บทที่ 171 ชดใช้ + บทที่ 172 ต่างฝ่ายต่างหวาดกลัว

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 171 ชดใช้

หลี่เวยกลับไปยังสวนของตนเอง ก่อนจะล้างเครื่องสำอางจากหญิงสาวที่เข้ามาหา และเข้าไปยังลานบ้านของภรรยาของตน ซึ่งเป็นนิสัยของเขาอยู่แล้ว ไม่ว่าเขาจะออกไปมีความสุขข้างนอกขนาดไหน แต่เมื่อกลับมาบ้าน เขาก็จะมาหาและพูดคุยกับภรรยาเสมอ

เมื่อเข้ามาตรงลานบ้าน เขาก็เห็นจงเยว่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดและดุว่าหยางชุ่ยอยู่ เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยขณะเดินมาหาจงเยว่ “เกิดอะไรหรือ อย่าโกรธไปเลย มันจะกระทบกับลูกชายในท้องนะ”

“ท่านกลับมาแล้ว”

“ใช่แล้ว เกิดอะไรขึ้นเล่า” หลี่เวยชี้ไปยังหยางชุ่ยผู้กำลังนั่งคุกเข่าลงกับพื้น และดูตื่นตระหนก

จงเยว่มองไปยังหลี่เวยอย่างไม่มีทางเลือก “ข้าไม่แน่ใจว่านางได้ยินข่าวมาจากไหน แต่หลังจากที่นางกลับมาจากบ้านแม่ของนางแล้ว นางก็บอกว่าท่านอยู่ที่หอจุ้ยหง จากนั้นนางก็ขอร้องให้ข้าตามท่านกลับมาน่ะสิ”

“ใครบอกเจ้ารึ” ทันใดนั้นใบหน้าของหลี่เวยก็ถมึงทึงทันที

จงเยว่รู้มานานแล้วว่าเขาไปยังหอจุ้ยหง แต่หลังจากที่นางรู้ว่าเขาจะไม่ทำเรื่องวุ่นวายที่นั่น นางก็ไม่เคยพูดถึงมันอีก แม้ว่านางจะรู้สึกหึงหวง แต่นางก็มิได้สนใจมากนัก และนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาปฏิบัติตัวต่อจงเยว่เป็นอย่างดี

แต่จะไม่ให้นางโกรธได้เช่นไรกัน เพราะตอนนี้ อนุภรรยาคนหนึ่งกลับกล้าที่จะเข้ามายุ่มย่ามกับเรื่องของเขา

“ข้า…ข้าไม่…”

“ไม่อะไร” หลี่เวยมองหยางชุ่ยอย่างเยือกเย็น

“โปรดอย่าเข้าใจผิด ข้ามิได้หมายความเป็นอื่นใด ข้าเพียงแต่มีบางอย่างอยากจะบอกท่านก็เท่านั้น” หยางชุ่ยอึกอักและโบกมือไปมาขณะกำลังแก้ตัวอย่างรวดเร็ว

หลี่เวยพ่นลมหายใจออกทางจมูกอย่างเงียบๆ ส่วนหัวหน้าข้ารับใช้นั้นขมวดคิ้ว “นายน้อยเจ้าคะ นางเป็นอนุภรรยาของท่าน และข้าเป็นเพียงบ่าวรับใช้ ทำให้ข้ามิอาจจะพูดอะไรได้ แต่สิ่งที่นางทำนั้นช่างไร้มารยาทนัก นางพูดจาเช่นนั้นต่อหน้านายน้อยและนายหญิงได้เช่นไรกันเจ้าคะ ผู้เป็นอนุภรรยาคนใดจะกล้าเช่นนี้เล่าเจ้าคะ หากมีผู้อื่นรู้เข้า คงจะคิดว่าตระกูลของเรานั้นไม่มีกฏระเบียบเอาได้นะเจ้าคะ”

หลี่เวยมองนางและผงกศีรษะ “ท่านยายหมิงช่วยสั่งสอนนางด้วยก็แล้วกัน” แม่ของหลี่เวยส่งตัวหัวหน้าข้ารับใช้นามว่าหมิง มาอยู่เคียงข้างจงเยว่ตั้งแต่ที่นางตั้งครรภ์ ในตอนนี้ นางรู้สึกไม่พอใจ เมื่อฟังคำพูดคำจากของหยางชุ่ยเช่นนั้น

“เจ้าค่ะ นายน้อย”

