ตอนที่ 55 หาวิธีการสร้างความวุ่นวายในงาน

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

เวลานั้น อากาศทั้งตำหนักจื่อจีประหนึ่งอุณหภูมิลดฮวบลง

แต่ละคนที่อยู่ในงานใบหน้าเริ่มซีดขาวราวไก่ต้ม แม้แต่ซวนหยวนหลี่เทียนเองก็ไม่ยกเว้น

แม้จะเป็นฮ่องเต้ของแคว้นจื่อเยี่ย เมื่อยามได้ยินชื่อนี้ก็ยังเปลี่ยนสีหน้า รีบกล่าวขึ้น

“รีบหาที่นั่งชั้นดีให้เยี่ยเอ๋อร์ เร็วเข้า!”

ที่นั่งของซวนหยวนจิ่วเยี่ยอยู่ใกล้กับซวนหยวนจือผู้เป็นใหญ่  อันที่จริง… อยู่ใกล้ข้างหน้ามากกว่าองค์รัชทายาทองค์นั้นเสียอีก

เป็นที่กล่าวขานกันว่าท่านองค์รัชทายาทมีพรสวรรค์ทางการปกครอง และมีความเป็นอัจฉริยะในการฝึกยุทธ์อันดับหนึ่ง เขามีใบหน้าเรียบเฉย ราวกับไม่ว่าจะเกิดเหตุอันใด ก็ไม่อาจทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนแปลง

ทั้งตำหนัก มีสายลมที่เพิ่มมาปกคลุมสำทับเข้าไปด้วย หลายคนหายใจติดขัด มองบุรุษร่างเพรียวในชุดคลุมสีดำร่างหนึ่งก้าวเข้ามาในห้องโถง

การมาของเขา เหมือนกับปีศาจร้ายในยามค่ำคืนที่เยื้องย่างลงมาก็ไม่ปาน ดูเหมือนเจ้าชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ น่าเคารพยำเกรง

เป็นความแข็งแกร่งที่ไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธ แม้แต่ฮ่องเต้ซวนหยวนจือผู้มีฐานะอันสูงส่งแห่งแคว้นจื่อเยี่ย เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา พลันหมดสง่าราศรีลงไปถนัดตา

การมาของเขา ทำให้ทุกคนต่างคอยระมัดระวัง แต่จิ่วเยี่ยก็นั่งลงบนที่นั่งของเขาอย่างสง่างาม ไม่ได้พูดหรือทำอะไร

มู่เฉียนซีกล่าว “เยวี่ยเจ๋อ พวกเราก็นั่งลงกันเถอะ งานเลี้ยงใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว”

ได้ยินวาจาผู้เป็นพี่ใหญ่ สติสตางค์เยวี่ยเจ๋อคืนกลับมา ตามมู่เฉียนซีออกไป

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอเยี่ยอ๋องที่ใคร ๆ ก็เล่าลือกันว่าถึงเขาไม่ได้ทำอะไร ผู้คนก็ยังเกิดความหวาดกลัวยำเกรงจากก้นบึ้งของจิตใจ

แต่ว่า… กลิ่นอายของเยี๋ยอ๋องผู้นี้ เหมือนว่าเขาเคยสัมผัสจากที่ไหนมาก่อน ?

ถึงเยวี่ยเจ๋อคิดจนสมองระเบิด ก็คิดไม่ถึงว่าอสูรผู้นี้ ที่ทำให้คนได้ยินชื่อหน้าถอดสี  เยี่ยอ๋อง จะกลับบ้านด้วยกันกับมู่เฉียนซีพี่ใหญ่ของเขา

มู่เฉียนซีได้แต่คิดอยู่ในใจ ‘เจ้าก้อนน้ำแข็งจิ่วเยี่ยนี่คงไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงเย็น แต่น่าจะมาสร้างความวุ่นวายให้งานมากกว่า’

