ตอนที่ 56 ท่านผู้นำตระกูลมู่ช่างแข็งแกร่งนัก

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

โอวหยางเหว่ยได้ทีรีบกล่าว “อะไรกัน ซีเอ๋อร์ไม่กล้าหรือ ? กลัวแพ้ล่ะสิ ? เจ้าวางใจได้ ข้าจะออมมือให้เจ้า ไม่ใช้แรงทั้งหมดก็ยังได้”

หากนางเป็นสตรีที่อารมณ์ร้อนหุนหันพลันแล่นเช่นกาลก่อน คงรีบลุกขึ้นด้วยความโกรธไปแล้ว แต่มู่เฉียนซีผู้นี้ไม่ใช่บุคคลเช่นนั้น

“ใช้วิธีการยั่วยุเช่นนี้  ข้า ผู้นำตระกูลมู่ใช้มาจนเบื่อแล้ว” มู่เฉียนซีกล่าวดูถูกดูแคลน

ใบหน้าของโอวหยางเหว่ยแข็งทื่อไป นางเหลือบมองไปทางซวนหยวนจือเพื่อขอความช่วยเหลือ วันนี้นางจะต้องจัดการมู่เฉียนซีให้จงได้

การประลองของมู่เฉียนซีกับเยวี่ยเจ๋อ ทำให้นางรู้สึกกังวลใจ ถ้าให้เวลากับมู่เฉียนซีมากขึ้น มู่เฉียนซีอาจจะเหนือกว่านางไปแล้วก็ได้

จะต้องรีบหยุดความเป็นไปได้นี้เสียตั้งแต่ตอนนี้ ที่ยังมีเวลา

แม้ว่าวันนี้นางจะไม่สามารถฆ่ามู่เฉียนซีได้ ก็ต้องทำให้นางพิการตามอาสามของนาง แววตาของโอวหยางเหว่ยแฝงไปด้วยเจตนาสังหาร

ซวนหยวนจือกล่าวขึ้น “ซีเอ๋อร์ เจ้าช่างดูเรื่อยเปื่อยเกินไป แตกต่างจากบิดาของเจ้ามาก ไม่รู้ว่าได้นิสัยใครมา  เอาอย่างนี้ เพื่อกระตุ้นเจ้า ขอเพียงเจ้าชนะ ข้าจะให้รางวัลอย่างหนึ่งตามที่เจ้าร้องขอ”

คำขอของฮ่องเต้ คงได้ผลประโยชน์มากมาย ผู้คนต่างพากันอิจฉามู่เฉียนซี

แต่พวกเขารู้ดี มู่เฉียนซี สตรีน่าตายนางนี้ ไม่สามารถชนะได้

แม้ความสามารถของนางจะถึงขั้นระดับอัจฉริยะ แต่ได้ข่าวมาว่าโอวหยางเหว่ยก้าวเข้าสู่ผู้บำเพ็ญภูตระดับเจ็ดแล้ว มู่เฉียนซีเพิ่งจะถึงระดับหก จะประลองชนะได้อย่างไร ?

มู่เฉียนซียกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ฝ่าบาท ท่านไม่พระทัยแคบไปหน่อยรึ ? คำร้องขอเพียงแค่หนึ่งข้อเอง หากให้มาสักสามข้อ ข้าอาจจะพิจารณา”

หลังจากที่ทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็แทบกระอักเลือด นางยังสามารถร้องขอต่อฮ่องเต้ได้ โอกาสรับรางวัลจากฮ่องเต้ ไม่ใช่ผักกาดขาวที่จะหาได้ทั่วไป มู่เฉียนซีช่างกล้าหาญเสียจริง

แม้แต่ซวนหยวนจือยังไร้ซึ่งคำพูด หากแต่ใบหน้าของเขายังต้องรักษารอยยิ้มเอาไว้ “มากสุดได้สองข้อ ซีเอ๋อร์ เจ้าจะล้อเล่นมากไปไม่ได้แล้ว”

สายตาของมู่เฉียนซีฉายประกายแวววาว สองข้อก็สองข้อ กำลังเหมาะสม

นางลุกขึ้น กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตกลง! ข้ารับคำท้าของโอวหยางเหว่ย จะประลองตอนนี้เลยหรือเปล่าล่ะ ?”

