ตอนที่ 86 ศึกชิงจื่อฉี

แม่ครัวยอดเซียน

ตอนที่ 86 ศึกชิงจื่อฉี Ink Stone_Romance

“เกิดอะไรขึ้น” หลงเหวินเซวียนขมวดคิ้วมองดูคนทั้งสองที่เหมือนกำลังจะทะเลาะกัน

“เหวินเซวียน เด็กเสื้อสีม่วงนั้นคือกิเลนแปลงกาย บอกให้หลิวหลีหยุดเถอะ ข้าจะพาเขากลับสกุลจ้าน เพื่อไปพบหัวหน้าเผ่ากิเลน” จ้านเฟิ่งอวี้เพิ่งได้รับข่าวจากจ้านเฟิงจวิน ว่าด้านล่างลานประลองมีกิเลนอยู่ อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้ว่าจะอสูรเทพกลายพันธุ์

“เรื่องนี้ ข้าคงตัดสินใจไม่ได้” หลงเหวินเซวียนส่ายหัว

“เจ้าพูดอะไรนะ กิเลนตัวนี้เจ้าเป็นคนเลี้ยงหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน” จ้านอวิ๋นจิ่งเหมือนได้ฟังเรื่องตลก

“จื่อฉี เจ้าเรียกข้าว่าอะไร?” คนสกุลจ้านไม่ใช่คนดีอะไรจริง ๆ ด้วย

“ท่านพี่ อยู่ดีๆเขาก็จะมาจับข้า ข้าเป็นกิเลนแล้วทำไม เป็นกิเลนแล้วต้องกลับไปกับเขาเหรอ” เมื่อจื่อฉีเห็นหลิวหลีมา ก็เริ่มมีปากมีเสียง

“ได้ยินแล้วก็รีบไสหัวออกไป” จ้านอวิ๋นจิ่งสีหน้าไม่สู้ดีนัก จะให้สู้ก็สู้แม่นี่ไม่ได้ จะทำอย่างไรดี

“หลงหลิวหลี ขึ้นลานประลองมาจับสลาก ไม่เช่นนั้นจะถือว่าสละสิทธิ์” กรรมการตะโกนขึ้น สายตาของจ้านอวิ๋นจิ่งเป็นประกาย ได้โอกาสแล้ว

หลิวหลีจับจื่อฉีแน่นแล้วไปจับสลาก ปล่อยให้จ้านอวิ๋นจิ่งได้ใจครู่หนึ่ง หลิวหลีจับสลากขึ้นมาอันหนึ่ง เป็นสลากว่าง

“หลงหลิวหลีไม่ต้องแข่งขัน ฮัวจิงหงปะทะหนานกงเวิ่นเทียน จ้านอวิ๋นจุนปะทะหลินเสี่ยวเจียง”

เมื่อไม่ต้องทำการแข่งขัน หลิวหลีก็จับจื่อฉีไม่ยอมปล่อย ถ้าหากไม่กลัวว่าคนอื่นจะรู้เรื่องมิติ นางคงเก็บจื่อฉีเข้าไปนานแล้ว หลิวหลีทำหน้าบึ้งตึง สีหน้าเย็นชาของหลิวหลี ทำให้ทุกคนพยายามออกห่างจากนางโดยไม่รู้ตัว

จ้านเฟิงจวินเห็นเข้าก็รู้สึกหงุดหงิด จึงเดินลงจากเวทีไปอย่างไม่สนใจอะไร สีหน้าเหวินเซวียนไม่สู้ดีนัก

“เฟิงอวี้ พวกเจ้าทำเกินไปแล้ว”

“ฮ่าฮ่า พี่เหวินเซวียน อย่าเพิ่งโมโห เฟิงจวินแค่ลงไปพูดคุยเฉย ๆ ไม่ลงมือหรอก” จ้านเฟิงอวี้พูดห้ามปราม แต่เดี๋ยวอีกสักครู่จ้านเฟิงอวี้จะรู้สึกปวดขึ้นที่หน้า หน้าตาสกุลจ้านในวันนี้ถูกเหยียบเสียแทบจะจมดิน ที่หนักเลยก็คือ หลังจากนี้ ไม่ว่าหลิวหลีจะมองบ้านสกุลจ้านอย่างไร ก็รู้สึกขวางหูขวางตา

