เฉียนเพ่ยอิงปลอบลูกสาว “อย่าโกรธไปเลย เขาเป็นคนไม่ฟังใคร เจ้ากับเขาก็เป็นแบบเดียวกัน”

“ข้าไม่เข้าใจ ข้าพูดไปแบบนี้แล้ว ทำไมเขาถึงไม่เชื่อข้า ปกติดูเหมือนเชื่อข้ามาก ในช่วงสถานการณ์คับขัน เขายอมเชื่อในตัวเองมากกว่า ข้ารู้มาตั้งนานแล้ว เสียเวลาเดินเปล่า เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”

“เขาก็เป็นคนแบบนี้ เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ”

“ส่วนพวกนั้นก็…เหมือนไม่มีใครมีสมองเลย หมดคำบรรยายจริงๆ แต่ละคนเชื่อฟังกันง่ายๆ เหมือนสาวก”

เฉียนเพ่ยอิงเหลือบตามองรอบตัว ก่อนเอ่ยขึ้น “เจ้าต้องเข้าใจทุกคนหน่อยนะ พ่อของเจ้าเป็นถงเซิง ไม่ว่าจะอยู่ยุคสมัยใด คนเราก็ต้องเชื่อถือคนที่แข็งแกร่งกว่า โอ้ สวรรค์ เพียงแค่คิดว่าพ่อของเจ้ามีการศึกษาสูงที่สุด ข้าก็รู้สึกว่าเหมือนสวรรค์จะเล่นตลกกับพวกเรา”

ซ่งฝูหลิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข นางรีบก้มหน้าและเม้มริมฝีปากเพื่อกลั้นรอยยิ้มไว้

ตอนนี้ซ่งฝูเซิงที่ถูกพูดถึงกำลังนำทางอยู่ด้านหน้าสุด เมื่อใกล้จะเดินเข้าป่า เขาก็หันกลับมามอง พบว่าสองแม่ลูกยังไม่เดินตามมา พวกนางยังคงเดินอ้อยอิ่งชักช้าอยู่ข้างหลัง

ซ่งฝูเซิงรู้ดีว่าตนเองทำให้ลูกสาวโมโหไม่น้อย โดยเฉพาะทำให้นางต้องมาเสียแรงเดินโดยเปล่าประโยชน์ ตอนนี้คงกำลังโทษเขาอยู่ในใจ เฮ้อ!

“พวกเจ้าสองคนทำไมเดินช้าอย่างนี้?” ซ่งฝูเซิงหยุดรอ เมื่อสองแม่ลูกเดินเข้ามาใกล้ เขาก็เข้ามาพยุงซ่งฝูหลิง “เดินไม่ไหวแล้วสินะ พ่อช่วยพยุงเจ้าเอง”

ซ่งฝูหลิงไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

ซ่งฝูเซิงเหล่ตามองสีหน้าของลูกสาวและเหลือบมองสีหน้าของนางอีกครั้ง เป็นพ่อก็ไม่สามารถยอมรับว่าตนเองผิดได้ เขาหาเรื่องพูดคุย “อย่าเบะปากเลย ใครจะรู้ว่าเดินผิดเส้นทาง? ข้าก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนี้ ยิ่งเหนื่อยขึ้นอีก ข้ายังต้องเข็นรถ มา เจ้าร้องเพลงให้พ่อฟังหน่อย”

ซ่งฝูหลิง ท่านทำผิดแล้ว ท่านเหนื่อย หลังจากนั้นก็ให้ข้าร้องเพลงปลอบใจให้ท่านฟังใช่ไหม?

ซ่งฝูเซิงพูดขึ้น “ร้องเพลงนั้น เพลงอะไรนะ? ชีวิตไม่ใช่มีเพียงเรื่องที่เผชิญอยู่ตรงหน้า” เขาร้องเพลงไม่ค่อยเป็น เคยฟังเพลงนี้มาหลายครั้งก็รู้สึกชอบมาก แต่ร้องไม่เข้าจังหวะดนตรี

สองนาทีผ่านไป ซ่งฝูเซิงถอนหายใจ ขี้ใจน้อยจัง เหมือนใครเนี่ย “ถ้าไม่อยากร้องก็ไม่ต้องร้อง ไปกันเถอะ ถึงแม้วันนี้พวกเราเดินมาผิดทาง แต่พ่อจะพาเจ้าไปหาความรู้เพิ่มเติม ให้เจ้าได้เห็นป่าสนแดงจริงๆ ว่าเป็นอย่างไร เมื่อสายลมบางเบาพัดผ่าน อากาศสดชื่น ใบสนพลิ้วไหว ข้าจะบอกกับเจ้า ข้า…”

