่านี้

คนนี้ที่พูดเตือนก็กล่าวอีกว่า “ใต้เท้าสวีผู้ดูแลประตูเมืองก็เป็นคนดีจริงๆ ถ้าไม่มีเขา พวกเราจะมีวันนี้ได้อย่างไร”

อีกคนหนึ่งก็พูดว่า “ที่จริงแล้วผู้คุมเถิงก็ดีนะ ก่อนออกเดินทางยังวาดแผนที่เส้นทางถนนให้กับพวกเรา ข้าได้ยินมาว่าแผนที่ถนนนั้นไม่สามารถวาดได้หากไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ยังมีทหารที่คุยกับพวกเรามาตลอดทางที่คอยแนะนำพวกเราเสมอ”

“ชายฉกรรจ์ร้านน้ำในเมืองก็จิตใจดีเช่นกัน ไม่รังเกียจที่พวกเราดื่มน้ำมากเกินไป คอยหิ้วถังน้ำแต่ละถังมาให้ ข้าเข้าไปช่วย เขาก็บอกว่า พวกข้าอพยพลี้ภัยกันมาตลอดทางแล้ว ให้รีบไปพักผ่อนซะ”

“เสี่ยวเอ้อร์ที่โรงเตี๊ยมก็ใจดี ข้าถามเขาว่ามีไม้กระดานหรือไม่ เขารีบไปจัดการทันทีและยังบอกคนในโรงครัวให้นึ่งอาหารแห้งเผื่อเยอะหน่อย”

“ใช่ คนในโรงเตี๊ยมนั้นก็ดีไม่น้อย พวกเรายังได้ดื่มน้ำขิงฟรีอีกนะ”

“พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือยัง คนที่ดีที่สุดควรเป็นท่านแม่ทัพเล็ก ท่านแม่ทัพตัวสูงใหญ่ สง่าผ่าเผย ดูแล้วไม่น่าพูดง่าย น่าเกรงขามจนพวกเราแทบไม่กล้าหายใจ แต่เขากลับเป็นคนจิตใจดีที่สุด ดีที่สุดในนี้แล้ว”

“ใช่ ท่านแม่ทัพเล็กเป็นคนดีมากๆ ไม่รู้ว่าจะได้พบเจอกันอีกหรือไม่ ข้าน่ะ ถ้าชีวิตนี้มีโอกาสได้พบเจอท่านแม่ทัพอีก ไม่ว่าเขาจะจำข้าได้หรือไม่ ข้าจะคุกเข่าและโขกหัวหลายครั้งให้กับเขาก่อน”

เมื่อซ่งฝูเซิงได้ยินเรื่องนี้ เขาก็หันกลับไปมองทุกคนด้วยรอยยิ้ม

คิดในใจ ท่านแม่ทัพเล็ก ข้าก็เช่นกัน ท่านคงไม่รู้หรอกว่าข้าอยากขอบคุณท่านมากเพียงใด เป็นเพราะท่าน ถึงทำให้พวกข้าที่เป็นเกษตรกรธรรมดาเหล่านี้ไม่ต้องตกไปเป็นทหารกองหนุน แต่กลับไม่มีโอกาสขอบคุณท่านเลย รวมทั้งพวกเด็กๆ ท่านก็ได้เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของพวกเขาไปทั้งหมด

ตอนกลางวัน ทุกคนมีเพียงน้ำเย็นที่อยู่ในถุงน้ำ กินหมั่นโถ่วเย็นชืดที่ตอนเช้าตรู่พกออกมาจากโรงเตี๊ยม พักผ่อนข้างทางเพียงแค่ครึ่งชั่วยาม

เพราะซ่งฝูเซิงบอกไว้แล้วว่า วันนี้ต้องรีบเดินทางกัน อย่าเสียเวลาไปกับการเก็บฟืนข้างทางและหุงหาอาหาร

ด้านหน้าเป็นอำเภอใหญ่ ผ่านอำเภอนี้ไปอีกหลายสิบลี้ก็จะเจอโรงเตี๊ยม โดยปกติ หากเดินไปหลายสิบลี้ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องรีบเดินทาง