“ผู้น้อย เจ้าเป็นคนสกุลหลง กิเลนไม่มีประโยชน์กับต่อเจ้า ส่งกิเลนมา” จ้านเฟิงอวี้มองหลิวหลีที่อยู่ด้านล่างแล้วออกคำสั่ง สายตาอำมหิตของนางทำให้หลิวหลีรู้สึกประหลาดใจ นางเป็นใครกัน พวกนางมีความแค้นอะไรต่อกันงั้นหรอ

“ใครบอกว่าจะต้องมีประโยชน์ถึงอยู่ด้วยกันได้ ข้าเป็นคนดูแลจื่อฉีมาตั้งแต่เกิด เจ้าบอกว่าเขาเป็นกิเลนก็จะต้องไปกับเจ้า เจ้าเป็นใครหรอ หน้าใหญ่ขนาดนี้” หลิวหลีไม่เล่นด้วยหรอก

“ฮ่าฮ่า เจ้ามันก็เหมือนแม่เจ้าไม่มีผิด ปากดีจริง ๆ” จ้านเฟิงจวินเสียดสี

“เจ้าว่าอะไรนะ” หลิวหลีสีหน้าไม่ดีนัก

“ทำไม ข้าพูดผิดหรือ ไม่เช่นนั้น เจ้าจะออกมาได้อย่างไร ข้าจำได้ว่าตอนที่หลงซินเยว่มีชีวิตอยู่ นางไม่ได้แต่งงานด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะทำตัวเหลวแหลก แล้วจะเป็นเพราะอะไร” จ้านเฟิงจวินเย้ยหยัน

“เรื่องของแม่ข้าก็คือเรื่องของแม่ข้า อีกอย่างท่านตายไปแล้ว จะพูดอะไรหัดเกรงใจบ้าง ระวังอายุจะสั้น” หลิวหลีใกล้จะระเบิดอารมณ์อยู่รอมร่อ คนที่อยู่รอบข้างค่อยๆถอยห่างออกไป เริ่มไม่ได้สนใจกับการประลอง

“นังหนู เจ้ามันก็เหมือนกับแม่ของเจ้า ปากดีไปก็เท่านั้นแหละ ถ้าไม่ใช่เพราะนางทำตัวเหลวแหลก นางจะไปตายไกลบ้านได้อย่างไร”

“เรื่องแม่ข้าอย่าเพิ่งพูดเลยตอนนี้ อีกอย่าง ทำไมเจ้าไม่คิดว่าพ่อแม่ของข้ารักกันจริงๆ แต่เพราะมีเหตุการณ์ทำให้พวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ไม่ว่าท่านแม่ของข้าจะเป็นอย่างไร เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาแย่งจื่อฉีกับข้า” หลิวหลีไม่ลดละ

“นังหนู เจ้ารนหาที่ใช่ไหม” จ้านเฟิงจวินโมโห บวกกับใบหน้านั้นละม้ายคล้ายหลงซินเยว่เหลือเกิน จ้านเฟิงจวินซัดพลังเซียนเข้าไปทางหลิวหลี หน้าด้านขวาของหลิวหลีบวมขึ้นมาในทันที

“จ้านเฟิงจวิน เจ้าทำเกินไปแล้ว” หลงเหวินเซวียนโมโห นี่คือคำเตือนจากผู้อาวุโส

“ท่านตา หยุดเถอะ” หลิวหลีเช็ดเลือดที่มุมปาก แล้วเข้าไปขวางหลงเหวินเซวียน

“เจ้าตบข้า!” ความเงียบเข้าปกคลุมชวนให้ผวา

จ้านเฟิงจวินยังไม่ทันได้พูดอะไร อาจเป็นเพราะเกรงใจหลงเหวินเซวียน ก็โดนหลิวหลีตบคืนอย่างเต็มแรง

“เพี๊ยะ” เสียงตบคราวนี้ทำให้ทุกคนหัวใจแทบจะหยุดเต้น

“หน้าข้า พ่อแม่ข้ายังไม่เคยตีเลย เจ้าเป็นใครมาจากไหน ถึงกล้ามาตีข้า” เสียงอำมหิตของหลิวหลีชวนให้ขนลุกวาบ