ยามเห็นเขาออกมา ทุกคนต่างตกใจ งานเลี้ยงนี้คงไม่มีทางดำเนินงานสนุกสนานไปได้

แต่วันนี้ที่นางมา ไม่ได้ต้องการจะมาเพื่อสนุกสนานกับงานเลี้ยง ดั้งนั้นเขาจะสร้างความวุ่นวายก็สร้างไป

การร้องเรียนของมู่หรูอวิ๋นหยุดชะงักเพราะการปรากฏตัวของจิ่วเยี่ยขัดจังหวะนาง  สมองของนางรู้สึกว่างเปล่าไปหมด

ผ่านไปได้สักพัก นางก็มีสติขึ้นมา เตรียมจะพูดร้องเรียนมู่เฉียนซีต่อ

ทว่าซวนหยวนจือกล่าวขึ้น “เทียนเอ๋อร์ ฤกษ์ใกล้จะถึงแล้ว เจ้ารีบไปนั่งที่เถอะ”

มู่หรูอวิ๋นผิดหวังอย่างมาก หรือว่าต้องให้เรื่องผ่านไปแบบนี้ ?  นางทำอะไรมิได้แล้วอย่างนั้นหรือ ?

“ท่านอ๋อง…” นางพูดด้วยน้ำเสียงอันเบา

ซวนหยวนหลี่เทียนจับข้อมือของมู่หรูอวิ๋นเอาไว้แน่น  แน่นเสียจนแทบจะทำให้ข้อมือของนางหักไปอีกหน  เขานำแขนมู่หรูอวิ๋นมาบีบแทนแขนของมู่เฉียนซี

ใจของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธและอาฆาตแค้น เขาจะไม่ยอมปล่อยไปเช่นนี้แน่

แต่เพราะเจ้าตัวซวยนั้น วันนี้อยู่ดี ๆ ก็มาร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำจื่อหยวนด้วย เสด็จพ่อไม่อยากให้บานปลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต เขาคงทำได้เพียงแต่อดทน

ไม่อย่างนั้น เสด็จพ่อจะไม่พอพระทัย แล้วจะยิ่งไปกันใหญ่

มู่หรูอวิ๋นน้ำตาเอ่อล้น เจ็บจนจะเป็นลมอยู่แล้ว ก่อนจะถูกดึงตัวไป

นางเองก็โกรธมาก ควรที่จะเป็นมู่เฉียนซีสิที่เคราะห์ร้าย!  แต่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ท่านเยี่ยอ๋องดันปรากฏตัวขึ้นมาเสียได้

ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นเพียงเหตุบังเอิญ  จงใจ  หรือเหตุอื่นใด ?

ด้วยการปรากฏตัวของอสุราในงาน บรรยากาศทั้งตำหนักจื่อจีจึงดูแปลกประหลาดไป

ถึงแม้ซวนหยวนจิ่วเยี่ยจะไม่ได้เอ่ยคำใดเลยแม้เพียงประโยคเดียว แต่กลิ่นอายที่ปล่อยออกมาของเขานั้น ไม่มีใครกล้าเพิกเฉย

ฤกษ์มาถึงแล้ว  ฮ่องเต้แห่งแคว้นจื่อเยี่ย ซวนหยวนจือก็กล่าวขึ้น

“ข้าขอประกาศว่า ปีนี้งานเลี้ยงสังสรรค์จื่อหยวน ได้เริ่มขึ้นแล้ว”

สิ้นเสียงประกาศ  การแสดงบรรเลงบทเพลง อีกทั้งอาหารรสเลิศหลากหลายอย่าง ถูกยกส่งเข้ามา

ในเซี่ยโจวทั้งหมด แคว้นจื่อเยี่ยถือว่าเป็นแคว้นที่ต่ำที่สุด

อย่างไรก็ตาม ถึงอูฐจะผอมแต่ก็ตัวใหญ่กว่าม้า แม้จะเป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ ความมั่งคั่งก็ไม่อาจดูแคลนได้

