เล่ม 1 ตอนที่ 82 ก่อความวุ่นวาย (2)

สลับชะตา ชายามือสังหาร

“จิ๊บๆ…”

นกตัวที่ถูกขังเอาไว้กับเจ้าคำรามน้อยก็ร้องขึ้นมาเช่นเดียวกัน เสียงนั้นบาดแหลมยิ่งนัก จนทำให้คนอดที่จะอุดหูมิได้

“ท่านอาจารย์มู่ สัตว์อสูรวิเศษเหล่านี้เป็นอะไรไปหรือ” คนของกลุ่มทหารรับจ้างถูกเหตุการณ์นี้ทำให้พรั่นพรึงไปเสียแล้ว ห่าวโหย่วไฉมาที่ข้างกายปรมาจารย์มู่พลางถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“นี่คือเหตุการณ์ที่สัตว์อสูรวิเศษตื่นตัวน่ะสิ!”

ปรมาจารย์มู่พูดจบแล้วก็เดินไปยังกระโจมที่วางกรงขังสัตว์อสูรวิเศษเอาไว้ ยังไม่ทันเปิดม่านประตู ร่างจำแลงสัตว์อสูรวิเศษก็วิ่งออกมาเสียแล้ว

“โฮก!”

สัตว์อสูรวิเศษร้องคำรามก่อนจะคืนสู่ร่างเดิม ตนแล้วตนเล่าจนเต็มแน่นไปทั้งค่ายพักแรม

“เจ้าพวกมนุษย์สามหาว ถึงกับบังอาจใช้ยาล่อหลอกชั้นต่ำเช่นนี้มาจัดการพวกเรา ต้องจ่ายด้วยชีวิต!”

สัตว์อสูรทิพย์ที่ฟื้นฟูพลังยุทธ์แล้วมองดูคนของกลุ่มทหารรับจ้างก่อนจะพุ่งเข้าใส่คนของกลุ่มทหารรับจ้างพลางร้องเสียงดังลั่น

ซือหม่าโยวเย่ว์มาถึงกรงขังเจ้าคำรามน้อยตั้งแต่เมื่อไหร่ก็มิอาจรู้ได้ เธอเปิดกรงออก เจ้าคำรามน้อยก็พุ่งออกมาหาในทันใด

“ฮือๆ เย่ว์เย่ว์ ข้ายังคิดว่าจะมิได้พบเจ้าอีกต่อไปแล้ว!”

เจ้าคำรามน้อยร้องห่มร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดซือหม่าโยวเย่ว์ แต่กลับไม่เห็นน้ำตาของมันเลยแม้แต่หยดเดียว

“เอาละ อย่าเล่นละครให้ข้าดูอีกเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์หิ้วคอของเจ้าคำรามน้อยขึ้นมาแล้วพูดว่า “เจ้ามิได้บอกว่าจะออกไปดูลาดเลาหรือไร แล้วเหตุใดจึงถูกคนจับมาอยู่ที่นี่ได้เล่า”

“เออ.. อืม… ไอ้หยา… เพื่อนของข้าจะอาละวาดแล้ว ข้าต้องไปให้กำลังใจมันสักหน่อย!” ดวงตาของเจ้าคำรามน้อยกลอกไปมาซ้ายทีขวาที เมื่อเห็นเจ้านกตัวที่อยู่กับมันคืนสู่ร่างเดิม ร่างกายขยับคราหนึ่งก็หลุดออกจากกรงเล็บของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วบินไปอยู่บนหลังของนกตัวนั้น

“เจ้าวิหคยักษ์ คนพวกนี้บังอาจจับมาเช่นนี้ ก็ให้พวกเขาได้ลิ้มรสความร้ายกาจของเจ้าสักหน่อยสิ!” เจ้าคำรามน้อยตะโกนอยู่บนร่างวิหคสี่ปีก