ซวนหยวนจือมองหญิงสาวที่ดูสดใสนั้น ความรู้สึกว่าถูกวางแผนไว้แล้วผุดขึ้นในจิตใจ

เขารู้ความสามารถของเหว่ยเหว่ยดี มู่เฉียนซีจะชนะได้อย่างไร ? อาจเป็นเพราะเขาคิดมากจนเกินไป

ตระกูลมู่ มู่อวู่ซวง มู่เฉียนซี พวกเขาทำเกินไปจริง ๆ

คิดว่าควบคุมเส้นชีพจรเศรษฐกิจของแคว้นจื่อเยี่ยของเขาได้ โดยอาศัยมู่ออวู่ซวงที่เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแคว้น เลยไม่เห็นราชวงศ์ของเขาอยู่ในสายตา

เขายังกล้าที่จะถอนการหมั้นหมายกับองค์ชายหลี่เทียน บุตรของเขา ทำให้องค์ชายที่เขาโปรดปรานต้องอัปยศอดสู อับอายผู้คนไปทั่วทั้งแคว้น

วันนี้สามารถยืมมือเหว่ยเหว่ยหลานสาวสั่งสอนบทเรียนให้พวกเขาได้ เป็นโอกาสอันดีแล้ว

แม้ว่ามู่อวู่ซวงจะโกรธ ก็ต้องโทษที่ตระกูลโอวหยาง ไม่ใช่ราชวงศ์ของเขา

ผู้นำตระกูลโอวหยางทอดถอนใจ “เหว่ยเหว่ยยังหุนหันพลันแล่นเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง”

ฮ่องเต้ไร้ปรานี ไม่ว่าจะเป็นญาติหรือกระทั่งภรรยา ต่างเป็นแค่หมากเบี้ยในกระดานของเขาเท่านั้นเอง

หากมู่เฉียนซีก่อให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมา ตระกูลโอวหยางของพวกเขาคงเป็นแพะรับบาปรองรับความโกรธแค้นของมู่อวู่ซวง ผู้เยี่ยมยุทธ์อันดับหนึ่งของแคว้นจื่อเยี่ย

โอวหยางจื่อ คุณชายใหญ่แห่งตระกูลโอวหยางกล่าว “ท่านพ่อ ตระกูลโอวหยางของพวกเรายังจะต้องกลัวตระกูลมู่อยู่อีกหรือ ?”

“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เหว่ยเหว่ยจะต้องจัดการมู่เฉียนซีให้ได้” โอวหยางจูกล่าวด้วยความเกรี้ยวกราด

“พี่ใหญ่ มีปัญหาอะไรไหม ?” เยวี่ยเจ๋อขมวดคิ้วถาม

โอวหยางเหว่ยอยู่ในอันดับที่สี่ในการจัดอันดับอัจฉริยะของแคว้นจื่อเยี่ย โดยมีความแข็งแกร่งเป็นถึงผู้บำเพ็ญภูตระดับเจ็ด มีระดับสูงกว่าพี่ใหญ่ถึงหนึ่งระดับ

ยิ่งกว่านั้น ตระกูลโอวหยางมีอำนาจอันล้นฟ้า  โอวหยางเหว่ย สตรีแสนหยิ่งยโสผู้นี้ อาจจะมีแผนการอื่นในใจ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการนาง

มู่เฉียนซียิ้ม กล่าวขึ้น “ไม่ต้องห่วง พี่ใหญ่ของเจ้าไม่เคยทำเรื่องอะไรที่ไม่มั่นใจมาก่อน”

โอวหยางเหว่ยกล่าวเสียงกร้าว “ประลองตอนนี้ มู่เฉียนซี เจ้าขึ้นมาประลองซะ!”

