“โยวเย่ว์ เจ้ามีหญ้าม่วงขมอยู่ได้อย่างไรกัน” เว่ยจือฉีพูดอย่างตกใจ
“ก่อนหน้านี้ตอนเบื่อๆ เคยเก็บเอาไว้เล่นๆ น่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์อธิบาย “ตอนนี้มีหญ้าม่วงขมแล้ว พวกเราควรทำเช่นไรต่อหรือ”
“พวกเราทำการเผาหญ้าม่วงขมเสีย ไอของมันก็จะแผ่กำจายออกไปได้ พอถึงตอนนั้นก็จะขจัดยาล่อหลอกไปได้แล้วล่ะ” เว่ยจือฉีพูด
“ทำเช่นนี้จะมีประโยชน์หรือ” เจ้าอ้วนชวีถาม
“มีประโยชน์หรือไม่ แค่ลองดูก็รู้แล้วมิใช่หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วก็จุดไฟเผาหญ้าม่วงขมในมือ
ถึงแม้ว่าชื่อของหญ้าม่วงขมจะมีคำว่าขมอยู่ แต่กลิ่นรสที่แผ่ออกมานั้นกลับมีกลิ่นหอมอ่อนจาง กลิ่นหอมแผ่กำจายออกมาจากในกำมือของเธอแล้วลอยไปทางที่ตั้งของค่ายพักแรมอย่างไร้สุ้มเสียง
“แค่กๆ…”
คล้ายกับสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอม เพราะสัตว์อสูรวิเศษที่เพิ่งถูกจับตัวมาเมื่อครู่เพิ่งจะถูกวางยาล่อหลอกไปเป็นเวลาไม่นาน ดังนั้นฤทธิ์ยาจึงยังไม่ลึกนัก หลังจากได้สูดกลิ่นหอมของหญ้าม่วงขมแล้วจึงเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย
“เจ้านี่เป็นอะไรไปน่ะ” เมื่อเห็นปฏิกิริยาของสัตว์อสูรทิพย์ ห่าวโหย่วไฉจึงพูดขึ้น “ปรมาจารย์มู่ ยาที่ท่านให้นี่คงมิได้มีปัญหาอันใดกระมัง”
“ไม่มีทางหรอก” ปรมาจารย์มู่พูดอย่างมั่นใจ “ก่อนหน้านี้สัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นก็มิได้มีปัญหามิใช่หรือ”
เพิ่งเอ่ยวาจาออกไป บุรุษทั้งสองก็วิ่งออกมาจากภายในกระโจมใหญ่หลังหนึ่งอย่างรีบร้อน ก่อนจะเอ่ยอย่างกระวนกระวายว่า “หัวหน้า ดูเหมือนว่าสัตว์อสูรวิเศษภายในนั้นจะมีบางอย่างผิดปกติ คล้ายว่ายาล่อหลอกเริ่มจะสิ้นฤทธิ์เสียแล้วขอรับ”
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน! ยาล่อหลอกนี่ของข้า หากไม่ถึงหนึ่งเดือนก็ไม่มีทางหมดฤทธิ์แน่นอน” ปรมาจารย์มู่พูดอย่างมั่นใจ
“ฮ่าๆ จะต้องเป็นเพราะพวกเจ้าทำเรื่องชั่วช้ามากเกินไปอย่างแน่นอน ยาล่อหลอกจึงไร้ประโยชน์เสียแล้ว!” ชิงอู๋หยาหัวเราะเสียงดังลั่นแล้วพูดขึ้น
“พูดจาสามหาวนัก!” ห่าวโหย่วไฉตบหน้าชิงอู๋หยาฉาดหนึ่ง ฟาดจนเขาลอยกระเด็นกระแทกพื้น
“เจ้านี่มันรู้เรื่องพวกเราแล้ว ปล่อยเอาไว้บนโลกก็รังแต่จะเป็นปัญหาเปล่าๆ” ปรมาจารย์มู่มองชิงอู๋หยาอย่างเย็นชา
“ปรมาจารย์มู่พูดได้ถูกต้อง มาสิ พวกเรามาร่วมส่งท่านหัวหน้าน้อยกันดีกว่า” ห่าวโหย่วไฉพูด
“ขอรับ หัวหน้า!” สองคนนั้นรับคำเสียงหนึ่งแล้วหยิบกระบี่ออกมาฟันลงไปทางชิงอู๋หยา
“หยุดนะ!”