“เยวี่ยเจ๋อ ของหวานนี้รสชาติไม่เลว พ่อครัวทำของหวานของวังหลวงช่างมีความอดทน” มู่เฉียนซีนำขนมกุ้ยฮวาส่งให้เยวี่ยเจ๋อ

“อืม  อันนี้ก็ไม่เลว”

มู่เฉียนซีกินอย่างสบายใจ ไม่กลัวว่าฮ่องเต้จะกลับมาคิดบัญชีทีหลัง

เมื่อเผชิญหน้ากับมู่เฉียนซีที่มีท่าทีสงบ เยวี่ยเจ๋อก็รู้สึกว่าตนเองยังฝึกฝนไม่ดีพอ เขาอยากลองชิมอาหารคาวหวานรสชาติอันล้ำเลิศของวังหลวงเพื่อสงบสติในจิตใจบ้าง

เพราะอาหารเลิศรสในวังหลวงนั้น ไม่ใช่จะหากินได้บ่อย ๆ

ในขณะที่เขาจะหยิบขนมหวานที่มู่เฉียนซีแนะนำนั้น พลันรู้สึกถึงไอสังหารแรงกล้าพุ่งมาที่ร่างกายของเขา เหมือนต้องการที่จะฉีกทึ้งร่างและวิญญาณของเขาออกเป็นชิ้น ๆ

เยวี่ยเจ๋อรู้สึกใจไม่สงบ ใครกันที่อยากจะสังหารเขามากขนาดนี้

มือของเขาสั่น เปลี่ยนชิ้นขนมหวาน ปรากฏว่าความรู้สึกถึงจิตสังหารนั้นได้อันตธานหายไปแล้ว

จิตสังหารที่ปล่อยออกมาอย่างอิสระพุ่งเป้ามาที่เขาคนเดียวเท่านั้น ไม่ทิ้งร่องรอยสิ่งใดไว้  เขาไม่รู้ว่ามันมาจากที่ใด

ตอนนี้คนที่นั่งอยู่บนที่นั่งสูงศักดิ์อันดับสองคือชายหนุ่มเยือกเย็นท่าทางดั่งปีศาจร้ายก็ไม่ปาน  เขากำลังชิมของที่มู่เฉียนซีชอบกินทีละคำ

เยี่ยอ๋องไม่เพียงแต่ร่วมงานเลี้ยงจื่อหยวน ยังทานอาหารอีกด้วย เหตุการณ์นี้ประหลาดดีแท้ ตาของทุกคนแทบจะถลนออกมานอกเบ้า คลื่นความฉงนสงสัยเอ่อล้นในจิตใจพวกเขา

วันนี้เป็นอะไรไป ?

นอกเหนือจากนักดนตรี นักร้อง และนักร่ายรำของราชสำนักแล้ว ยังมีบุตรของขุนนางใหญ่หลายคนขึ้นเวทีเพื่อแสดงความสามารถ เผยหน้าตาต่อหน้าฮ่องเต้

“เอิ้ก!” มู่เฉียนซีเรอออกมา สายตามองไปที่องค์ชายองค์หญิงทั้งหลาย

คนแรก เยี่ยอ๋อง ซวนหยวนจิ่วเยี่ย  คนผู้นี้มีพลังแข็งแกร่ง ไม่สามารถเอาเขาเป็นเป้าหมายได้

คนที่สอง องค์รัชทายาท ซวนหยวนหลี่ซาง  หล่อเหลาคมเข้ม อัธยาศัยดี เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของแคว้นจื่อเยี่ย

คนที่สาม ท่านอวิ๋นอ๋อง ซวนหยวนชิงอวิ๋น สุภาพอ่อนน้อม เป็นองค์ชายที่อ่อนน้อมถ่อมตนที่สุดในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย เป็นอัจฉริยะอันดับสามของเมืองจื่อเยี่ย

คนที่สี่ ซวนหยวนหลี่เทียน ผ่าน!

คนที่ห้า องค์หญิงแปด ซวนหยวนเจีย ผ่าน!

