ในวันที่สองของการเดินทาง ซ่งฝูหลิงต้องโมโหเพราะแผนที่ที่วาดใหม่นี้

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับทางสามแพร่ง ถนนหลวงยุคโบราณไม่เหมือนกับถนนลาดยางของยุคสมัยใหม่ ถนนที่นี่เป็นลูกรังธรรมดา ถนนทั้งสามสายจึงหน้าตาเหมือนกัน ไม่มีความแตกต่าง มองดูเหมือนเป็นถนนหลวงทั้งหมด

ซ่งฝูหลิงชี้ไปทางถนนสายนั้นที่เลี้ยวขวาพร้อมกับพูดขึ้น “ข้าวาดอย่างชัดเจนว่าเป็นถนนสายนี้แน่”

“พวกเราไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ จะเลี้ยวขวาได้อย่างไร”

“แต่ข้าจำได้ว่าต้องเลี้ยวขวา ถ้าไม่เชื่อข้า ทำไมท่านต้องให้ข้าวาดแผนที่ด้วยล่ะ?”

“ไม่ใช่” ซ่งฝูเซิงหันกลับไปมองทุกคน ก่อนจะคว้าแขนลูกสาวเดินออกไปไกลหน่อย “ฟังพ่อนะ แผนที่นี้ข้าก็เคยเห็นเหมือนกัน ในความทรงจำของข้าคือ…”

ซ่งฝูหลิงขัดจังหวะ “เมื่อคืนท่านยังบอกว่าจำไม่ได้อยู่เลย เมื่อคืนนี้ท่านไม่ได้พูดแบบนั้น”

“ตอนนั้นเป็นเพราะข้ากำลังมึนๆ งงๆ อยู่ พอเห็นแผนที่เปียกน้ำ สมองก็เหมือนไม่สั่งการ”

ซ่งฝูหลิงไม่ยอม

ซ่งฝูเซิงถอนหายใจ เขามองสีหน้าของลูกสาวแล้วอธิบาย

“บางทีเจ้าอาจจะจำผิดก็ได้ มีถนนตั้งหลายเส้น ใครจะจำได้หมด? ใช่หรือไม่?…

…ท่านก็ ท่านก็เก่งที่สุดจริงๆ…

…ไม่ใช่ว่าพ่อไม่เชื่อเจ้า แต่เจ้าต้องฟังพ่อพูดบ้าง ลูกสาว เมืองเฟิ่งเทียนอยู่ทางตะวัน ออกเฉียงเหนือ ยุคโบราณไม่มีถนนวงเวียน เจ้ามุ่งหน้าไปทางขวานั่นมันไปทางทิศใต้…

…ข้าขับรถมาหลายปีแล้ว ทักษะนั่นมันเปล่าประโยชน์หรือไง ข้าพอรู้เรื่องทิศทางอยู่บ้าง ท่านดูสิ ข้านำทางพวกท่านมาตลอดทาง เคยมีปัญหาบ้างหรือไม่?”

“ข้าก็ขับรถมานานแล้ว ข้าขับรถมาหลายปีแล้วเหมือนกัน ข้ายังได้ใบขับขี่ประเภท B น่ะ ส่วนท่านได้ใบขับขี่ประเภท C”

ซ่งฝูเซิงถอนหายใจ เถียงไม่ชนะนาง

ลูกสาวของเขาไม่ดีตรงจุดนี้ ไม่ดีมากๆ ถ้าตั้งใจทำอะไรแล้วจะจริงจังมาก ทำให้ถึงที่สุด แม้จะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่ฟัง

ซ่งฝูเซิงแหงนหน้ามองดูท้องฟ้าและมองพื้นดิน เขาหันกลับไปมองคนเหล่านั้นที่ได้แต่เข็นรถอย่างเดียว ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไร ก็คาดหวังกับตัวเขา “เจ้าฟังพ่อเถอะ ลูกสาว อ๋อ เดินตามผู้ใหญ่ หมาไม่กัดนะ”

พอเถียงไม่ชนะก็มักใช้ลูกเล่นนี้ ซ่งฝูหลิงถาม “ถ้าเดินผิดทางล่ะ?”

“ข้าจะไม่โทษเจ้า”

“ไม่ใช้ไม่โทษข้าสิ ท่านจะโทษข้าก็ได้ แต่ข้าก็ต้องเสียเวลาเดินทางโดยเปล่าประโยชน์นะ?” ซ่งฝูหลิงพูดจบก็หันกลับเข้าไปในขบวน แสดงท่าทีเหมือนว่า เจ้าอยากจะทำอะไรก็ตามใจแล้วกัน ยอมแล้ว

ทุกคนมองออกว่าสองพ่อลูกคู่นี้คงทะเลาะกันแน่ๆ

ต้ายา เอ้อร์ยา มองพ่อของพวกนางเอง หลังจากที่พวกนางอิจฉาพั่งยาที่มีความสัมพันธ์อันดีกับท่านย่า นี่ก็มีเรื่องที่สองที่น่าอิจฉาพั่งยา เพราะนางกล้าที่จะทะเลาะกับพ่อของนาง ยิ่งคิดก็ยิ่งถูกอกถูกใจนัก