ทุกคนหยุดเดินในทันที ซ่งฝูเซิงก็หยุดเข็นรถ เขาขมวดคิ้วก่อนดึงลูกสาวไปดูเหตุการณ์ข้างหน้าว่าเกิดอะไรขึ้น

ซ่งฝูหลิงเงยหน้ามองพ่อของนาง อืม เมื่อสายลมบางเบาพัดผ่าน อากาศสดชื่น ใบสนพลิ้วไหว ท่านพ่อ ท่านลืมพูดไปสองประโยคหรือเปล่า? อากาศอึมครึม น่าหวาดกลัวจนขนลุกชัน พื้นที่สุสาน ท่านพาพวกเราเข้ามาในสุสานแล้ว

“แค่ก” ซ่งฝูเซิงไอ “เฮ้ย ใครเอาคนตายมาฝังไว้ตรงนี้เนี่ย”

“เสี่ยวซาน พวกเรายังจะเก็บมันมาเผาไฟอยู่อีกไหม?” เกาถูฮู่ที่อยู่ข้างหน้าสุดถามขึ้นมาพลางเอามือลูบแขน

ไม่ใช่หวาดกลัว แต่ดูน่าตกใจ

ที่นี่ไม่ได้มีเพียงแค่ 3-5 หลุม แต่มีหลุมฝังศพเก่ากว่าอีกหลายร้อยหลุม อยากไปป่าสนต้องผ่านหลุมศพพวกนี้ไปก่อน นี่จะไม่เป็นการรบกวนพวกเขาหรอกหรือ ไม่จำเป็นต้องทำเพียงเพื่อไปเก็บฟืนหรอกกระมัง

เถียนสี่ฟาก็หันไปมองน้องสาม เมื่อสักครู่พวกเขาที่มีร่างกายกำยำหลายคนเดินนำหน้าตัดหญ้าเพื่อคอยเปิดทาง ตอนนี้เหงื่อออกเต็มไปหมด เขาก็รู้สึกเหมือนกันว่าไม่จำเป็นต้องทำ เพียงแค่เพื่อไปเก็บฟืน

เมื่อพบว่าทุกคนต่างจ้องมองเขา ซ่งฝูเซิงหันไปมองหลุมฝังศพและกลับไปมองพื้นที่อันรกร้าง สถานการณ์ช่างชวนเก้อเขินเสียจริง

สายตาของเขาก็มองไปยังต้นสนแดงที่อยู่ไม่ไกลออกไป คิดในใจ

ถ้าเดินจากไปแบบนี้ วันนี้ทั้งวันก็ถือว่าเสียเวลาไปแบบเปล่าประโยชน์ นอกจากเหนื่อยเปล่าแล้ว กลับมาอยู่กินในโรงเตี๊ยม ก็ต้องเสียเงินไปวันหนึ่ง

ไม่ได้ เดินมาถึงที่นี่แล้ว แม้ว่าจะต้องขึ้นเขาลงห้วย เขาก็จะเข้าป่าไปดูให้ได้

เขาหวังเป็นอย่างมากว่าที่นั่นจะมีถั่วเมล็ดสน เขาจะได้นำไปขายเพื่อหารายได้ให้กับครอบครัว

แม้จะได้เงินน้อย แต่ถ้าขาดแคลนเงินก็ลำบาก

ในกระเป๋ามีเพียงไม่กี่สิบตำลึง จะไปพอที่ทำอะไรได้ เมื่อถึงเมืองเฟิ่งเทียนก็เข้าฤดูหนาวแล้ว การกินอยู่ก็ลำบาก ส่วนเงินของหมี่โซ่วนั่นก็เป็นเงินของเด็กน้อย ไม่สามารถแตะต้องได้ เมื่อพูดออกไปแล้วก็ไม่สามารถกลับคำได้อีก มิเช่นนั้นจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

ยังมีพวกเพื่อนบ้านเหล่านี้ที่ยากจน ถ้าไม่มีเงินจะผ่านฤดูหนาวไปได้อย่างไร

“เข้า เข้าป่า รถเข็นจอดไว้ตรงนี้ ที่นี่ไม่มีใคร ไม่หายแน่นอน…

…ฟังข้า เทตะกร้า เทกระสอบออก แบกเชือกและนำอุปกรณ์ในบ้านไปด้วย…

…ข้าบอกความจริงกับพวกเจ้าแล้วกัน ก่อนหน้านั้นที่ไม่ได้บอกเพราะกลัวพวกเจ้าผิดหวัง…

…ข้าอยากจะเข้าไปดูข้างในว่ามีถั่วเมล็ดสนหรือไม่ พวกเจ้าไม่เคยกินถั่วเมล็ดสน แต่ข้าเคยกินแล้ว ตอนไปสอบในเมืองข้าได้มีโอกาสลองชิมอยู่หลายอัน แค่จานเล็กเพียงจานเดียวก็แพงมาก”

ซ่งหลี่เจิ้งถาม “อะไรคือถั่วเมล็ดสน?”