โอวหยางเหว่ยไม่สามารถรอที่จะทรมานมู่เฉียนซีให้ตาย  ครั้งก่อนนางไม่ตาย ถือว่าโชคดีของนางไป แต่ครั้งนี้ต้องไม่ให้นางรอดไปได้ ตัวน่ารำคาญในชีวิตโอวหยางเหว่ย ต้องถูกกำจัดให้สิ้นซาก

ร่างของมู่เฉียนซีกระโดดขึ้นไปยังลานประลองการต่อสู้อย่างเอื่อยเฉื่อย นางดูไม่ทุกข์ร้อนราวกับนางเพียงก้าวขึ้นบนเตียงนอนเพื่อหลับพักผ่อน

ซวนหยวนจือกล่าว “เมื่อถึงที่สุดก็ให้หยุด อย่าได้มีการบาดเจ็บถึงชีวิต”

หากมู่เฉียนซีตายไป ด้วยความรักและเอ็นดูที่มู่อวู่ซวงมีต่อมู่เฉียนซี เขากลัวว่ามู่อวู่ซวงจะทำเรื่องบ้าคลั่งขึ้น บางทีอาจจะดึงแคว้นจื่อเยี่ยมาชดใช้ไปด้วยก็เป็นไปได้

มีคำประกาศออกมาเช่นนี้ ดังนั้นชีวิตน้อย ๆ ของมู่เฉียนซีจะต้องถูกเก็บเอาไว้

ด้านบนลานเวทีประลองของตำหนักจื่อจี หญิงสาวสองนางยืนประจันหน้ากัน ก่อให้เกิดภาพที่สวยงาม

สตรีร่างบางในชุดม่วงนั้น ไม่มีใครเทียบได้ นางดูอิสระไร้ซึ่งกฎเกณฑ์

ส่วนสตรีในชุดแดง ก็งดงามเช่นกัน เพียงแต่ยังเป็นรอง นางดูหยิ่งผยองเชื่อมั่นในตนเอง

ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้นำตระกูลที่อายุน้อยที่สุดของแคว้น อีกฝ่ายหนึ่งเป็นหญิงสาวอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงของแคว้นจื่อเยี่ย การประลองในครั้งนี้ ผู้คนต่างตั้งหน้าตั้งตารอดูอย่างใจจดใจจ่อยิ่งนัก

ในเวลานี้ที่เปลือกตาของจิ่วเยี่ยเปิดขึ้นเล็กน้อย บุรุษชุดดำจ้องมองไปยังร่างของมู่เฉียนซีอย่างไม่ละสายตาไปไหน

“มู่เฉียนซี ข้าจะลงมือแล้ว ตั้งรับให้ดีเถอะ!”

สายตาของโอวหยางเหว่ยฉายแสงอันเยือกเย็น เมื่อเอ่ยออกไป พลังวิญญาณที่อยู่ในร่างปะทุออกมาอย่างบ้าคลั่ง

“โอ้! ผู้บำเพ็ญภูตระดับเจ็ดขั้นสูงสุด โอวหยางเหว่ยไต่ระดับขั้นได้เร็วมาก”

“อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ไม่เสียแรงที่เป็นอัจฉริยะระดับสี่ของแคว้นจื่อเยี่ย ช่างน่าทึ่ง”

“…”

ทุกคนต่างถอนหายใจในพรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะของโอวหยางเหว่ย ช่างทำให้ผู้คนตกตะลึงดีเสียจริง

การโจมตีของโอวหยางเหว่ยกำลังจะถึงตัวมู่เฉียนซี ตอนนี้เองที่มู่เฉียนซีเหมือนจะมีปฏิกิริยาโจมตีออกไป อนิจจา นางดูไม่เร่งรีบเลย

ไม่รีบ…  ไม่ตระหนกตกตื่น…  ไม่แยแส…

— ตูม! —

เมื่อสองพลังมาปะทะกัน พวกนางสองคนต่างก็ต้องถอยหลังไปสองสามก้าว

“มันเกิดอะไรขึ้น ? มู่เฉียนซีเพิ่งจะระดับหกเอง เหตุใดตอนปะทะกับโอวหยางเหว่ยถึงสูสีกันนัก”

“ต้องเป็นเพราะคุณหนูโอวหยางแค่อยากจะทดสอบเฉย ๆ ยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดเป็นแน่”

“มันก็ไม่แน่เสมอไป บางทีผู้นำตระกูลมู่ผู้นี้อาจจะซ่อนเร้นอะไรไว้ก็เป็นได้”