คนที่ได้รับเลือกที่สำคัญก็คือองค์รัชทายาทกับอวิ๋นอ๋อง แท้จริงแล้ววันนี้นางต้องการจะมาสร้างความวุ่นวายในงาน

งานนี้ยิ่งวุ่นวายมากเท่าไหร่ยิ่งสะใจ จำเป็นต้องมีชนวนคอยนำเรื่องถึงจะได้

มู่เฉียนซีกำลังครุ่นคิดว่าจะให้ใครมาเป็นชนวนเริ่มเรื่องดี  ทันใดนั้น ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเหาะลงไปยืนกลางสนามการประลอง

สายตาของซวนหยวนจือปรากฏรอยยิ้ม

“เด็กน้อยตระกูลโอวหยาง วันนี้เจ้าขึ้นเวทีการประลอง หรือว่าต้องการให้ข้าประหลาดใจ ?”

โอวหยางเหว่ย คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลข้าหลวง เป็นหลานสาวของฮองเฮา และเป็นอัจฉริยะอันดับสี่ของแคว้นจื่อเยี่ย ไม่ต้องสงสัยว่าเป็นหญิงสาวที่สร้างความภาคภูมิใจของแคว้นจื่อเยี่ย

โอวหยางเหว่ยยิ้ม “กลัวว่าต้องทำให้ท่านลุงผิดหวังแล้ว วันนี้เหว่ยเหว่ยมีเรื่องสำคัญที่จะต้องทำ”

สายตาโอวหยางเหว่ยมองจ้องร่างของมู่เฉียนซีไม่วางตา

“ได้ข่าวว่าซีเอ๋อร์ประลองชนะเยวี่ยเจ๋อ อัจฉริยะอันดับเจ็ด ดังนั้นจึงอยากหาโอกาสมาประลองกับเจ้าบ้าง ถึงแม้พวกเราจะอายุเท่ากัน แต่เจ้าเป็นถึงผู้นำตระกูลมมู่  แน่นอนเจ้าคงมีเรื่องต้องให้สะสางอีกมาก  หากพลาดโอกาสนี้ไป ครั้งต่อไปกลัวว่าไปหาเจ้าแล้วข้าจะไม่มีโอกาส”

ซวนหยวนจือกล่าว “ได้ข่าวว่าซีเอ๋อร์ช่วงนี้การบ่มเพาะก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย ข้าก็อยากเห็นเช่นกัน เจ้ากับเหว่ยเหว่ยลองประลองกันดูก็ดี”

ทุกคนต่างงุนงง ไม่คาดคิดว่าคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลโอวหยางจะเชิญมู่เฉียนซีขึ้นมาประลองในงานเลี้ยงจื่อหยวนในค่ำคืนนี้

แสงสว่างวาบปรากฏขึ้นมาในดวงตาของมู่เฉียนซี นางเกือบจะปรบมือให้กับการกระทำของโอวหยางเหว่ยแล้ว  ช่างทำได้ดี  ช่างสอดคล้องกับความต้องการของนางจริง ๆ

นางกำลังหาชนวนเริ่มเรื่อง โอรสสององค์ของฮ่องเต้ยังไม่รู้ว่าจะเลือกคนใด   อยู่ ๆ หลานสาวของเขาก็เสนอตัวเข้ามา มันไม่ดีกว่าหรือ ?

อีกทั้ง…

สายตามู่เฉียนซีฉายแววเยือกเย็นน่ายำเกรง โอวหยางเหว่ยเป็นคนวางแผนฆ่าเจ้าของร่างคนก่อน บัญชีแค้นนี้ต้องสะสางให้ดี

มู่เฉียนซีตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “ฝ่าบาท ข้าไม่อยากประลอง มาร่วมงานนี้มิใช่ว่ามาเที่ยวเล่นหรอกหรือ ?  รบราฆ่าฟันช่างทำให้เสียบรรยากาศ”

.