“เยว่เอ๋อร์ ไปคุยกันด้านในเถิด” หลี่เวยประคองแขนของจงเยว่ และเดินเข้าไปในบ้านด้วยกัน โดยเมินเฉยต่อหยางชุ่ยอย่างสิ้นเชิง

หยางชุ่ยมองดูหลี่เวยและจงเยว่จากไป นางไม่รู้ว่าเหตุใดสองสามวันที่ผ่านมานี้อะไรๆ ก็ไม่ดีเลยสักอย่าง

“ท่านไม่สนใจอนุภรรยาคนสวยและทรงเสน่ห์ผู้นั้นหน่อยหรือ” จงเยว่เอ่ยถามหลี่เวย ขณะที่ทั้งสองคนเข้ามาในบ้าน

“ไม่เห็นต้องไปใส่ใจเลย นางกล้าจะเล่นแง่กับข้า ก็สมควรโดนสั่งสอนแล้วนี่” หลี่เวยเอ่ยอย่างโกรธเคือง

จงเยว่เลิกคิ้วขึ้น “ท่านหมายความว่าเช่นไรกัน”

หลี่เวยโอบมือรอบเอวของนาง และบอกเหตุผลที่เขาไปยังบ้านของหยางชุ่ยเมื่อไม่กี่วันก่อน นอกจากนี้เขายังบอกนางเกี่ยวกับเรื่องที่เขากำลังสืบหาอีกด้วย

“หนิงเมิ่งเหยาไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาเลย และชายหนุ่มที่อยู่เคียงข้างนางก็เช่นกัน และหยางชุ่ยก็จงใจจะพาข้าไปที่นั่นเมื่อวันนั้นด้วย แรงจูงใจของนางชัดเจนทีเดียว” หลี่เวยขมวดคิ้ว

เขาชอบหญิงงามก็จริง แต่เขาก็มิได้โง่เง่า เมื่อวันนั้น หยางชุ่ยแสดงออกชัดเจนมาก และหากนางบอกว่าตนเองไม่ได้ตั้งใจนั้น เขาก็คงไม่เชื่ออยู่ดี

“หญิงสาวคนนั้นงดงามมากจริงหรือ” จงเยว่ถามอย่างใคร่รู้

หลี่เวยผงกศีรษะ “นางอาจจะมิได้มีใบหน้าอันสวยงามที่สุด แต่จิตใจของนางนั้นช่างโดดเด่นนัก”

“จริงหรือ” จงเยว่เลิกคิ้วขึ้น ‘ไม่แปลกใจว่าทำไมเขาจึงชอบนางผู้นั้น’

หลี่เวยเปล่งเสียงผ่านลมหายใจ พลางกอดจงเยว่ไว้ และเอามือวางลงตรงหน้าท้องของนาง “อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย ข้าคิดเรื่องนี้ทีไร ก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทุกที หากข้าไปยุแหย่นางเข้าจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดผลร้ายอะไรขึ้นบ้าง”

“ถ้าเช่นนั้นก็อย่าคิดถึงมันเลย”

“แน่นอน” เขาไม่ใช่คนงี่เง่าสักหน่อย

“นางคิดว่าตนเองเป็นใครกันนะ” จงเยว่ขมวดคิ้ว ‘หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับหลี่เวย แล้วหยางชุ่ยจะได้รับผลประโยชน์อะไรกัน’

หลี่เวยพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง “หยางชุ่ยเคยชอบเฉียวเทียนช่างมาก่อน แต่เขามิได้ชอบนางตอบ หลังจากที่นางมาเป็นอนุภรรยาของข้า นางก็รู้สึกว่าตนเองนั้นอยู่เหนือกว่าพวกเขา ดังนั้นนางจึงใช้ตำแหน่งฐานะของข้าเพื่อจัดการสองคนนั่น สิ่งที่นางต้องการจะทำ ก็คือหลอกใช้ข้าให้ทำลายชีวิตของหนิงเมิ่งเหยานั่นเอง” หยางชุ่ยไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเฉียวเทียนช่างนั้นช่างลึกลับ นางคิดเพียงว่าตนเองสามารถลงมือทำอะไรกับพวกเขาก็ได้ และพวกเขาก็จะไม่กล้าโต้ตอบ ทำให้นางเกิดความคิดเช่นนั้นนั่นเอง

แต่นางกลับไม่รู้เลยว่าตัวตนที่แท้จริงของเฉียวเทียนช่างนั้นไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