เมื่อมาถึงทางแยก ทุกคนก็หันมามองซ่งฝูเซิง ส่วนซ่งฝูเซิงก็ก้มลงดูแผนที่ที่อยู่ในมือ

แผนที่นั้นวาดเรียบง่ายมาก เขาดูทิศทางและกระซิบพูดคุยกับลูกสาวอีกหลายประโยค แล้วชี้ทิศทางให้ทุกคนดู “ไปทางนี้”

ผ่านอำเภอมา ประทับตราเอกสารเรียบร้อย ทหารที่เฝ้าประตูเมืองก็ตะโกนร้องบอกพวกเขา “ห้ามหยุดพักแรม”

ซ่งฝูเซิงพยักหน้าบอก “รับทราบ”

ตอนค่ำ เวลาเกือบห้าทุ่ม ในที่สุดทุกคนก็มีโอกาสได้พักหายใจ เมื่อมองเห็นป้ายแล้วก็สามารถเข้าไปพักผ่อนได้

หลังจากนั้นทุกคนก็หันมามองซ่งฝูเซิง

ซ่งฝูเซิงรีบก้าวเท้าเดินนำหน้าทุกคน เขาผลักประตูเข้าไป “สถานที่พักรับรองของหน่วยงานราชการ”

ซ่งฝูเซิงกับเถ้าแก่ยืนอยู่ตรงประตูโรงเตี๊ยมและชี้ไปยังกลุ่มคนเหล่านี้แล้วพูดอะไรบางอย่าง

เถ้าแก่พยักหน้าปฏิเสธ ซ่งฝูเซิงร้องขออีกครั้งถึงแม้จะไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุด ก็ยอมลดระดับเอาสิ่งที่ดีรองลงมา ห้องเก็บฟืนกับคอกม้าไม่สามารถเข้าพักฟรีได้ ถ้าเช่นนั้นราคาห้องรวมสามารถลดให้ถูกลงกว่านี้ได้หรือไม่?

เถ้าแก่ครุ่นคิดสักครู่และมองไปยังกลุ่มคนเหล่านี้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ก่อนจะพยักหน้าตกลง

ซ่งฝูเซิงฉวยโอกาสจากการต่อรองชนะ เขาพูดคุยกับเถ้าแก่เกี่ยวกับราคาอาหารแห้งที่จะพกไปตอนเดินทางในวันพรุ่งนี้ นอกจากนี้แล้ว ค่ำคืนนี้ควรมีน้ำขิงให้บริการฟรีด้วย

สองคนนี้ คนหนึ่งให้ราคาหมั่นโถ่วหนึ่งลูกสองอีแปะ คนหนึ่งชูสี่นิ้วให้ราคาสี่อีแปะ

ซ่งฝูเซิงเพิ่มอีกหนึ่งนิ้วให้ราคาสามอีแปะ

เถ้าแก่เอ่ยขึ้น “ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าต้องนึ่งเอง พวกข้ามีกระทะกับฟืนให้”

“ตกลง ขอบคุณ ขอบคุณมาก” ซ่งฝูเซิงรีบกวักมือเรียกทุกคน “เข้าโรงเตี๊ยมได้แล้ว เร็ว!”

ทุกคนเสียดายเงินที่ใช้จ่ายไปเพื่อที่จะสามารถนอนห้องรวมได้

พวกผู้หญิงต่างพากันหยิบตะกร้าเย็บผ้าออกมา มีตะกร้าเย็บผ้าของบางคนหายไประหว่างทาง พวกนางพูดกับเสี่ยวเอ้อร์เพื่อขอยืมเข็มกับด้ายของทางโรงเตี๊ยม

พวกนางใช้เข็ม เชือกป่าน ผ้าห่มเก่าที่แกะออกมาทำที่เข็นของรถเข็นแต่ละคัน เย็บเป็นถุงมือ เมื่อพวกผู้ชายเข็นรถ มือก็สามารถซุกเข้าไปในถุงมือได้ ทำให้ไม่หนาว