ท่านย่าหม่าต้องคอยสอบถามว่าเป็นเพราะอะไร

ซ่งฝูหลิงบอกว่า พ่อของนางไม่เชื่อนาง เขาจะเปลี่ยนเส้นทางในแผนที่ที่นางวาดไว้

ซ่งฝูหลิงคิดว่าย่าของนางจะต้องพูด ทำไมถึงไม่เชื่อพวกเรานะ ไม่เชื่อยังจะให้พวกเราวาดไปทำไมกัน แต่ปรากฏว่านางคาดหวังความสัมพันธ์ระหว่างนางกับท่านย่าสูงไป

ท่านย่าหม่ารีบหันไปพูดกับพวกท่านยายหวัง “ตอนนี้สบายใจได้แล้ว ฝูเซิงนึกออกแล้ว เขาปลุกพั่งยาขึ้นมากลางดึกเพื่อวาดรูป ทำเรื่องให้ยุ่งยากโดยเปล่าประโยชน์ ตอนนี้ก็มานึกได้อีก ทำให้พั่งยาไม่ค่อยได้พักผ่อน”

เมื่อทุกคนได้ฟังเหตุผลแล้ว โดยส่วนมากพวกเขาก็เชื่อถือซ่งฝูเซิง

แต่เฉียนเพ่ยอิงขมวดคิ้ว บ่นพึมพำ “ถ้าเดินผิดไปจะทำอย่างไร”

พูดตามความจริง เฉียนเพ่ยอิงเชื่อถือลูกสาวมากกว่า

เพราะลูกสาวของนางเรียนเก่งตั้งแต่เด็ก ถ้าขยันเล่าเรียนมากกว่านี้ คงไม่ต้องเรียนมหาวิทยาลัยนั้นและคงไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยอื่นแล้ว

ฝูหลิงเป็นเด็กที่มีสมองดีตั้งแต่ยังเด็กและมีความจำดีมาก ความจำดีขนาดไหนหรือ? ตอนที่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา ครูมักจะมาบ่นกับนางเสมอว่า ตอนกำลังสอนอยู่นั้น ลูกสาวของนางมัวแต่ห่วงเล่น สิ่งที่น่าโมโหยิ่งกว่าก็คือ ครูมักจะเรียกให้ซ่งฝูหลิงตอบคำถาม ซึ่งซ่งฝูหลิงก็มักจะตอบคำถามถูกต้องเสมอจึงไม่สามารถลงโทษได้ เห็นได้ชัดว่านางเฉลียวฉลาดมาก ลูกจะจำผิดได้อย่างไรกัน

แต่เหล่าซ่ง เชอะ สอบเข้ามัธยมศึกษาตอนต้นยังลำบากเลย ช่างเถอะ หวังว่าเขาจะประสบความสำเร็จได้บ้าง

ซ่งฝูเซิงชี้ไปทางถนนสายหนึ่งที่อยู่ด้านซ้ายของถนนสามสาย “เดินไปทางนี้”

ทุกคนพากันเดินต่อไปไม่พูดจา หลังจากพวกเขาเดินไปหลายสิบลี้ก็พบว่า ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไกลออกไป เบื้องหน้ามองดูเหมือนเป็นพื้นที่ห่างไกลและรกร้างไร้ผู้คน

ซ่งฝูเซิงหันกลับไปมองลูกสาว เขาอยากให้ซ่งฝูหลิงเสนอคำแนะนำ

ซ่งฝูหลิงทำตาเหลือกใส่พ่อของนาง ก่อนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้า

ซ่งฝูเซิงถอนหายใจ เขาหยิบกล้องส่องทางไกลออกมาส่องดู เขาถึงกับตกใจเพราะดูเหมือนเดินผิดเส้นทางแล้ว

พวกเขาเดินกันถึงไหนแล้วนะ ซ่งฝูเซิงเดินวนอยู่กับที่ใช้กล้องส่องทางไกลสังเกตการณ์ เขาเดินไปมาสักพักก่อนจะหยุดชะงัก เขารีบหันหน้าไปทางด้านซ้ายและคิดในใจ

โอ้ว นั่นมันป่าสนแดงใช่ไหม?

ในป่าสนแดงมีอะไร มีลูกสนไง

ช่วงเวลาพอดีกับที่พวกเขาไม่มีฟืนใช้แล้ว สิ่งนั้นเป็นเชื้อไฟที่ดี มีน้ำหนักเบา ติดไฟง่าย

ช้าก่อน ไม่ได้มีแค่ลูกสนเท่านั้น ในลูกสนมีถั่วเมล็ดสนด้วย!