คนของกลุ่มทหารรับจ้างต่างพรั่นพรึงกันไปหมดแล้ว พวกเขาไม่มีทางจับสัตว์อสูรวิเสษนี้มาได้แน่หากไม่วางยา ตอนนี้มีกันมากมายถึงเพียงนี้ นอกจากนี้สัตว์อสูรวิเศษทั้งหลายยังจ้องมองพวกเขาอย่างชิงชังจนแทบจะเข้ามาฉีกทึ้งพวกเขาในทันทีอยู่แล้ว

ห่าวโหย่วไฉเห็นสัตว์อสูรวิเศษตนแล้วตนเล่าออกมาแปลงกายเป็นร่างเดิมต่อหน้าพวกเขาแล้วก็เข้าไปดึงเสื้อผ้าปรมาจารย์มู่ด้วยร่างกายอันสั่นสะท้านพลางเอ่ยว่า “ปรมาจารย์มู่ ท่านมิได้บอกว่ายาล่อหลอกจะมีฤทธิ์ไปอย่างน้อยๆ ก็เดือนสองเดือนหรอกหรือ เหตุใดตอนนี้พวกมันจึงฟื้นคืนสติกันขึ้นมาหมดแล้วเล่า”

ตอนนี้ปรมาจารย์มู่เองก็มิได้วางท่าผึ่งผายเช่นก่อนหน้านี้อีกแล้ว พอเห็นสัตว์อสูรวิเศษตัวยาวสองสามเมตรก็ได้แต่กลืนน้ำลาย เมื่อได้ฟังคำพูดของห่าวโหย่วไฉจึงเอ่ยว่า “เจ้าถามข้าแล้วให้ข้าไปถามใครกันเล่า!”

“หัวหน้า จะต้องเป็นฝีมือเจ้าพวกเด็กบ้านั่นอย่างแน่นอนเลยขอรับ!” อาโม่นึกถึงคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ขึ้นมาได้จึงชี้ไปทางนางแล้วพูดขึ้น

“ฮ่าๆ พวกเจ้าทายได้ถูกต้องแล้วละ!” พวกเว่ยจือฉีออกมาจากภายในกระโจม ในมือของเขายังถือหญ้าม่วงขมเอาไว้อีกด้วย

“หญ้าม่วงขม!” ปรมาจารย์มู่มองปราดเดียวก็จำสิ่งที่อยู่ในมือเว่ยจือฉีได้ “หญ้าม่วงขมถอนพิษยาล่อหลอกทั้งหมดได้ มิน่าเล่ายาล่อหลอกของข้าจึงสิ้นฤทธิ์!”

“เฮอะ ตัวท่านเป็นถึงนักฝึกสัตว์อสูรแห่งสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร แต่ถึงกับไม่สนใจข้อตกลงระหว่างมนุษย์กับสัตว์อสูรวิเศษ ใช้ยาล่อหลอกจับตัวสัตว์อสูรวิเศษ!” เว่ยจือฉีเอ่ยเสียงดุ

“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าเป็นคนของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร ก็ต้องรู้สิว่านี่เป็นธุระของพวกเราสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร แต่ยังกล้ามาก่อความวุ่นวายอีก!” ปรมาจารย์มู่ได้ฟังคำพูดของเว่ยจือฉีแล้วจึงตอบพลางมองประเมินเขาอย่างละเอียดไปพลาง ดูจากสิ่งที่เขาพูดแล้วไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไปเลย

“สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรหรือ ไม่รู้ว่าหากคนทั้งสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรได้รู้ว่าท่านทำเรื่องพรรค์นี้แล้วจะยังอยากเป็นร่มคุ้มภัยให้พวกท่านอยู่อีกหรือไม่! เกรงแต่ว่าเว่ยเหิงคงจะไม่เก็บพวกท่านเอาไว้น่ะสิ!”  เว่ยจือฉียิ้มเย็น

“เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงรู้จักเว่ยเหิง” เมื่อปรมาจารย์มู่ได้ยินชื่อเว่ยเหิงก็รู้สึกผิดขึ้นมาวูบหนึ่ง คนที่อยู่ในสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรคนไหนบ้างที่จะไม่รู้จักท่านรองประธานสมาคมผู้นี้ แต่เขาใช้ชีวิตวิเวกสมถะ น้อยนักที่จะปรากฏตัวให้คนข้างนอกเห็น คนที่รู้จักเขามีอยู่ไม่มากนัก ในตอนนี้เมื่อได้ยินเว่ยจือฉีเอ่ยถึงเว่ยเหิง เขาก็รู้ว่าตัวตนของอีกฝ่ายต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!