มีผู้หญิงบางคนที่ฝีมือดียังสามารถเย็บถุงเท้าให้กับเด็กๆ ที่ไม่ได้รับรองเท้าใหม่ และยังสามารถใส่ฝ้ายเพิ่มเข้าไปในถุงเท้าได้อีก

ส่วนพวกผู้ชายก็รับงานที่พวกผู้หญิงทำในชีวิตประจำวันมาทำ ต้มน้ำ ต้มน้ำขิง ต้มน้ำเอาไว้เยอะๆ เพื่อแช่เท้าที่บวมและแตก ไม่ชอบที่พวกเขาใช้ฟืนไฟเยอะและยังใช้น้ำเปลือง? ถ้าเช่นนั้นพวกเขาก็ช่วยโรงเตี๊ยมตักน้ำจากบ่อน้ำ ช่วยโรงเตี๊ยมผ่าฟืน ผ่าฟืนให้เยอะๆ

กลางดึกยามเที่ยงคืน ทุกคนเดินทางมาทั้งวัน แต่ก็ยังทำงานกันไม่หยุด

ช่วงเวลาเช้ามืด ท่านย่าหม่ากับพวกผู้หญิงสูงวัยก็เริ่มทำงาน พวกนางนึ่งอาหารแห้งกันเอง มิเช่นนั้นโรงเตี๊ยมจะเก็บเงินสี่อีแปะต่อค่าหมั่นโถวหนึ่งลูก แต่ถ้านึ่งกันเอง จะจ่ายเพียงแค่สามอีแปะ

เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า พวกซ่งฝูเซิงก็ได้อำลาโรงเตี๊ยมอีกครั้งและออกเดินทางมามากกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว

เมื่อเดินทางใกล้จะถึงตอนเที่ยงก็ผ่านอำเภอหนึ่ง ซ่งฝูเซิงไม่ได้ไปหน้าประตูเมืองเพียงคนเดียวเพื่อพูดกับใต้เท้าที่เป็นคนคุม

เขาเลือกผู้ชายสองสามคนที่เขาคิดว่าจะสามารถรับผิดชอบหน้าที่เพียงคนเดียวได้ในอนาคต ให้ติดตามเขาอยู่ด้านหลังโดยไม่ต้องส่งเสียง แค่คอยฟังวิธีการที่เขาพูดกับใต้เท้าก็พอ

“ทำเป็นแล้วหรือยัง?”

“ทำเป็นแล้ว แต่ไม่กล้า”

ซ่งฝูเซิงรีบให้กำลังใจ ไม่ต้องกลัว ใต้เท้าก็เป็นคนเช่นกัน พวกเราไม่ได้ทำผิดกฎหมาย มีอะไรก็พูดไป

เมื่อถึงตอนเย็น เวลาหกโมงกว่า ทุกคนก็มาถึงหน้าประตูเมืองจวินโจว

ครั้งนี้ซ่งฝูเซิงยืนอยู่ด้านหลัง พี่ชายใหญ่ของเขา ซ่งฝูไฉ ถือหนังสือผ่านทางหันมามองหน้าน้องสามเป็นระยะๆ

ซ่งฝูเซิงโบกมือให้กับเขา ซ่งฝูไฉมีพวกเกาเถี่ยโถวอยู่เป็นเพื่อน เขาพูดกับทหารที่เฝ้าเมืองอย่างตะกุกตะกัก “ใต้ ใต้ ใต้เท้า? ข้า พวกข้าเป็น…”

ถึงแม้จะพูดติดขัดแต่ก็ได้บอกถึงเหตุที่มาอย่างชัดเจน

ณ จุดช่วยเหลือของเมืองจวินโจว

เด็กน้อยหลายสิบคน จากโตมากสุดเจ็ดขวบ มาน้อยสุดสองขวบ มีทั้งเด็กหญิงเด็กชาย นั่งคุกเข่ากันเป็นแถวพร้อมกับกล่าวออกมาพร้อมกันว่า “ขอให้ผู้มีพระคุณทุกท่านสุขภาพร่างกายแข็งแรง อายุมั่นขวัญยืน”