“เมล็ดแตงโม เคยกินไหม?”

“ข้าเคยเห็นมาก่อน แต่ไม่เคยกิน มีเพียงคนมั่งคั่งเท่านั้นที่เตรียมซื้อไว้ฉลองปีใหม่”

“ทุกคนเคยกินถั่วลิสงไหม?”

ยังไม่ทันที่คนอื่นจะตอบ ท่านย่าหม่าก็อุทานขึ้นมา “จะกินเองได้อย่างไร ปลูกไว้ไม่เยอะ นั่นเป็นสิ่งล้ำค่า ต้องเอาไว้คั้นน้ำมัน มิเช่นนั้นน้ำมันจะมาจากไหน”

“ดังนั้นถั่วเมล็ดสนจึงมีราคาแพงกว่าชนิดอื่น แต่ข้าไม่แน่ใจว่าป่าสนแห่งนี้จะมีถั่วเมล็ดสนหรือไม่ เพื่อที่พวกเราจะได้เอาไปขาย บางต้นมีถั่วเมล็ดสนขนาดเล็กมาก แบบนั้นไม่สามารถเอาไปขายได้”

ท่านย่าหม่าร้อนรน “ไม่สิ ลูกชาย เจ้าบอกแม่ก่อนว่า ถ้าสามารถขายได้ จะขายได้เงินเท่าไหร่?”

“ข้าเดาว่า ครึ่งกิโลอย่างน้อยก็ได้ประมาณ 70-80 อีแปะ ขึ้นอยู่กับว่าคนในเมืองรู้จักมันหรือไม่ แต่คนที่รู้จักก็มี โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวใหญ่ที่มีขนมถั่วเมล็ดสน” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ซ่งฝูเซิงก็นึกขึ้นได้ เขาถามว่า “หมี่โซ่ว เจ้าเคยกินขนมถั่วเมล็ดสนไหม?”

“ข้าเคยกิน อร่อยมากเลย”

ซ่งฝูเซิงทำให้เห็นว่า เด็กในเมืองไม่เหมือนกัน เคยกิน ถ้าเคยกินก็แสดงว่ามีตลาดในการซื้อขายกัน

เสียงอุทานดังออกมาทั่วบริเวณ

ทุกคนต่างตาโต ขนมถั่วเมล็ดสน ถั่วเมล็ดสน ครึ่งกิโลสามารถขายได้ประมาณ 70-80 อีแปะ

ซ่วนเหมียวจื่อตะโกนบอกหวังจงอวี้ “ท่านพ่อ รีบเข้าป่าสิ 70-80 อีแปะสามารถซื้ออาหารแห้งได้เยอะเลยนะ”

เจ้าดูสิ แม้แต่เด็กยังรู้จักการคำนวณแล้ว รู้ว่าต้องผ่านสุสานนี้ไป ต้องเสี่ยงอันตรายถึงสามารถสร้างความมั่งคั่งได้

“ไปเถอะ ไม่ต้องไปสนว่าจะมีหรือไม่มี เดินไปดูกัน” ซ่งหลี่เจิ้งได้ยินว่าสามารถสร้างรายได้ ใบหน้าของเขาก็เปล่งปลั่งดูอ่อนวัยขึ้นมาทันที

คนที่โน้มน้าวให้เชื่อซ่งฝูเซิงก่อนหน้านี้ก็รีบพูดขึ้น “ข้าบอกแล้ว ให้เชื่อซ่งฝูเซิงไม่ผิดแน่นอน เขามีแผนการอยู่ในใจแล้ว”

“ใช่ ข้าก็พูดแบบนั้น ไปกันเถอะ อย่าว่าแต่ผ่านสุสานเลย แม้ต้องขุดหลุมฝังศพ ข้าก็จะไป”

