ตอนที่ 92 อาจารย์เฉา

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

ในชั่วขณะที่เห็นสตรีผู้นั้นคุยกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตกอยู่ในภวังค์ ทั้งท่าทางการนั่ง กิริยาท่าทาง ท่วงท่าสบายๆ เครื่องแต่งกายที่เรียบร้อยแต่ไม่หรูหรา เป็นธรรมชาติและมีน้ำใจกลับแต่งหน้าได้ประณีตงดงาม ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์คุ้นเคยอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เพราะน้ำเสียงทุ้มเล็กน้อยและหน้าตาที่แตกต่างกันอย่างแน่นอน เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะคิดว่าเป็นจงเสวี่ยฉิงที่นั่งอยู่ตรงนั้น

“พี่สะใภ้ เจ้าเป็นอะไรไป?” เสียงของจิงอิ๋งปลุกเยี่ยนมี่เอ๋อร์จากภวังค์ นางได้สติ เมื่อมองอีกครั้ง ท่าทางและมารยาทคล้ายกับจงเสวี่ยฉิงที่ไม่ได้คุยกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อแล้ว แต่มองมาที่ตัวเองอย่างจริงจัง ทั้งแปลกใจ คิดถึงและเศร้า…อารมณ์ที่ซับซ้อนสอดประสานกันอยู่ในดวงตา แต่ใบหน้ายังคงสงบนิ่ง

“ข้า…” จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็รู้สึกใบหน้าเย็นวูบ จึงยื่นมือออกไปสัมผัส แต่ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่น้ำตาเล็ดลอดไหลออกมาอย่างเงียบๆ จื่อหลัวยื่นผ้าเช็ดหน้าและซับน้ำตาให้แห้ง แล้วกล่าวขอโทษว่า “ขอโทษ ข้าเสียมารยาท!”

“ไม่โทษเจ้าหรอก ตอนที่ข้าพบอาจารย์เฉาครั้งแรกก็มีภาพลวงตาเช่นนั้น!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเข้าใจว่าทำไมเยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงไม่สามารถควบคุมได้ และเข้าใจอารมณ์ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ดี แล้วเล่าด้วยความคิดถึงอย่างไม่สิ้นสุดว่า “อาจารย์เฉามีท่าทีและมารยาทคล้ายกับคุณหนูฉิงมากทีเดียว ถ้าไม่ใช่ใบหน้าและเสียงที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ข้าคงคิดว่าได้เจอคุณหนูฉิงแน่เลย!”

“ท่านคือเยี่ยนมี่เอ๋อร์ลูกสาวของคุณหนูฉิงหรือ?” แม้จะเป็นคำถาม แต่น้ำเสียงของอาจารย์เฉาก็แน่ใจอย่างมากพลางกล่าวว่า “ข้าคิดอยู่เสมอว่าลูกสาวของคุณหนูฉิงจะเป็นอย่างไร ก็คิดว่าท่านกับคุณหนูฉิงสวยอยู่แล้ว แต่ก็ยังตกตะลึงจนได้”

“อาจารย์รู้จักท่านแม่ของข้าหรือ?” ในใจของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่สงสัยอีกต่อไป ยกเว้นใบหน้าและเสียงของนางแล้ว แม้กระทั่งน้ำเสียงที่พูดคุยและโทนเสียงนั้นคล้ายคลึงกับจงเสวี่ยฉิงมาก พูดได้ว่าทั้งสองคนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน เพียงแค่ทั้งคู่รู้จักกันก็เหลือเชื่อแล้ว แต่เหตุใดอาจารย์เฉาที่มีชื่อเสียงดังระบือผู้นี้จึงใช้คำพูดที่ให้เกียรติกับตัวเองเล่า? นางสนิทกับท่านแม่ถึงขั้นไหนกันแน่?

“ใช่แล้ว!” อาจารย์เฉาตอบอย่างทอดถอนใจแล้วพูดว่า “ข้ากับคุณหนูฉิงแตกต่างกัน ท่านเรียกชื่อของข้าว่าเฉาซื่ออี๋ได้โดยตรง แน่นอนว่าถ้ารู้สึกไม่ดีอะไรแบบนั้น จะเรียกข้าว่าป้าเฉาหรือแม่นมเฉาก็ได้!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตกตะลึง เฉาซื่ออี๋หมายความว่าอย่างไร ท่าทีเช่นนี้ดูออกจะอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นไปได้ไหมที่นางเคยเป็นคนรับใช้อยู่ข้างกายท่านแม่? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ

“มี่เอ๋อร์ อาจารย์เฉาเพิ่งบอกหยกๆ ว่านางสนิทสนมกับน้องฉิง ทั้งยังบอกอีกว่าแม่นมฉินก็เป็นคนที่คุ้นเคยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นเจ้าจะส่งคนไปเชิญแม่นมฉินมาคุยเรื่องอดีตก็ได้?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็กังขาเช่นนั้นเหมือนกัน แต่อธิบายยาก นางก็ไม่แน่ใจว่าอาจารย์เฉากับจงเสวี่ยฉิงเป็นคนรู้จักเก่ากัน การเขียนจดหมายหยั่งเชิงก็เป็นเพียงการกระทำที่จนปัญญา ชื่อเสียงของจิงอิ๋งไม่ดีในหมู่ตระกูลชนชั้นสูง พูดให้ไพเราะก็คือเถรตรง น่าเอ็นดูและมีชีวิตชีวา ถ้าพูดไม่เพราะก็คือประมาทเลินเล่อ ชอบก่อเรื่องและไม่มีการศึกษา ถ้าได้อาจารย์เฉามาอบรมขัดเกลาเป็นการส่วนตัว ต่อให้จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ตาม ก็ยังจะมีชื่อ เสียงดีขึ้น ทว่าซั่งกวนเจวี๋ยปฏิเสธ หาคนมาพูดทัดทานก็ไม่ได้ผลอะไร มีคนจากตระกูลหวงฝู่มาแจ้งข่าวว่า พ่อบุญธรรมของนางท่านปรมาจารย์เฉามู่ฮุ่ยซึ่งเคยสอนหญิงสูงศักดิ์ที่มีชื่อเสียงหลายคนในเซิ่งจิง ฮูหยินชุยเป็นหนึ่งในนั้นด้วย มิฉะนั้นก็เชิญฮูหยินชุยมาถามไถ่ได้

หวงฝู่เยวี่ยเอ้อปฏิเสธข้อเสนอนี้ลูกเดียว ฮูหยินชุยและนางค่อนข้างคุ้นเคยกัน ลูกๆ ก็มากินแหนงแคลงใจกัน นางรู้ดีว่าลูกสาวคนโตของบ้านหลังที่สองของคุณหนูใหญ่ตระกูลชุยในยามนั้นได้ชุยหรูหลินอุปการะเลี้ยงดูถึงจะได้อาจารย์เฉามาอบรมสั่งสอน ซึ่งต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก ถ้าฮูหยินชุยมีมิตรภาพกับอาจารย์เฉาจนถึงขั้นนั้นได้ ฮูหยินชุยก็น่าจะใช้เรื่องนี้ป่าวประกาศไปตั้งนานแล้วเป็นแน่

ไม่ว่าจงเสวี่ยฉิงจะได้รับการสั่งสอนจากท่านปรมาจารย์เฉามู่ฮุ่ยหรือไม่ หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่รู้เลย แต่คิดว่าทั้งสองคนอายุไล่เลี่ยกันและทั้งคู่เติบโตในเซิ่งจิง ในเมื่อท่านปรมาจารย์เฉามู่ฮุ่ยได้สอนกุลธิดาหลายคนในเซิ่งจิงเองกับมือ จงเสวี่ยฉิงอาจ จะเป็นหนึ่งในนั้นด้วย หรือแม้แต่เป็นคนที่โดดเด่นที่สุด เช่นนั้นทั้งสองคนก็อาจจะรู้จักกัน จึงใช้เรื่องที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลายเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวนมาทดสอบอาจารย์เฉา…ถ้าสองคนรู้จักกัน ด้วยนิสัยใจคอของจงเสวี่ยฉิง หากมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลนี้ นางจะให้เกียรติอย่างไม่ลังเล สัญญาว่าจะสอนจิงอิ๋ง หรือถ้าเป็นคนที่เกลียดชังจงเสวี่ยฉิงมาก จะไม่ตกปากรับคำก็เป็นเรื่องธรรมดา ถ้านางปฏิเสธ การทดสอบเช่นนี้ก็เป็นเพียงการดันทุรังเท่านั้นเอง การที่อาจารย์เฉาตกลงสอนจิงอิ๋งก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดคิด แต่ไม่นึกเลยว่านางจะรีบมาลี่โจวเป็นการส่วนตัว รีบมาที่ตระกูลซั่งกวนซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญที่ไม่คาดฝัน ส่วนในตอนนี้นางพูดกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ตามความเป็นจริง ไม่ใช่เหตุการณ์เกินคาดแต่น่าตกใจมากกว่า