“เว่ยเหิงคือท่านอาของข้า ข้าเป็นคนตระกูลเว่ย!” เว่ยจือฉีเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ

“คนตระกูลเว่ย!” สองตาของปรมาจารย์มู่เบิกโตเท่าไข่ห่าน เมื่อครู่เขาเกือบจะสังหารคนตระกูลเว่ยเสียแล้ว!

“จือฉี เจ้ามัวแต่เปลืองน้ำลายกับเขาอยู่ทำไมกัน สัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นฟื้นตัวขึ้นมาไม่น้อยแล้ว ถ้าหากพวกเรายังไม่ไปอีก เกรงว่าอาจจะได้รับผลกระทบเข้า” เจ้าอ้วนชวีเอ่ยเตือนอยู่ข้างๆ

สัตว์อสูรวิเศษที่ได้สติกลับคืนมาจากยาล่อหลอกเมื่อครู่นี้คลุ้มคลั่งอยู่ไม่น้อย เมื่อนึกถึงว่าถูกมนุษย์ลอบทำร้ายดักจับมาก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ตอนนี้ได้เห็นคนที่ทำร้ายพวกมันก็ยิ่งควบคุมความคิดของตนเอาไว้ไม่อยู่

“โฮก…”

สัตว์อสูรวิเศษส่งเสียงคำรามโฮกใส่พวกเขา จากนั้นก็พุ่งเข้าโจมตีคนของกลุ่มทหารรับจ้าง พวกเว่ยจือฉีถอยออกไปไกลจากจุดนี้แล้ววิ่งขึ้นไปบนต้นไม้เก่าแก่ที่อยู่ไกลออกไปอย่างรวดเร็ว

“พวกเจ้ามาถึงกันหมดแล้วแต่ไม่เห็นเรียกพวกเราเลย!” เจ้าอ้วนชวีเห็นพวกซือหม่าโยวเย่ว์นั่งอยู่บนกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่กันเรียบร้อยหมดทั้งสี่คนแล้วจึงกล่าวตำหนิประโยคหนึ่ง

“พวกเราเห็นพวกเจ้าสนทนากับพวกเขาอยู่อย่างออกรส เลยไม่อยากขัดจังหวะพวกเจ้าน่ะ” เป่ยกงถังพูดล้อเล่นอย่างหาได้ยากยิ่ง

“พวกเจ้าจงใจน่ะสิ!” เจ้าอ้วนชวีนั่งบนกิ่งไม้เรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยตำหนิเสียงเบา

“สัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นพากันคลุ้มคลั่งไปหมดแล้ว เหตุใดเจ้าคำรามน้อยจึงไม่เห็นเป็นอะไรเลยเล่า” เว่ยจือฉีมองดูเจ้าคำรามน้อยที่กระโดดไปพลาง ชี้ไม้ชี้มือไปพลางอยู่บนร่างวิหคสี่ปีกแล้วถามขึ้นอย่างสงสัย

ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่แล้วพูดว่า “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน โอ้ สัตว์อสูรวิเศษเหล่านี้ช่างลงมือกันรุนแรงเสียจริง!”