“นังหนู เจ้ารนหาที่ตายเองนะ” จ้านเฟิงจวินเสียสติ ถึงขนาดโดนเด็กในช่วงปราณก่อนกำเนิดตบ คิดไม่ถึงว่าหลิวหลีจะหัวแข็งถึงเพียงนี้ ไม่สนใจเรื่องลำดับอาวุโสแม้แต่น้อย

“เหอะ เจ้าคิดว่าพลังบำเพ็ญเพียรของเจ้าสูงกว่าข้า แล้วเจ้าจะเก่งกว่าข้าเหรอ จะบอกอะไรให้ หากเจ้าคิดจะพาจื่อฉีไป ก็ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ” หลิวหลีพูดจบ เพลิงอัคคีภายในร่างกายระเบิดออกมา เพลิงอัคคีที่แตกต่างกันทั้ง 4 ชนิดปรากฏขึ้นมาพร้อมกัน

“พระเจ้า มีเพลิงอัคคีด้วยเหรอ”

“เพลิงบุปผาเหมันต์”

“เพลิงสุวรรณพราง”

“นังหนูคงไม่ได้ไปปล้นเพลิงอัคคีมาใช่ไหม”

“ท่าทีแบบนี้ของนางเหมือนจะเคยเห็นที่ไหน คิดออกแล้ว ‘คัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณ’ หลงหลิวหลีจะต้องฝึกเคล็ดวิชานี้แน่”

“น่าจะยังไม่ใช่ พลังเซียนอัคคีหนาแน่นเหลือเกิน ร่างวิญญาณ นางเป็นร่างวิญญาณอัคคี”

ไม้ตายของหลิวหลีกว่าครึ่งถูกเปิดเผยออกมา

“ยังจะต้องประลองอะไรกันอีก ต่อให้เป็นหนานกงเวิ่นเทียนที่มีอสูรเทพระดับสุดยอดก็ยังไม่ใช่คู่แข่งของนาง”

“พวกคนรุ่นใหม่ของห้าสกุล ไม่มีใครเป็นคู่แข่งของหลิวหลีได้หรอก”

“น่าแปลกจริงๆ ‘คัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณ’ ฝึกยากลำบากนัก นางกลับฝึกได้ อีกทั้งยังหาเพลิงอัคคีเจอแล้ว 4 ชนิด”

“นังหนู คิดว่าของพวกนี้จะสามารถทำให้ข้ากลัวหรือ ตอนนี้ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าพลังบำเพ็ญเพียรที่ต่างกันมันน่ากลัวขนาดไหน” จ้านเฟิงจวินตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็พูดออกมาอย่างไม่เกรงใจ

“เจ้าลงมือสิ ข้ารับรองว่าจะไม่ให้บ้านสกุลหลงเข้ามายุ่งแน่ ขอบอกไว้ก่อน หากข้าชนะ เจ้าจะต้องไปให้พ้นจากจื่อฉีกับข้าให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้” ท่าไม้ตายที่ทรงพลังที่สุดของหลิวหลียังไม่ได้เปิดเผยออกมาเลย

“นังหนู เจ้าจะต้องเสียใจกับความโอหังของเจ้า” ตอนนั้นแม่ของนางยังไม่ยโสขนาดนี้เลย

จ้านเฟิงจวินเป็นผู้บำเพ็ญช่วงแยกจิตระยะปลาย ทำพันธสัญญากับกิเลนน้ำ หลิวหลีพลังบำเพ็ญเพียรช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะต้น ครอบครองเพลิงอัคคี 4 ชนิด ท่าไม้ตายที่ทรงพลังที่สุดยังไม่ได้รับการเปิดเผย

“โม่หราน ข้าต้องการพลังเซียน” เมื่อหลิวหลีบอกโม่หรานจบ พลังเซียนภายในร่างกายก็พุ่งพล่าน ทำให้เข้าสู่ช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะกลาง เพลิงอัคคี 5 สีบนตัวเปล่งประกาย ดูแล้วงดงามยิ่งนัก