เมื่อได้ยินว่าสามารถสร้างรายได้ พวกเขาก็ไม่สนข้อห้ามอื่น

ถ้าเป็นเมื่อก่อน พวกเขาก็คงไม่กล้า แต่ตอนนี้ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างตลอดการเดินทาง คนตายก็ได้เห็นกันมาแล้ว จึงไม่ค่อยกลัวสุสานกับพวกผีเท่าไรนัก

ใครมาขัดขวางเงินทอง เสมือนเป็นเรื่องใหญ่ เฉกเช่นการฆ่าพ่อแม่ อย่างน้อยก็สู้กับผีกันสักตั้ง

แต่ซ่งฝูเซิงเป็นคนใจเสาะ เขารีบเปลี่ยนมาเป็นอุ้มเฉียนหมี่โซ่ว ทำให้รองเท้าของเฉียนหมี่โซ่วเกือบจะหลุดไป มาเถอะเด็กน้อย รีบมาเพิ่มความกล้าหาญให้กับลุงที

ซื่อจ้วงเดินอยู่ข้างกายซ่งฝูหลิงกับเฉียนเพ่ยอิง ซ่งฝูหลิงจับแขนท่านย่าหม่า ท่านย่าหม่าจับแขนท่านยายเถียน ท่านยายเถียนจับแขนเถาฮวา เถาฮวาจับแขนหูจือซึ่งเป็นพี่ชาย ส่วนต้าหลังกับเอ้อร์หลังก็พยุงต้ายากับเอ้อร์ยา

แต่ละคนเดินใกล้ชิดกัน ทุกคนต่างสะพายของไว้ด้านหลังและเริ่มเดินผ่านสุสาน

พื้นที่สุสานกว้างขวางมาก เดินมาสิบกว่านาทีเพิ่งจะไปได้แค่หนึ่งในสี่ของพื้นที่

เฉียนหมี่โซ่วกอดคอซ่งฝูเซิงแน่น ดวงตากลมโตมองสังเกตซ่งฝูเซิงอย่างจริงจัง “ท่านลุง ท่านกำลังหวาดกลัวใช่ไหม?”

“ข้า? ข้าจะกลัวไปทำไมกัน ลุงของเจ้าเคยเห็นอะไรมามากแล้ว”

ซ่งฝูเซิงพูดจบก็หันหน้ากลับไปดู เขาเดินนำทางอยู่ข้างหน้า ตอนนี้รู้สึกไม่อยากเป็นคนนำทางแล้ว เขาคิด พวกเจ้าอย่ามัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดินสิ น้ำเสียงดังๆ ขึงขังๆ ก่อนหน้านี้ไปไหนหมดแล้ว แต่ละคนทำไมถึงไม่พูดจากัน

ห้านาทีผ่านไป ซ่งฝูหลิงก็ได้ยินพ่อของนางร้องเพลงเสียงดัง “น้องสาว เจ้าก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ จงก้าวไปข้างหน้า อย่าหันกลับมา!”

รอบแรกที่ร้องเพลง ทำให้ทุกคนตกใจ

เมื่อร้องเพลงอยู่หลายรอบจนซ่งหลี่เจิ้งกับพวกเกาถูฮู่รู้สึกสงสัย “นี่มันทำนองเพลงอะไรกัน? ฟังดูไพเราะดี”

หลังจากคำพูดประโยคนี้ ก็ร้องเพลงซ้ำไปซ้ำมา

เมื่อทุกคนเดินผ่านสุสานต่างก็ร้องเพลง “น้องสาว เจ้าก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ จงก้าวไปข้างหน้า อย่าหันกลับมา!”

เฉียนหมี่โซ่วเกาะบนไหล่อยู่ด้านหลังของซ่งฝูเซิง เขายิ้มและโบกมือให้เฉียนเพ่ยอิงกับซ่งฝูหลิงพร้อมกับร้องเพลง “น้องสาว เจ้าก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ”

ทุกคนร้องเพลงท่อนนี้เป็นอยู่เพียงท่อนเดียว

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ซ่งฝูเซิงแกะลูกสนออกให้ทุกคนได้ดู

ซ่งหลี่เจิ้งคุกเข่าลงกับพื้นทันที เขาผายมือเงยหน้าตะโกนต่อฟากฟ้า “นี่เป็นลิขิตสวรรค์ สวรรค์เมตตาคนดีอย่างพวกเรา พวกเราไม่ต้องหิวโหยอดตายกันทั้งบ้านแล้ว!”

เสียงดังจนทำให้กระรอกน้อยที่อยู่บริเวณนั้นตกใจจนวิ่งหนีไป