เมื่อมองดูแถวของเด็กน้อยนี้ก็เห็นพวกเขาทำการคารวะขอบคุณและโขกหัว ทุกคนต่างมีสภาพผอมโซกันหมด พ่อบ้าน แม่บ้าน สาวใช้ และคนรับใช้ชาย ทุกคนเห็นก็รู้สึกเศร้าใจ

“มาเถอะ อาหารแห้งที่เหลือนี่ยกให้พวกเจ้าทั้งหมด ไม่ว่าจะมีผู้ลี้ภัยมาอีกในภายหลังหรือไม่”

“ใช่ ใส่ไปให้หมด ใส่ไป มีกระเป๋าหรือไม่? ให้กระเป๋าหนังอีกสองใบแล้วกัน แล้วเอาข้าวต้มร้อนๆ กับน้ำซุป ใส่ในถังไปด้วย”

ซ่งจินเป่าโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วพูดขึ้น “ไม่เอาถัง ใช้ถุงน้ำกับกระบอกไม้ไผ่ได้หรือไม่? มิเช่นนั้นท่านพ่อจะเข็นไม่ไหว”

“ได้สิ ช่างเป็นเด็กที่รู้เรื่องจริงๆ” พ่อบ้านสูงวัยท่านหนึ่งรีบตะโกนเรียกทันที “คนกลุ่มนั้นน่ะ มาทางนี้ พวกเจ้าทั้งหมดมาที่เพิงของจวนพวกข้า มาต่อแถวเอาข้าวต้ม นำถุงน้ำกับกระบอกไม้ไผ่ของพวกเจ้ามาด้วย”

เฉียนหมี่โซ่วบิดมือเล็กๆ ไปมา เขาแหงนหน้ามองซ่งฝูเซิง “ท่านลุง”

“เฉียนหมี่โซ่ว ได้เงินมาแล้วหรือยัง?”

เฉียนหมี่โซ่วกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียใจ “ไม่ได้”

“โอ้ เริ่มต้นผิดพลาด ที่นี่มีแต่พวกพ่อบ้านแม่บ้านที่ไม่สามารถตัดสินใจเองได้ เหล่าผู้ดีมีสกุลไปกินข้าวกันหมดแล้ว ผิดแผนๆ”

เฉียนเพ่ยอิงผลักซ่งฝูเซิง “เจ้ายังมีพฤติกรรมที่ถูกต้องอยู่หรือไม่ ยังมาบอกว่าผิดแผนอีก” หลังจากด่าซ่งฝูเซิงเสร็จ นางก็อุ้มเฉียนหมี่โซ่วขึ้นมาและคอยจับใบหน้าและมือของเด็กน้อยว่าเย็นหรือไม่ นางก้าวไปข้างหน้าแล้วพร่ำสอนไปด้วย

“หมี่โซ่ว พวกเราได้รับสิ่งของจากพวกเขา ต้องทำการคารวะโขกหัวให้กับพวกเขาเพื่อเป็นการขอบคุณ…

…ทำไมพวกเขาถึงต้องให้สิ่งของกับพวกเราเปล่าๆ ใช่ไหม?…

…พวกเรารับสิ่งของแล้ว ไม่มีอะไรจะให้พวกเขาเลย ก็ต้องพูดขอบคุณ แต่ไม่ใช่ว่าพวกเราอยากจะได้อะไร ก็หวังให้พวกเขาให้สิ่งที่พวกเราต้องการทุกครั้ง แบบนั้นมันไม่ถูกต้อง…

…พวกเรามีคนเยอะ ตอนนี้มีเงินก็ไปหาซื้อไม่ได้ ไม่สามารถเดินเพ่นพ่านได้ สถานการณ์เป็นแบบนี้ ไม่มีทางอื่น แต่เจ้าต้องจำไว้ เมื่อพวกเราได้ตั้งหลักปักฐานเป็นที่แน่นอนแล้วในอนาคต พวกเราไม่สามารถจะยื่นมือขอผู้อื่นได้อีก นั่นไม่ถูกต้อง”

“ได้ ท่านป้า หมี่โซ่วรู้แล้ว”

เฉียนเพ่ยอิงลูบหัวเด็กน้อย “เด็กดี หมี่โซ่วยังต้องจดจำความดีของคนเหล่านี้ไว้ บุญคุณอันน้อยนิดดุจหยดน้ำ ต้องตอบแทนยิ่งใหญ่ดั่งน้ำพุ เมื่อเติบใหญ่แล้ว เจ้าต้องตั้งใจเรียน มีความสามารถ แม้จะไม่ได้กลับไปตอบแทนคนดีเหล่านี้ แต่อย่างน้อยก็ต้องเป็นเหมือนคนเหล่านี้ให้ได้ เมื่อพบเจอคนลำบาก เจ้าก็ต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ”

“ได้ ท่านป้า หมี่โซ่วจำได้แล้ว บุญคุณอันน้อยนิดดุจหยดน้ำ ต้องตอบแทนยิ่งใหญ่ดั่งน้ำพุ”

“โอ้ เจ้าช่างเฉลียวฉลาดเสียจริง ฉลาดกว่าพี่สาวของเจ้าเสียอีก พูดแค่รอบเดียวก็จำได้แล้ว?”