ถึงแม้พลังบำเพ็ญเพียรจะต่างกันมาก แต่รังสีความอำมหิตของหลิวหลีที่แผ่ออกมาทำให้คนรอบข้างอกสั่นขวัญหาย เมื่อทั้งสองปะทะกัน จ้านอวิ๋นจิ่งก็ได้รับสัญญาณจากจ้านเฟิงจวิน ในขณะที่ทั้งสองกำลังสู้กัน เขาก็ชิงตัวจื่อฉีไปทันที ใครจะรู้ว่าหลิวหลีกลับทิ้งประสาทเซียนเส้นหนึ่งไว้ที่ร่างจื่อฉี

“จ้านอวิ๋นจิ่ง เจ้าอยากตายใช่ไหม” หลิวหลีเกรี้ยวกราด โดนจ้านเฟิงจวินตบเข้าอย่างจัง จนกระอักเลือด นางปล่อยหมัดทำให้จ้านอวิ๋นจิ่งต้องถอยตัวไป

“ฮ่าฮ่า นังหนู เจ้าแพ้แล้ว” จ้านเฟิงจวินพูดขึ้นมาอย่างได้ใจ

“เหอะ ในพจนานุกรมของข้าไม่มีคำว่าแพ้ ยินดีด้วย ความไร้ยางอายของเจ้าทำให้เจ้าได้มีโอกาสเห็นคู่พันธสัญญาของข้า อาเลี่ยมาเร็ว มีคนรังแกข้า”

“พระเจ้า ใครกันเนี่ย ทำไมดูแข็งแกร่งเช่นนี้”

“ไม่กล้ามองตรง ๆ เลย”

“นังหนู ใครทำเจ้าถึงขนาดนี้ เส้นลมปราณขาดเลยเนี่ย” เอ๋าเลี่ยสีหน้าไม่ดีนัก นังหนูที่เขาเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโตได้รับบาดเจ็บถึงขนาดนี้ ไม่ใช่แค่สีหน้าไม่ดีแล้ว

“อาเลี่ย หญิงแก่คนนั้นไร้ซึ่งยางอาย รังแกข้า จะแย่งจื่อฉีไป มาด่าแม่ข้า แล้วก็ยังตบข้า”

“เทพแห่งสงครามเอ๋าเลี่ย เป็นไปได้อย่างไรกัน ทำไมท่านถึงมาทำพันธสัญญากับนังหนูนี่ได้” จ้านเฟิงจวินถึงกับปากสั่น

มิน่าล่ะ นังหนูถึงบอกว่าพวกเราคนกลุ่มนี้ไม่คู่ควรที่จะได้เจอกับคู่พันธสัญญาของนาง นังหนูคนนี้สุดยอดนัก คู่พันธสัญญาคือเทพแห่งสงครามเอ๋าเลี่ย ถ้ารู้มาก่อนอย่างนี้ ยังต้องประลองอะไรกันอีก แน่นอนว่าที่หนึ่งจะต้องเป็นของบ้านสกุลหลง

“แขนข้างไหนของเจ้าแตะต้องนังหนู ข้างนี้ หรือข้างนั้น” เอ๋าเลี่ยยืนห่างจากจ้านเฟิงจวิน 10 กว่าเมตร จ้านเฟิงจวินโอดครวญ เส้นลมปราณบริเวณแขนทั้งสองของนางถูกเอ๋าเลี่ยตัดขาด

“ท่านพี่ ถ้าไม่ใช่เพราะข้า พี่ก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บ” จื่อฉีพูดทั้งน้ำตา

“ไม่เกี่ยวกับจื่อฉีเลยนะ คนผู้นั้นหน้าไม่อายเอง” หลิวหลีพยายามอดทนกับความเจ็บปวดแล้วพูดกับจื่อฉี

“กิเลนน้อยตัวนั้น ข้ากับหลิวหลีเป็นคนหาเจอ ก่อนจะถือกำเนิดหลิวหลีก็เป็นคนดูแล บ้านสกุลจ้านของเจ้าถือดีว่าสามารถทำพันธสัญญากับกิเลนได้ จะมาแย่งไปหรือ เก่งกันจริงๆนะ” เอ๋าเลี่ยพูดจาเย้ยหยัน

……………………………………..