ผู้คนที่อยู่ด้านล่าง ต่างพากันพูดคุยกระซิบกระซาบถึงความเป็นไปได้

สายตาของโอวหยางเหว่ยเริ่มเคร่งขรึมขึ้นเรื่อย ๆ “หึ! ดูเหมือนข้าคงประเมินเจ้าต่ำเกินไปจริง ๆ สามารถที่จะชนะเยวี่ยเจ๋อได้ ความสามารถของเจ้าคงไม่ใช่แค่ผู้บำเพ็ญภูตระดับหกธรรมดา ๆ”

โอวหยางเหว่ยสะบัดมือออก ทันใดนั้น ใบมีดขนาดใหญ่สีแดงดั่งเพลิงพลันปรากฏแก่ทุกสายตา ความยาวขนาดเท่ากับความสูงของนาง นางฟาดฟันออกไปรวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาด ตรงเข้าจู่โจมมู่เฉียนซี

เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่รวดเร็วนี้ มู่เฉียนซีก็พลิกตัวหลบไปด้านข้าง

— ปัง ! —

การโจมตีของโอวหยางเหว่ยทำลายเวทีที่งดงามของตำหนักจื่อจีจนแตกออกเป็นร่องใหญ่

โอวหยางเหว่ยตะโกน “มู่เฉียนซี! ข้าจะดูว่าเจ้าจะหลบไปได้ถึงเมื่อไหร่กัน ?!”

“เฉือนโลกา!” เสียงสตรีชุดแดงตะโกนก้องสะท้อน เสียงทรงอำนาจจนคนฟังประหนึ่งได้ยินเสียง กา ๆ ๆ ตามท้ายอีกหลายที

ใบมีดเล่มแดงดั่งเปลวเพลิงนี้ ราวกับว่าจะสามารถแยกทั้งจักรวาล  ไล่ตามร่างสีม่วงไปอย่างดุเดือด

“ใบมีดนั้นร้ายกาจแล้วอย่างนั้นรึ ?!”  มู่เฉียนซีกล่าวเย้ย  สะบัดมือ ก็มีกระบี่ยาวปรากฏขึ้นในมือนาง

นี่คืออาวุธวิญญาณระดับหก เป็นหนึ่งในอาวุธวิญญาณที่นางประมูลได้มาจากบ้านประมูลอันดับหนึ่ง

— เคร๊ง! —

อาวุธทั้งสองปะทะกัน ก่อให้เกิดประกายไฟออกมาอย่างรุนแรง

โอวหยางเหว่ยส่งเสียงออกมาอย่างเย็นชา พลังวิญญาณของนางปะทุจนขีดสุด เงาใบมีดจากหนึ่งเปลี่ยนเป็นสาม

นางคิดว่ามู่เฉียนซีจะต้องบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่  ด้วยความภูมิใจล้นเปี่ยมในตัวนาง นางไม่น่าคาดเดาสิ่งใดผิดพลาด แต่สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาตรงหน้าของนางคือ… เงากระบี่ที่แบ่งร่างเดิมจากหนึ่งออกเป็น…

สิบ!

“เป็นไปได้อย่างไร ?!” โอวหยางเหว่ยไม่สามารถที่จะหลบหลีกเงากระบี่ทั้งสิบในระยะประชิดเช่นนี้ได้ทัน

— ตูม!  ตูม! —

หลังจากเกิดเสียงดังขึ้นสองครั้ง มู่เฉียนซีสามารถหลบเงามีดสามอันนั้นได้อย่างสบาย ไม่มีร่องรอยของความยากลำบากแม้เพียงนิด

แต่โอวหยางเหว่ยกลับตกอยู่ในสภาพน่าสังเวช ชุดกระโปรงอันประณีต บัดนี้ขาด ๆ วิ่น ๆ เป็นรู ๆ หกเจ็ดรู เผยให้เห็นผิวขาวเนียนราวหิมะใต้ร่มผ้า

“มู่เฉียนซีระดับหกประลองกับคุณหนูใหญ่โอวหยางระดับเจ็ด อีกทั้งยังแข็งแกร่งมากกว่าอีก ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ” ฝูงชนพากันเบิกตาปากอ้ากว้าง

.