ทุกคนมองตามสายตาของเธอไป เสือดำตนหนึ่งกำลังฉีกร่างอาโม่ออกเป็นสองส่วนอยู่พอดี ภาพเหตุการณ์นั้นนองเลือดไม่น้อยเลยทีเดียว

“เดิมทีหญ้าม่วงขมก็สามารถทำให้สัตว์อสูรวิเศษคลุ้มคลั่งได้อยู่แล้ว บวกกับถูกมนุษย์ทำร้าย มีความแค้นในใจ ก็ย่อมลงมือไม่เบากันอยู่แล้ว” โอวหยางเฟยพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังไม่ได้รู้สึกอะไรกับฉากนี้มากสักเท่าใดนัก ก่อนหน้านี้คนพวกนี้ยังพูดว่าจะสังหารพวกตนปิดปาก ทั้งยังฝ่าฝืนข้อตกลงอีกด้วย ตอนนี้ได้พบกับจุดจบเช่นนี้ก็นับว่ารับกรรมที่ตนก่อไว้แล้วกัน

เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีไม่เคยเห็นฉากนองเลือดเช่นนี้มาก่อน เมื่อเห็นโลหิตสาดกระจายไปทั่วบริเวณจึงหันหน้าหนีไปโดยสัญชาตญาณ

ถึงแม้ว่ากลุ่มทหารรับจ้างจะมีกันอยู่ถึงสามสิบกว่าคน แต่เมื่อเทียบกับสัตว์อสูรวิเศษเกือบยี่สิบตนแล้วพลังการต่อสู้ย่อมอ่อนแอกว่าเป็นธรรมดา เพียงไม่นานคนเหล่านั้นก็ถูกสัตว์อสูรวิเศษทำลายไปจนหมดสิ้น

หลังจากสัตว์อสูรวิเศษระดับขั้นค่อนข้างต่ำเหล่านั้นสังหารคนจนหมดสิ้นแล้วก็เริ่มหันมาห้ำหั่นกันเอง

“เจ้าคำรามน้อย!” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยปากขึ้นมาในทันใด

เจ้าคำรามน้อยมองเธอปราดหนึ่งก่อนจะกระแอมให้คอโล่งแล้วเงยหน้าส่งเสียงคำรามเสียงหนึ่ง

“โฮก…”

จะว่าไปแล้วก็ประหลาดนัก สัตว์อสูรวิเศษที่ยังคงคลุ้มคลั่งไม่น้อย เตรียมตัวจะเปิดศึกใหญ่กันยกหนึ่งอยู่เมื่อครู่ต่างพากันเงียบสงบลงในทันใดแล้วหมอบลงบนพื้น ไม่เหลือท่าทีเมื่อครู่อีกต่อไป

ซือหม่าโยวเย่ว์กระโจนลงมาจากกิ่งไม้แล้วเดินตรงไปหาพวกเจ้าคำรามน้อย ปล่อยให้คนที่เหลือปากอ้าตาค้างจ้องมองเธอ

“น้องซือหม่า นั่นมันสัตว์อสูรวิเศษอันใดกัน” ชิงอู๋หยาถามอย่างตกตะลึง

“พวกเราก็ไม่เคยเห็นร่างจริงของมันมาก่อนเช่นกัน” เจ้าอ้วนชวีพูด

“แต่ต่อให้พวกเราได้เห็นก็ใช่ว่าจะรู้จักหรอกนะ ทำให้ฝูงสัตว์วิเศษยอมศิโรราบได้ นี่ย่อมมิใช่สิ่งที่สัตว์อสูรวิเศษธรรมดาทั่วไปทำได้อย่างแน่นอน” เว่ยจือฉีพูดพลางส่ายหน้า

“ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นสัตว์อสูรวิเศษที่ล้ำเลิศมากนั่นแหละ!” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ท่าทีเช่นนั้นราวกับว่าเจ้าคำรามน้อยเป็นสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของเขาเอง

“มีคุณธรรมหน่อย!” โอวหยางเฟยขยับออกมาจากข้างกายเจ้าอ้วนชวีแล้วอดกลอกตาใส่เขาทีหนึ่งมิได้

ซือหม่าโยวเย่ว์มาถึงค่ายพักแรมเมื่อครู่ก็เห็นซากศพกระจัดกระจายกลาดเกลื่อน เธอมองเจ้าคำรามน้อย… และวิหคสี่ปีกที่อยู่ข้างล่างปราดหนึ่ง ก็พบว่าแววตาของมันยังคงมีสีแดงฉานที่ไม่จางหายไป

……………………