“ฮาๆ แต่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะลืมหรือไม่”

ตอนที่เฉียนเพ่ยอิงกำลังสอนเด็กอยู่นั้น มีทหารสองนายยืนรักษาความสงบเรียบร้อยอยู่ไม่ไกลนัก ทหารทั้งสองนายได้ยินบทสนทนาเกือบทั้งหมด ถึงเขาสองคนจะเป็นคนสุขุมแต่ก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้

หน้าที่ของทหารทั้งสองนายนี้คือการป้องกันไม่ให้ผู้ลี้ภัยเข้ามาแย่งชิงสิ่งของกับพวกผู้ดีแต่ขบวนผู้ลี้ภัยป้ายสีแดงสดที่สามารถมายังจุดบริการข้าวต้มได้ มีน้อยนักที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ดังนั้นหน้าที่อันสำคัญของพวกเขาคือ คอยดูทุกคนที่กินดื่มเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็รีบสั่งการให้ออกไป อย่าได้หยุดพักที่นี่

แต่วันนี้ทหารทั้งสองนายได้ยินเฉียนเพ่ยอิงสั่งสอนเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พวกเขาก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องออกคำสั่งแล้ว

ถึงแม้พวกเขาจะสวมเสื้อผ้าที่มีรอยปะชุน แต่เมื่อฟังคำพูดเหล่านั้นก็รู้ว่าเป็นคนมีเหตุผล บางทีพูดกับพวกเขาดีๆ ก็รู้เรื่องแล้ว

มีทหารหนึ่งในนั้นเดินเข้ามาพูดกับซ่งหลี่เจิ้งที่มีอายุมากสุด

“พวกเจ้าต้องไปได้แล้ว รีบออกจากเมืองเสีย ห้ามหยุดพักแรม ในเมืองมีหน่วยตรวจตรา หากตรวจพบพวกเจ้า อาจมีปัญหาได้ ยิ่งช่วงค่ำคืนมีกฎบังคับห้ามออกมาพลุกพล่านข้างนอก ประตูเมืองจะปิดตามเวลา ในเวลานั้นถ้าพวกเจ้ายังอยู่ในนี้ วันพรุ่งนี้ตอนออกนอกเมือง หากเจ้าหน้าที่ของเมืองเห็นพวกเจ้าพักแรมอยู่ที่นี่จะอธิบายยาก ออกไปจากที่นี่โดยเร็วยังสามารถหาโรงเตี๊ยมพักผ่อนได้ไว”

“ได้ ได้สิ ท่านใต้เท้าวางใจเถอะ กินดื่มจนอิ่มก็ถือเป็นพระคุณอย่างมากแล้ว พวกข้าจะไปแล้ว ไปแล้ว ขอบคุณท่านมาก”

ซ่งหลี่เจิ้งกวักมือเรียกทุกคน “ไปได้แล้ว ไปเร็ว” เมื่อรวมตัวกันเสร็จแล้ว เขาก็จงใจหยุดเดินสักครู่ เขาหันกลับไปทำการคารวะขอบคุณกลุ่มคนที่มีหน้าที่ดูแลจุดบริการข้าวต้มของจวน

ออกประตูเมืองมาก็ได้รับการประทับตรา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาได้ออกจากเมืองจวินโจวซึ่งเป็นเมืองใหญ่เมืองแรกมาแล้ว ดูไม่ค่อยตื่นเต้นมากนัก

ครั้งนี้ซ่งฝูไฉเข้าไปพูดกับใต้เท้าอีกครั้ง เขาบังคับตนเองไม่ให้หันไปมองน้องสามไม่ได้ ต้องอาศัยการมองน้องสามเพื่อเป็นการให้กำลังใจตนเอง ตอนนี้เขาสามารถพูดคุยได้โดยไม่ติดขัดแล้ว

ซ่งฝูเซิงบอกกับพี่ชายคนที่สอง “พี่รอง เมืองถัดไป ท่านเป็นคนนำนะ”

“ข้า ข้า ข้าทำไม่ได้ ให้ ให้พี่ใหญ่ไปเถอะ”

“มีใครที่ไหนทำไม่ได้? ทำไม่ได้ก็ฝึกฝนให้มากหน่อย เดี๋ยวก็เป็นเอง”