“ไม่ต้องรีบร้อน!” อาจารย์เฉาซื่ออี๋พูดกลั้วหัวเราะว่า “แม่นมฉินเป็นผู้อาวุโส ข้าควรไปหานางถึงจะถูก จะให้นางที่ชราภาพมาพบข้าไม่ได้ เรามาจัดการเรื่องของคุณหนูรองก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ ข้ายังมีอีกหลายเรื่องอยากคุยกับสะใภ้ใหญ่”

“เอาล่ะ! จิงอิ๋ง ยังไม่มาคารวะอาจารย์เฉาอีก!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อยังคงกังวลเรื่องของลูกสาวมากขึ้น เมื่อเห็นเฉาซื่ออี๋ไม่เต็มใจจะพูดถึงเรื่องนี้ จึงไม่ได้ถามให้มากความ ก็ทำตามคำพูดนั้นแล้วเรียกจิงอิ๋งที่ยืนอยู่ข้างๆ มาทันที

“ซั่งกวนจิงอิ๋งน้อมคำนับอาจารย์!” จิงอิ๋งติดตามเยี่ยนมี่เอ๋อร์มาเดือนกว่า ด้วยกิริยามารยาทที่ค่อนข้างสุภาพเรียบร้อยที่ได้ผ่านหูผ่านมา จึงแสดงความเคารพเฉาซื่ออี๋อย่างนอบน้อมโดยพลัน

“อืม…” เฉาซื่ออี๋พยักหน้าอย่างพึงพอใจ แม้จะยังไม่ตรงตามมาตรฐานของนาง แต่นางก็รู้ว่ามาตรฐานของตนนั้นเข้มงวดเพียงใด มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ จิงอิ๋งที่ถูกบรรดาหญิงชนชั้นสูงเรียกกันเองว่าเด็กแสบไร้มารยาท ทำได้แบบนี้ก็เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเลย แต่นางยิ้มแล้วมองไปที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์พลางเอ่ยขึ้นว่า “สะใภ้ใหญ่ คุณหนูรองได้เรียนรู้มารยาทเมื่ออยู่ใกล้ๆ เจ้าบ้างแล้วกระมัง”

“เด็กคนนี้ร่าเริงแจ่มใสซุกซนไปตามภาษาอยู่บ้าง แต่ฉลาดมาก เข้าใจทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นางอยู่ข้างกายข้าเฉพาะในช่วงเวลานี้หลังจากข้าแต่งกับสามี ไม่ได้สอนนางเป็นพิเศษ แค่ชี้แนะไปสองสามคำแล้วแต่โอกาสเท่านั้นเอง”

“ไม่ทราบว่าสะใภ้ใหญ่เรียนมารยาทจากคุณหนูฉิงสอนเองเลยหรือไม่?” เฉาซื่ออี๋ถามในทันใด

“ถูกต้อง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มพลางผงกศีรษะว่า “ท่านแม่เข้มงวดกับข้ามาก ตั้งแต่จำความได้ก็เริ่มเรียนรู้มารยาท อาจเพราะเป็นเด็ก จึงเรียนรู้ค่อนข้างเร็วขึ้นและไม่รู้สึกยาก”

“คุณหนูฉิงเข้มงวดมากเสมอมา” เฉาซื่ออี๋พูดด้วยความรู้สึกลึกๆ แล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าแม้คุณหนูรองจะดูมีชีวิตชีวาไปหน่อย แต่เป็นคนหัวไว เช่นนั้นอีกสองวันก็จัดพิธีไหว้ครูแบบเรียบง่าย แล้วตามข้ากลับไปที่เซิ่งจิง!”

“แล้วแต่อาจารย์จะเห็นสมควร!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อดีใจมาก ควรรู้ไว้ว่าอาจารย์เฉาไม่ได้เอ่ยปากให้จิงอิ๋งจัดพิธีไหว้ครูมาก่อน ในกรณีนี้ต่อให้จะได้รับการสอนเพียงครึ่งปีก็ถือได้ว่าเป็นศิษย์ที่ฝากเนื้อฝากตัวแล้ว ดีกว่าคนในสำนักดรุณีเหล่านั้นเล็กน้อย แต่ตอนนี้ไม่นึกว่าอาจารย์เฉาจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากเอง บอกให้เตรียมตัวจัดพิธีไหว้ครูย่อมเป็นเรื่องที่ปลื้มปีติยิ่งนัก

“ขอบพระคุณอาจารย์ที่เมตตา!” จิงอิ๋งเต็มไปด้วยความสุข ไม่ต้องให้ใครมาเตือนใดๆ นางคุกเข่าลงต่อหน้าเฉาซื่ออี๋ทันที โขกศีรษะคำนับด้วยความเคารพ เรียกอาจารย์ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ

“เป็นเด็กฉลาดดังคาด!” เฉาซื่ออี๋ดูเหมือนจะชอบจิงอิ๋งมาก ทั้งยิ้มและกล่าวชมเชย

“จิงอิ๋งเฉลียวฉลาด แต่บางครั้งก็ขี้เล่นมากไปหน่อย อาจารย์ได้โปรดยกโทษให้ด้วย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงไม่เรียกป้าเฉาหรืออะไรทำนองนั้น ยังเรียกว่า ‘อาจารย์’ เช่นเดิม สายตาที่มองจิงอิ๋งเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู

“ดูท่าสะใภ้ใหญ่กับจิงอิ๋งจะสนิทกันมากทีเดียว!” อาจารย์เฉาค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อย ไม่คาดคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะพูดแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นห่วงว่าตนจะเข้มงวดกวดขันนาง กลายเป็นหญิงสูงศักดิ์ต้นแบบหรือปล่อยให้นางระเบิดอารมณ์เต็มที่ จึงคลี่ยิ้มพูดว่า “สะใภ้ใหญ่ไม่ต้องห่วง ข้าเชี่ยวชาญการเลือกใช้วิธีสอนที่เหมาะสมกับแต่ละคน แล้วจะส่งจิงอิ๋งที่ยังคงมีชีวิตชีวาเช่นนี้กลับมาในอีกครึ่งปีแน่นอน!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์หยัดกายขึ้นอย่างระมัดระวัง โค้งคำนับให้เฉาซื่ออี๋เพียงครึ่งเดียว พลางกล่าวว่า “มี่เอ๋อร์เรียกร้องมากเกินไป แต่น้องสามีทั้งสองเป็นน้องสาวที่รู้ใจมี่เอ๋อร์ที่สุด มี่เอ๋อร์อยากให้พวกนางเป็นคนที่มีศักดิ์ศรีและมีน้ำใจ ไม่อยากให้พวกนางกลายเป็นคนไร้วิญญาณ จึงต้องรบกวนอาจารย์แล้ว”

“ท่านทำให้ข้าลำบากใจจริงๆ!” เฉาซื่ออี๋ยิ้มส่ายหัวพลางกล่าวว่า “ข้ายอมรับหน้าที่ดูแลคุณหนูผู้หนึ่งเท่านั้น ท่านบังเอิญพูดว่าน้องสาวทั้งสองเช่นนั้น ก็ได้ ถ้าคุณหนูใหญ่ต้องการ ก็กลับไปที่เซิ่งจิงพร้อมกับข้าด้วยเลย! จำได้ว่าคุณหนูฉิงบอกว่า คนหนึ่งสอนได้ สองคนก็เรียนด้วย สอนอีกสองสามคนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วจะเกิดประโยชน์สูงสุดได้!”

หวงฝู่เยวี่ยเอ้อสุขใจยิ่งนักหลังจากตะลึงงัน ไม่คิดว่าอาจารย์เฉาจะฝืนธรรมเนียมที่จะไม่รับลูกศิษย์สองคนในตระกูลเดียวกัน แล้วเต็มใจจะสอนหลิงหลงด้วย ควรรู้ไว้ว่าตระกูลชุยเป็นคนที่จู้จี้จุกจิกในเรื่องมารยาทเหล่านี้มากที่สุด หวงฝู่เยวี่ยเอ้อยังคงต้องปวดหัวกับการหาแม่นมเลี้ยงดูที่เหมาะสมสำหรับหลิงหลงด้วยซ้ำ!

“ขอบพระคุณอาจารย์!” แม้หลิงหลงจะไม่รู้สึกประหลาดใจเท่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ แต่ก็รู้ว่านี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก จึงโขกศีรษะคำนับเฉาซื่ออี๋ทันที

“ข้ารู้ว่าเจ้ามีสัญญาแต่งงานกับตระกูลชุย เจ้าไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว มีกำหนดจะแต่งงานเข้าตระกูลชุยในปีนี้หรือต้นปีหน้าใช่หรือไม่?” เฉาซื่ออี๋เข้าใจเรื่องของตระกูลซั่งกวนอย่างชัดเจน

“ปลายเดือนเก้าปีนี้…” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวอย่างวิตกเล็กน้อยว่า “ไม่ทราบว่าเวลาจะกระชั้นชิดไปหน่อยหรือไม่?”