จงเยว่ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “นางตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ มิใช่ว่านางปองร้ายกับเราอยู่หรอกนะ

บทที่ 172 ต่างฝ่ายต่างหวาดกลัว

“เจ้ามิต้องกังวลหรอก สิ่งที่เจ้าต้องใส่ใจตอนนี้คือดูแลตัวเองให้ดี และให้กำเนิดบุตรชายแก่ข้าก็พอ” หลี่เวยจุมพิตจงเยว่ และไม่ต้องการให้นางกังวลใจ

“ท่านบอกแค่ว่าบุตรคนนี้จะเป็นผู้ชาย แล้วถ้าหากเป็นเด็กผู้หญิงเล่า” จงเยว่เอ่ยอย่างหงุดหงิด

ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองค่อนข้างใกล้ชิดสนิทสนมกัน ปัญหาเดียวคือพฤติกรรมแปลกประหลาดของเขาที่ชอบไปสนุกข้างนอกเท่านั้น

“ลูกสาวก็ดี แต่หลังจากที่เรามีลูกสาวกันแล้ว เราก็จะลองกันใหม่อีกครั้งเพื่อให้ได้ลูกชาย” หลี่เวยเอ่ยอย่างไม่ลังเล

“ท่านคิดจะทำเช่นไรกับหยางชุ่ยหรือ”

“ให้ท่านยายหมิงสั่งสอนบทเรียนให้แก่นางก่อน แล้วข้าจะจัดการนางเอง แต่หากนางยังคิดเล่นกลอุบายอีก ก็จะมากล่าวโทษว่าข้าใจร้ายไม่ได้แล้ว” เขาชื่นชอบหญิงสาวใจกว้าง ไม่ใช่หญิงสาวที่เรียกร้องสิทธิ์ของตนเอง

เมื่อจงเยว่รับรู้ความคิดของเขา นางก็มิได้ซักถามต่อ และไม่พูดคุยเรื่องของหยางชุ่ยอีก

ส่วนหยางชุ่ยยังคงคิดหาวิธีโน้มน้าวใจให้หลี่เวยจัดการกับหนิงเมิ่งเหยาอยู่ แต่กลับถูกท่านยายหมิงดึงตัวไว้เพื่อสั่งสอนเรื่องเกี่ยวกับข้อควรปฏิบัติ นางรู้สึกหวาดกลัวแต่ไม่อาจปฏิเสธได้

หยางชุ่ยยังไม่รู้ว่าหลี่เวยนั้นยอมแพ้แล้ว นางเพียงต้องการหลอกใช้เขาเท่านั้น

ตั้งแต่เซียวฉีเทียนมาหา และพูดถึงการแต่งงานของเฉียนเทียนช่าง ชายหนุ่มก็คิดถึงแต่เรื่องนี้

“ช่วงนี้เจ้าทำอะไรบ้างหรือ” หนิงเมิ่งเหยาเห็นว่าเขาดูสับสนงุนงง จึงลูบศีรษะของเขา และอดหัวเราะไม่ได้

เฉียวเทียนช่างเอื้อมมือไปดึงมือหญิงสาวออกจากศีรษะของตน “เหยาเหยา เจ้าคิดว่าเราจะได้แต่งงานกันหรือไม่”

หนิงเมิ่งเหยาที่พยายามจะดึงมือตัวเองออกให้เป็นอิสระนั้น หยุดชะงักลง ก่อนจะมองเฉียวเทียนช่างอย่างขึงขัง “ทำไมเจ้าจึงต้องการแต่งงานล่ะ เพราะสิ่งที่เซียวฉีเทียนเอ่ยเช่นนั้นหรือ”

“ใช่ นั่นก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่อีกเหตุผล คือข้าอยากจะแต่งงานกับเจ้าจริงๆ ต่างหาก” เขาอยากจะใช้ชีวิตของตนกับหญิงสาวคนนี้แล้ว แม้ว่าทั้งคู่จะหมั้นหมายกัน และใช้เวลาร่วมกันระหว่างวัน แต่เขาก็รู้สึกว่ายังไม่พอ

ชายหนุ่มต้องการใกล้ชิดนางให้มากขึ้นอีก และไม่อยากจะทิ้งนางไปในตอนค่ำคืน ทุกครั้งที่เขาได้โอบกอดนางไว้ในอ้อมแขน เขาก็อยากจะกอดนางให้นานขึ้นอีกหน่อย

หนิงเมิ่งเหยาได้ยินน้ำเสียงอันจริงจังของเขา ก็หัวเราะออกมา “แน่นอนสิ ข้ายกให้เจ้าจัดการได้เลย”