ซ่งฝูเซิงเข้าใจคนโบราณเหล่านี้ที่เกรงกลัวข้าราชการอย่างมาก และไม่อยากจะติดต่อกับเจ้าหน้าที่ แต่เขาคิดว่าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปไม่ได้ อย่างน้อยแต่ละคนก็ต้องสามารถพูดคุยกันตามปกติได้

ไม่ใช่ว่าเวลาคุยกันก็ชอบหลบมุมไปนั่งอยู่ด้านข้าง ตาจ้องมองแต่พื้นเหมือนมีเงินตกอยู่ ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่รู้จักก็พูดคุยกันและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ยังทุบตีภรรยากับด่าทอลูกได้ หากมีความสามารถก็ต้องนำออกมาใช้ข้างนอก เป็นผู้ชายต้ององอาจหน่อย ถูกหรือไม่?

พวกเขารีบออกเดินทางท่ามกลางความมืด ออกจากเมืองจวินโจวแล้วก็เดินทางประมาณสามสิบกว่าลี้ รถเข็นแต่ละคันต่างก็หยุดเดิน

ครั้งนี้ซ่งฝูเซิงตั้งใจเลือก เริ่มต้นตั้งแต่เฉียนหมี่โซ่ว เลือกเด็กหลายคนที่มีอายุตั้งแต่ห้าขวบขึ้นไปจนถึงเด็กอายุสิบสี่ปี ให้เดินตามเขาเข้าไปในโรงเตี๊ยม

เขาต้องการให้พวกเด็กๆ ที่ยังไม่ได้เรียนหนังสือได้รับรู้ถึงความแตกต่างด้วยตนเองระหว่างคนที่เรียนหนังสือกับคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ

เพิ่งเปิดประตูเข้าไป เสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังกวาดพื้นก็ถือไม้กวาดตะโกนไล่ “ไป ไปให้พ้น พวกขอทาน จะมาขอทานถึงที่นี่ได้ไง! พวกเจ้ามาจากไหนกัน!”

เฉียนหมี่โซ่วตกใจจนต้องเข้าไปซุกอยู่ใกล้เป้ากางเกงของซ่งฝูเซิง ในห้องค่อนข้างร้อนเฉียนหมี่โซ่วเงยหน้าขึ้นก็ได้กลิ่น เขาบีบจมูก เป้ากางเกงของท่านลุงมีกลิ่นอะไรเนี่ย?

ซ่งฝูเซิงใช้มือทั้งสองข้างจับเด็กหลายคนที่จะวิ่งกลับไปและดึงหัวเล็กๆ ของเฉียนหมี่โซ่วออกมาจากต้นขาใหญ่ หลังจากนั้นเขาก็ทำการคารวะพร้อมกับบอกเสี่ยวเอ้อร์ว่าเขามาพักแรม เคยสอบเป็นถงเซิงมาก่อน

เสี่ยวเอ้อร์เบิกตากว้างอย่างตกใจ เขานิ่งไปไม่กี่วินาทีก็รีบให้การต้อนรับ “ซ่งถงเซิง เชิญด้านใน” แล้วก็รีบตะโกนบอกเถ้าแก่ว่ามีถงเซิงมาพักแรม

ซ่งฝูเซิงแสดงตราประทับส่วนตัวกับหนังสือรับรองการสอบของเขาต่อหน้าเด็กหลายคน และยังมีใบรับรองการเป็นอาจารย์สอนอยู่ในตัวอำเภอ ตลอดจนป้ายสีแดงสด

เถ้าแก่รีบบอก เสี่ยวเอ้อร์ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร เมื่อครู่ทำผิดกับซ่งถงเซิงประการใดก็ขออภัยด้วย

ซ่งฝูเซิงรีบทำทีท่าเข้าอกเข้าใจ เถ้าแก่อยากให้อภัยก็สู้แสดงออกมาไม่ได้ ห้องเก็บฟืนกับคอกม้าให้พักฟรีได้ไหม พวกเรานอนที่นั่นได้ ไม่เป็นไร

เถ้าแก่คิด ข้าสิเป็น พวกเจ้าไม่อยากเสียเงินมานอนพักใช่ไหม? ทำแบบนั้นไม่ได้

ซ่งฝูเซิงร้องขออีกครั้ง ถามถึงราคาของห้องรวมเท่าไร? พวกเราเหมาห้องรวมได้หรือไม่ ท่านให้ราคาถูกหน่อยได้ไหม ท่านดูสิ พวกเราอพยพลี้ภัยกันมา นับประสาอะไรกับถงเซิง แม้แต่จวี่เหริน นายท่านคนอื่นประสบภัยเช่นนี้ก็ต้องรู้สึกละอายใจ หวังว่าท่านคงเข้าใจ

หลังจากจบการพูดคุย ซ่งฝูเซิงก็ดึงลูกชายของกัวคนโต ตบด้านหลังหัวของเด็กเบาๆ “ออกไปเรียกทุกคนเข้ามา”

ลูกชายของกัวคนโตวิ่งออกจากโรงเตี๊ยม ประโยคแรกเขาไม่ได้เรียกให้ทุกคนเข้ามา แต่กลับตะโกนว่า “ท่านพ่อ ลุงสามเป็นถงเซิง! ลุงสามเก่งมากเลย!”