“กระชั้นชิดไปหน่อย” เฉาซื่ออี๋คิดสักพักแล้วตอบว่า “แต่ไม่เป็นไร จิงอิ๋งจะมีเวลานานกว่า กำหนดไว้สิบเดือนคร่าวๆ ข้าจะได้มีเวลาสอนหลิงหลง ข้ารู้นิสัยของฮูหยินชุยดี นางเรียนมารยาทไม่ค่อยเก่ง แต่เป็นคนรักหน้าตาชอบคอยจับผิด นับๆ ดูแล้วหลิงหลงมีเวลาอยู่กับข้าแค่ห้าเดือนกว่าๆ ไม่ถึงหกเดือน ถ้าอยากจะเรียนจนทำให้ฮูหยินชุยหาที่ติไม่ได้ อาจต้องขยันให้มากขึ้นอีกสักหน่อย!”

“ตราบใดที่ทำให้แม่สามีในอนาคตไม่จู้จี้จุกจิก ขยันมากหน่อยก็ไม่เป็นไร! ได้เรียนรู้กับอาจารย์เฉาก็ต้องอดทน เป็นเรื่องดีที่สตรีผู้สูงศักดิ์หลายคนอยากได้แต่เอื้อมไม่ถึงเชียวนะ” ไหนเลยหวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะกังวลว่าหลิงหลงจะลำบากอะไรหรือไม่ นี่เป็นเรื่องดีที่สวรรค์ประทานให้!

“หลิงหลงไม่กลัวลำบาก แต่ตัดใจจากพี่สะใภ้ไม่ได้นิดหน่อย!” จู่ๆ หลิงหลงก็ไม่อยากไปเสียอย่างนั้น ทันใดนั้นก็คิดว่า “ไม่อย่างนั้นพี่สะใภ้ก็ไปเซิ่งจิงด้วยกันเลย ตระกูลซั่งกวนก็มีกิจการอยู่ในเซิ่งจิงด้วย พี่สะใภ้ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะไม่สะดวก”

“เจ้าน่ะ พอคิดว่าจะไปก็จะไปเสียให้ได้ พี่สะใภ้ไปกับพวกเจ้าไม่ได้หรอก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำอะไรไม่ถูกกับจินตนาการแปลกๆ ของนาง และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าข้าไป พวกเจ้ายังจะเรียนด้วยความสบายใจได้ไหม? อย่าคิดแต่เรื่องเหลวไหล”

“ถ้าเช่นนั้นก็ตกลงตามนี้!” เฉาซื่ออี๋พูดอย่างเรียบง่ายว่า “พิธีไหว้ครูของหลิงหลงเลื่อนออกไปก่อน ถ้าอีกห้าเดือนต่อมา ทำให้ข้าพอใจได้ ข้าจะจัดพิธีไหว้ครูให้นางเช่นกัน จะไม่ให้ผู้คนครหาว่าข้าทำผิดกฎที่ตั้งไว้ รับคุณหนูทั้งสองจากตระกูลซั่งกวนพร้อมกัน”

“แล้วแต่อาจารย์จะเห็นสมควร!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่ขัดข้อง นางรู้กฎของเฉาซื่ออี๋ การได้รับประโยชน์จริงๆ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เรื่องอื่นๆ ค่อยว่ากันก็ยังไม่สายเกินไป

“ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็จบแล้ว ถึงเวลาเรื่องส่วนตัวของข้า” เฉาซื่ออี๋ยิ้มและยืนขึ้น หันไปโค้งตัวอย่างสุภาพเล็กน้อยให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์แล้วพูดว่า “สะใภ้ใหญ่ ไม่ทราบว่าจะสะดวกเมื่อใด เชิญนัดเวลา ข้าจะไปเยี่ยมท่านกับแม่นมฉินทั้งสองท่าน”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์คำนับกลับแล้วตอบว่า “อาจารย์เดินทางมาไกลน่าจะเหนื่อยมาก หลังจากที่อาจารย์พักผ่อนอย่างเต็มที่ มี่เอ๋อร์จะอยู่คอยต้อนรับอาจารย์!”

“ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ข้ากินอาหารเช้าเสร็จ ข้าจะไปเยี่ยมท่านกับแม่นมฉินทั้งสองท่านตอนยามซื่อ[1] ท่านคิดว่าอย่างไร?” เฉาซื่ออี๋ถามความคิดเห็นของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างสุภาพ

“ตามที่อาจารย์พูด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ทั้งสองท่านหรือ? นางย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าทั้งสองท่านหมายถึงอะไร? เป็นไปได้ไหมที่กังวลว่าป้าเซียงจะโผล่มา นางรู้ความลับบางอย่างหรือไม่?

———————————-

[1] ยามซื่อ หมายถึงเวลา 9.00 – 11.00 น.