เสียงที่แหวกอากาศมาทำให้ชายสองคนนั้นหยุดการเคลื่อนไหว จากนั้นก็รู้สึกว่าเบื้องหน้ามีเงาร่างมนุษย์วาบผ่าน ก่อนที่ตนจะถูกเตะลอยกระเด็น
เดิมทีชิงอู๋หยาหลับตารอความตายแล้ว กำลังนึกเสียใจว่าตนไม่ควรออกมาคนเดียวเลย แต่ความเจ็บปวดที่คาดเอาไว้กลับมิได้เกิดขึ้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงตกกระแทกพื้นสองเสียง เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นเงาร่างอันเยียบเย็นยืนอยู่ตรงหน้าตน
“น้องหญิงเป่ยกงหรือ” ชิงอู๋หยาตะโกนออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“พี่ใหญ่ชิง ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์และโอวหยางเฟยปรากฏตัวออกมาจากที่ซ่อนแล้วมองชิงอู๋หยาพลางถามขึ้น
ชิงอู๋หยาส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่กันได้อย่างไรหรือ”
“ผ่านทางมาแล้วเห็นพวกเขาจะสังหารท่านเข้าพอดีน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
เดิมทีเห็นลูกน้องของตนถูกเตะลอยกระเด็น ก็ยังคิดว่าเป็นคนตระกูลใหญ่ที่ไหนโผล่มา คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเพียงแค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมสามคนเท่านั้น
“เจ้าพวกเด็กน้อยทั้งสาม ถึงกับเรียนรู้ที่จะสอดเรื่องชาวบ้าน อยากเอาชีวิตมาทิ้งเช่นนี้ก็โทษผู้อื่นมิได้หรอกนะ” ห่าวโหย่วไฉส่งเสียงเฮอะเยียบเย็น
เรื่องของพวกเขาถูกพวกซือหม่าโยวเย่ว์ทั้งสามคนทำลาย แล้วเขายังรู้จักกับชิงอู๋หยาด้วย วันนี้จึงมิอาจปล่อยให้พวกเขาจากไปได้อย่างแน่นอน
“มีคนรนหาที่ตายอีกสามคนแล้วสินะ!” ปรมาจารย์มู่ขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “ธุระของพวกเรามิอาจให้ผู้อื่นล่วงรู้ได้ ในเมื่อพวกเขามาด้วยกัน เช่นนั้นก็ส่งพวกเขาไปสู่ความตายพร้อมกันเลยดีกว่า”
น้ำเสียงไร้ซึ่งความปรานี ชีวิตหลายชีวิตในสายตาของเขานั้นไม่ต่างอะไรจากมดปลวกเลย
“คิดจะสังหารพวกเรานั้นก็ต้องดูว่าพวกเจ้ามีความสามารถพอหรือไม่ด้วยสิ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ
“ฮ่าๆ แค่จัดการพวกเจ้าสามคน จะต้องใช้ความสามารถอันใดด้วยหรือ” ห่าวโหย่วไฉหัวเราะเสียงดังลั่นแล้วพูดขึ้น “พวกเราที่นี่สองคนจะใคร ก็จัดการพวกเจ้าได้ทั้งนั้น! อาโม่ อาไฉ พวกเจ้าลุยเลย”
“ขอรับ หัวหน้า” บุรุษร่างใหญ่สองคนเดินออกมาจากกลุ่มคนแล้วบุกเข้าใส่พวกซือหม่าโยวเย่ว์พร้อมรอยยิ้มเย็น “เจ้าเด็กน้อย อยากจะโทษก็โทษความแส่หาเรื่องของพวกเจ้าเองนั่นแหละ ล่วงรู้แผนการของพวกเราเข้าแล้ว วันนี้ก็มีแต่ปากคนตายนั่นแหละจึงจะปิดได้สนิทที่สุด”
“อาโม่ จะมัวเปลืองน้ำลายกับพวกเขาอยู่ทำไมกัน ยังไม่รีบจัดการอีก!” ห่าวโหย่วไฉเอ่ยเร่ง
ซือหม่าโยวเย่ว์และโอวหยางเฟยประสานสายตากันแวบหนึ่งก่อนจะมองอาโม่และอาไฉที่เดินเข้ามาใกล้ ทั้งสองคนขยับร่างกายพร้อมกันแล้ววิ่งตรงไปหาพวกเขาก่อนจะอาศัยจังหวะที่ไม่ระวังตัวเตะพวกเขาจนลอยกระเด็นไป
โอวหยางเฟยเก็บขาของตัวเองกลับมา ไม่สนใจคนที่ถูกตนเตะกระเด็น หากแต่เหลือบมองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่ง
เขาฝึกฝนร่างกายตนเองอยู่ตลอด ดังนั้นร่างกายของเขาจึงเทียบเคียงได้กับปรมาจารย์กระบี่ การเตะปรมาจารย์วิญญาณคนหนึ่งลอยกระเด็นนั้นจึงมิใช่เรื่องน่าแปลกแต่อย่างใดเลย แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือซือหม่าโยวเย่ว์ก็มีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้ด้วยเช่นกัน ถึงกับเตะชายฉกรรจ์คนหนึ่งลอยกระเด็นได้เลยทีเดียว!
ที่แท้แล้วเขามิได้มีเพียงร่างกายที่คล่องแคล่วเท่านั้น แต่ยังมีพลังอันชวนให้คนตกใจอีกด้วย
“ไปหามารดาเจ้าเถอะ!”