น้ำเสียงชัดเจนขนาดนั้น

ซ่งฝูเซิงรู้สึกเคอะเขินทันที เขาทำทีเป็นสอบถามเถ้าแก่ว่า ห้องพักในโรงเตี๊ยมนี้เต็มแล้วหรือไม่? มีบัณฑิตมาพักเยอะใช่ไหม?

การนอนพักแรมค่ำคืนนี้ก็ยังเกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย

เพราะมีจำนวนคนเยอะ คนนอนเบียดกัน ยามลุกขึ้นมากลางดึกก็ต้องคอยระวังไม่ให้เหยียบโดนคนอื่น แค่มัวแต่หลบก็ไปโดนกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำของใครไม่รู้ที่วางไว้จนหก น้ำหกไปโดนเสื้อกันหนาวของซ่งฝูเซิงที่ถอดไว้

ดีที่หนังสือผ่านเมืองกับพวกหนังสือที่เกี่ยวข้องกับถงเซิงถูกวางไว้ในกระเป๋าทั้งหมด ยามต้องการใช้ค่อยนำออกมา

แต่เนื่องจากแผนที่ที่ผู้คุมเถิงวาดต้องเอาออกมาดูบ่อยๆ เขาจึงมันพกติดตัวไว้ในเสื้อกันหนาวนั่น แต่ตอนนี้แย่แล้ว กระดาษเปียกชื้นเสียแล้ว

เมื่อจุดน้ำมันตะเกียง ซ่งฝูเซิงก็รีบเรียกลูกสาว “ลูกสาว ลูกสาว ตื่นสิ”

ซ่งฝูหลิงตื่นขึ้นมาในสภาพอันงัวเงีย

“ลูกสาว เจ้าเคยเห็นแผนที่นี้มาแล้วไม่ใช่หรือ?”

ซ่งฝูหลิงหาว “อ๊าห์”

“เจ้าสามารถวาดให้เหมือนกับแบบเดิมได้หรือไม่”

“อะไรนะ?!”

ซ่งฝูหลิงนั่งอยู่ที่โต๊ะในห้องโถงด้านหน้า พู่กันกับกระดาษถูกจัดวางไว้ นางเริ่มจับผมของนางอีกครั้ง มือทั้งสองข้างขยี้ผมจนยุ่งเหมือนคนบ้า ง่วงจนสะลึมสะลือ

ท่านย่าหม่ามีสีหน้ากังวล “เจ้าดูสิ เจ้าดูสภาพของนางตอนนี้ เหมือนคนที่จะวาดภาพออกมาได้ไหม? ไม่สิ ลูกสาม เจ้าดูแผนที่นี้มามากกว่านางไม่ใช่หรือ? เจ้าวาดให้เหมือนเดิมได้หรือไม่?”

ซ่งฝูเซิงบอกว่าเขาไม่มีความสามารถเช่นนั้น เดิมทีแผนที่นั้นก็วาดอย่างยุ่งเหยิง แต่ลูกสาวของเขาอาจจะวาดกลับมาให้เหมือนเดิมได้

นี่พูดไปเรื่อยเปื่อย ก่อนที่ท่านย่าหม่าจะบ่นออกมา หลานสาวคนเล็กของนางก็เริ่มขยับพู่กันแล้ว

เพียงแค่เห็นภาพวาดนั้น แต่ละเส้นเหมือนแมลงตัวเล็กๆ ขณะที่นางวาดภาพ ก็บ่นพึมพำ “ควรจะทำเครื่องหมายไว้ตรงนี้ เอ่อ ท่านพ่อ ซวินหยางเขียนยังไง ช่างเถอะ ข้าวาดเป็นวงกลมแล้วกัน…”

ซ่งหลี่เจิ้ง เกาถูฮู่ ครอบครัวกัวและคนอื่นๆ ที่ตื่นขึ้นมาเห็น โอ้พระเจ้า สมแล้วที่เป็นลูกของซ่งฝูเซิง สมองช่างปราดเปรื่องเสียจริง

ท่านย่าหม่าคิด ต้องยอมรับว่าพั่งยาเก่งเหมือนทางบ้านท่านตาของนาง เฮ้อ

ซ่งฝูเซิงถอนหายใจอย่างโล่งอก ลูกสาวของข้าเป็นนักเรียนดีเด่น