“จริงหรือ” เฉียวเทียนช่างลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น ดวงตาของเขาสุกสกาวขณะมองหญิงสาว จนนางไม่อาจต้านทานไหว

หญิงสาวผงกศีรษะ “ก็จริงน่ะสิ”

หลังจากได้รับความเห็นชอบจากหนิงเมิ่งเหยาแล้ว ชายหนุ่มก็ยิ้มแย้มแจ่มใสและตื่นเต้นยิ่ง จนวิ่งฉิวไปกับสายลม รวดเร็วเสียจนหญิงสาวไม่อาจทำอะไรได้นอกจากเผยรอยยิ้มออกมา

ชิงเสวี่ยและคนอื่นๆ ต่างได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่

คุณหนูของพวกเขากำลังจะแต่งงานแล้ว พวกเขาเองก็ควรจะเตรียมตัวเช่นกัน

เมื่อพวกเขาคิดได้ดังนั้น ก็กระจายข่าวนี้ให้กับคนอื่นๆ งานมงคลสมรสของคุณหนูนั้นจะต้องเป็นงานที่อลังการและสนุกสนานที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ชิงจู๋มิได้ทำอะไรนัก เพียงแค่ขอให้ผู้คนช่วยส่งผ้าไหมแดงที่คุณภาพดีที่สุดมาให้ เพราะนางตั้งใจจะตัดเย็บเป็นชุดเจ้าสาวให้กับหนิงเมิ่งเหยานั่นเอง

เมื่อเฉียวเทียนช่างมาหาหยางจู้ที่กำลังดื่มน้ำอยู่ที่บ้าน เขาก็ตกใจกับการปรากฏตัวของชายหนุ่ม ก่อนจะพ่นน้ำออกจากปากและตะโกนเสียงดัง “สวรรค์ เทียนช่าง เกิดอะไรขึ้นเนี่ย เจ้าอย่าทำให้ข้าตกใจเช่นนี้สิ”

เฉียวเทียนช่างถูจมูกอย่างกระอักกระอ่วนใจและรู้สึกเคอะเขิน จากนั้นจึงเข้าไปลูบหลังให้หยางจู้ “ท่านลุง ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังตื่นเต้นน่ะ”

“แล้วเจ้าตื่นเต้นเรื่องอะไรเล่า” หยางจู้กลอกตา

“เหยาเหยาตกลงจะแต่งงานกับข้าแล้ว ข้าเลยจะมาขอให้ท่านกับท่านป้าช่วยเหลือพวกเราสักหน่อย เพราะพวกเราไม่ได้เตรียมตัวอะไรกันมากนัก” เฉียวเทียนช่างรู้สึกเขินอายและตื่นเต้นไปพร้อมๆ กัน

เมื่อได้ยินดังนั้น หยางจู้จึงผงกศีรษะอย่างอดไม่ได้ ‘เพราะอย่างนี้เขาจึงมีความสุขอย่างมากสินะ’ หยางจู้เอ่ยตอบ “ได้สิ ข้าจะให้นางช่วยเลือกฤกษ์งามยามดีให้กับงานแต่งงานของพวกเจ้าทั้งสองคนเอง งานแต่งงานนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นจึงต้องเตรียมการให้เหมาะสม”

เฉียวเทียนช่างผงกศีรษะ ‘หญิงสาวของเขาจะต้องได้รับสิ่งที่ดีที่สุดอย่างแน่นอนอยู่แล้ว’

หลังจากกลับมาถึงบ้าน เขาก็เขียนจดหมายหาพี่น้องของเขาเพื่อบอกว่าตนเองกำลังจะแต่งงานแล้ว

เมื่อเซียวฉีเทียนและเซียวชวี่เฟิงได้รับจดหมาย พวกเขาต่างอึ้งจนพูดไม่ออก ‘มันไม่เร็วไปหน่อยหรือ’

‘มิใช่ว่าเขาเพิ่งไปที่นั่นเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เองหรือ แต่วันนี้กลับได้บัตรเชิญไปร่วมงานมงคลจากเขาเสียแล้ว’

เหลยอันและคนอื่นๆ ต่างตะลึงงันถึงขีดสุด ‘เจ้านายผู้เย็นชาของเขากำลังจะแต่งงานเช่นนั้นหรือ เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อยิ่งกว่าเรื่องของพายุไต้ฝุ่นเสียอีก’