อาโม่อาไฉรู้สึกว่าตนถูกเจ้าเด็กน้อยสองคนเตะกระเด็นต่อหน้าพรรคพวกของตนนั้นช่างน่าขายหน้าเหลือเกิน โดยเฉพาะเมื่อปรมาจารย์มู่คอยดูอยู่ที่นี่ด้วย
แต่พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าเป็นเพราะเมื่อครู่ประมาทจนเกินไปทำให้เจ้าเด็กสองคนนั้นอาศัยทีเผลอได้ ดังนั้นทั้งสองคนจึงตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้นแล้วพุ่งเข้าไปหาพวกซือหม่าโยวเย่ว์อีกครั้ง
“วิ่ง!” ซือหม่าโยวเย่ว์ตะโกนดังลั่นเสียงหนึ่งแล้วเริ่มต้นวิ่งในค่ายพักแรม
เพิ่งเอ่ยวาจาออกไป เธอจึงค่อยค้นพบว่าโอวหยางเฟยออกวิ่งนำเธอไปก้าวหนึ่งแล้ว
“เฮ้!”
ถึงแม้ว่านี่จะเป็นสิ่งที่พวกเขาหารือกันเรียบร้อยแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าการเคลื่อนไหวของโอวหยางเฟยจะรวดเร็วถึงเพียงนี้
คนทั้งสองได้สำรวจพื้นที่บริเวณนี้เอาไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเขามิได้วิ่งไปไกลนัก หากแต่วิ่งวนไปรอบๆ ค่ายพักแรมเท่านั้น อาโม่และอาไฉวิ่งไล่ตามจนหอบเหนื่อยก็ยังวิ่งตามไม่ทัน
“ไปตามจับมาเร็ว อย่าให้พวกเขาสองคนหนีไปได้ล่ะ!” ปรมาจารย์มู่ตะโกนเสียงดัง
“ไป… ไปตามจับมาเร็ว! ถ้าหากปล่อยพวกเขาหนีไปได้ข้าจะเด็ดหัวพวกเจ้าเสีย!” ห่าวโหย่วไฉเอ่ยข่มขู่
หลังจากนั้นก็มีอีกหลายคนเข้ามาร่วมวิ่งไล่ตาม
ชิงอู๋หยาเห็นว่าความสนใจของคนอื่นๆ ถูกพวกซือหม่าโยวเย่ว์ดึงดูดไปจนหมดแล้ว แต่การคิดจะหลบหนีนั้นย่อมต้องถูกค้นพบอย่างแน่นอน
เขามายังข้างกายเป่ยกงถังแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “น้องหญิงเป่ยกง อีกประเดี๋ยวข้าจะเบนความสนใจของพวกเขา เจ้าอาศัยจังหวะนั้นวิ่งหนีไปเลยนะ”
“ภารกิจของข้าคือการปกป้องท่าน มิใช่การหลบหนีเสียหน่อย” เป่ยกงถังพูดอย่างเรียบเรื่อย “รออีกครู่เดียวก็ใช้ได้แล้วล่ะ”
ชิงอู๋หยามองดูสีหน้าอันไร้ซึ่งความกังวลใจของเป่ยกงถังแล้วนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีพวกเขาอีกสองคนที่ไร้ซึ่งร่องรอย จึงนึกเดาไปว่าพวกเขาต้องมีแผนการอะไรบางอย่างอยู่แล้ว เลยไม่เร่งให้นางหนีไปอีก
มีคนหลายคนมาไล่จับพวกเขาเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์และโอวหยางเฟยจะมีฝีมือไม่เลว แต่สองหมัดยากจะต่อกรสี่มือได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามีคนเพิ่มขึ้นมามากมายถึงเพียงนี้ ทั้งสองคนค่อยๆ ถูกบีบเข้ามาอยู่ด้วยกัน คนของกลุ่มทหารรับจ้างเหล่านั้นล้อมวงกันเข้ามา โอบล้อมคนทั้งสองเอาไว้ตรงกลาง
“เจ้าเด็กบ้า มาดูกันสิว่าตอนนี้พวกเจ้าจะวิ่งหนีไปไหนได้อีก!” อาโม่คิดไม่ถึงว่าต้องใช้เวลาเนิ่นนานถึงเพียงนี้จึงจะล้อมคนทั้งสองเอาไว้ได้ เจ้าสองคนนี้ลื่นราวกับปลาไหล ทุกครั้งที่กำลังจะจับตัวพวกเขาก็หนีออกไปได้ก่อนทุกที
“หนีหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูผู้คนที่ล้อมตนเอาไว้แล้วส่ายหน้าก่อนจะเอ่ยว่า “ตอนนี้คนที่ต้องหนีไม่ใช่พวกเราหรอก เป็นพวกเจ้าต่างหากเล่า”
“ฮ่าๆ พวกเจ้าจะต้องไปพบท่านพญายมอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว ยังจะมีหน้ามาข่มขู่พวกเรา…”
“โฮก…”
อาไฉยังเอ่ยไม่ทันจบก็มีเสียงคำรามเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากภายในกระโจม ตามมาด้วยเสียงสัตว์ร้องหลายครั้งหลายครา ทำเอาทุกคนในที่นั้นตกใจจนสะดุ้งเฮือก
…………………