ซ่งฝูเซิงกระพริบตาและขยี้ตาที่เริ่มล้า เขาครุ่นคิดและรีบปรับกล้องส่องไกลเพื่อสังเกตการณ์ต่อ

ในความทรงจำของเขา เขาไม่ค่อยได้กินถั่วเมล็ดสนมีเพียงครั้งเดียวที่กินไปไม่กี่เมล็ด ดูเหมือนเป็นช่วงที่ไปสอบในเมือง ช่วงก่อนสอบพวกบัณฑิตทั้งหลายจะรวมตัวกันเพื่อประลองความรู้ ตอนนั้นมีคุณชายท่านหนึ่งสั่งถั่วเมล็ดสนมา อืม แค่จานเล็กเพียงจานเดียวก็แพงมาก

ตอนยุคปัจจุบันก็มีราคาแพงมากแล้ว ครึ่งกิโลก็ราคาหลายสิบหยวน ในยุคโบราณ แต่ละคนก็ไม่ค่อยรู้นัก ดอกทานตะวันยังนำมาเป็นดอกไม้ไว้ประดับตกแต่ง ตอนหลังถึงรู้ว่าข้างในสามารถกินได้และมีเฉพาะคนรวยเท่านั้นที่สามารถกินเมล็ดได้ ถ้างั้นถั่วเมล็ดสนก็ต้อง…

ซ่งฝูเซิงถึงกับกลืนน้ำลาย เขาตัดสินใจจะเดินไปดูหน่อย

ป่าสนแดง ถั่วเมล็ดสน ถ้าจำไม่ผิดเดือนนี้เป็นช่วงฤดูกาลแห่งการผลิดอกออกผลตามธรรมชาติ จะสามารถสร้างรายได้ได้หรือไม่นั้น คงต้องดูว่ามีถั่วเมล็ดสนหรือไม่

แต่เมื่อซ่งฝูเซิงหันกลับไป เขาก็ไม่ได้พูดแบบนี้

เขาเม้มปาก แต่ก็แอบดีใจ เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พวกเราคงจะเดินผิดเส้นทางแล้ว ต้องโทษข้าที่ไม่ฟังลูกสาว เฮ้อ”

ทุกคนจิตใจดี “ไม่เป็นไรๆ เดินมาผิด พวกเราก็เดินกลับไปใหม่ได้ ไม่ต้องคิดมาก”

ซ่งหลี่เจิ้งยิ่งพูดเกินจริง เขาดูแคลนตนเองเพื่อปลอบโยนผู้อื่นว่าถ้าเป็นเขานำทาง คงไม่ได้พาทุกคนไปที่ศูนย์ผู้ลี้ภัย แต่ทุกคนคงจะได้ไปยังเมืองที่ประสบภัยหนักมากที่สุด

เกาถูฮู่พูดเสียงดัง “เป็นไปไม่ได้ เสี่ยวซานของพวกเราเก่งที่สุด”

พวกเด็กหนุ่มกับพวกเด็กตัวน้อยๆ ต่างตะโกนออกมา “ลุงสามเก่งที่สุดแล้ว”

ซ่งฝูเซิงรีบยกมือขึ้นห้ามไม่ให้ทุกคนพูดจาเยินยอ ดูสิ ลูกสาวเขาส่งสายตาค้อนให้เขาแล้ว ช่างน่าเคอะเขินจริงๆ

“แต่พวกเราจะเดินผิดเส้นทางโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้ ข้าเพิ่งเห็นว่า ด้านนั้นมีป่าสนแดง พวกเจ้าเคยได้ยินป่าสนแดงไหม?”

ทุกคนส่ายหัว พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน

“ในป่าสนแดงมีลูกสนที่เผาไฟง่าย พวกเราไม่มีถ่านแล้วไม่ใช่หรือ? ตอนเช้ากับตอนเย็นพวกเด็กๆ ไม่หนาวกันหรือ? ในเมื่อเดินมาผิดเส้นทางแล้ว ผิดแล้วก็ปล่อยเลยตามเลย พวกเราเดินไปข้างหน้าอีกหน่อย ไปเก็บลูกสนมาสักสองถุง…

…ของสิ่งนั้น เมื่อมันแก่แล้วจะมีน้ำหนักเบา ไม่ต้องใส่รถเข็น คนที่มีร่างกายกำยำก็สามารถแบกไปได้…

…อีกอย่าง วันนี้คงไม่สามารถเดินทางไปข้างหน้าต่อได้ มิเช่นนั้นอาจจะไม่มีที่ให้พักแรม…

…คืนนี้พวกเราต้องกลับไปพักที่โรงเตี๊ยมเดิมกันอีกคืน ตอนนี้ว่างๆ มาเถอะ ตามข้าไปเก็บลูกสนกัน”

เอ๊ะ ทำไมข้ามหัวข้อมาเร็วขนาดนี้ เปลี่ยนมาเป็นการเก็บฟืนแล้วหรือ?

ซ่งหลี่เจิ้งมีสีหน้าเชื่อมั่นในตัวของซ่งฝูเซิง ถ้าฝูเซิงบอกให้ไปทางตะวันออก เขาจะไม่มีทางไปทางตะวันตกแน่นอน

มีบางคนมีสีหน้าสงสัยเล็กน้อยแต่ก็ต้องเก็บความสงสัยไว้ในใจ พวกเขาต่างโน้มน้าวใจกัน “ฝูเซิงพูดมามักมีเหตุผล เร็วเข้า ตามกันไป”