บทที่ 47
“เป็นอะไรหรือเปล่าเทีย”
ท่านปู่ช่วยปัดเสื้อผ้าของเธอที่ยับไปเล็กน้อยจากการถูกเฟเรสจับไว้เมื่อครู่ให้พลางเอ่ยถาม
“ข้าไม่เป็นอะไรค่ะ ท่านปู่ เด็กคนนี้คือเพื่อนข้า…”
“เฟเรส บรีบาเชาว์ ดิวเรลลี่”
มันเป็นชื่อเต็มที่ถูกเอ่ยขึ้นอย่างไร้ความรู้สึกราวกับประกาศลงโทษ
ไหล่ของเฟเรสผวาเล็กน้อย
สายตาของท่านปู่ทั้งเย็นชาทั้งไร้หัวใจ ท่านกวาดสายตามองเขาจากบนลงล่าง ทำราวกับกำลังประเมินสินค้าอย่างหนึ่ง
“ท่านปู่?”
นี่เป็นครั้งแรกที่ฟีเรนเทียได้เห็นภาพลักษณ์ของท่านในมุมนี้ เธอจึงเอ่ยเรียกท่านปู่อย่างระมัดระวัง
“อืม เด็กคนนี้คือเจ้าชายลำดับที่สองนี่เอง ต่อให้พบกันนอกวังก็คงจะรู้ได้แน่”
“ทำไมล่ะคะ”
ท่านปู่ขมวดคิ้วแน่นไม่ละสายตาไปจากเฟเรสในขณะที่เอ่ยตอบ
“เด็กนี่คล้ายกับจักรพรรดิองค์ก่อนมากทีเดียว ขนาดที่ทำให้คิดว่าอาจจะเป็นโอรสของอดีตจักรพรรดิ ไม่ใช่โยบาเนสเลยละ”
คำพูดนั้นทำให้นัยน์ตาของเฟเรสสั่นไหวไปชั่วขณะ
“ไม่มีใครเคยบอกเจ้าเลยหรือไง”
พอได้ยินท่านปู่ถาม เขาจึงพยักหน้าลงเล็กน้อย
“ก็นะ มารดาของเจ้าเองก็คงไม่เคยพบอดีตจักรพรรดิ โยบาเนสเองก็คงไม่อยากนึกถึงบิดาของตัวเองเท่าไหร่ เพราะอย่างนั้นถึงได้ยิ่งผลักไสให้ไกลตัว”
“ความสัมพันธ์ของฝ่าบาทกับอดีตจักรพรรดิไม่ดีเหรอคะท่านปู่”
“ไม่รู้สิ”
ท่านปู่หัวเราะหึหึพลางเอ่ยตอบ
“ขนาดข้าเองยังไม่แน่ใจเลยว่าโยบาเนสไม่ได้วางยาพิษบิดาตัวเอง”
ครอบครัวแตกแยกสุดๆ เลยสินะ
ฟีเรนเทียนึกว่าเรื่องในครอบครัวของลอมบาร์เดียจะเละเทะที่สุดแล้วเสียอีก แต่ดูเหมือนราชวงศ์จะเป็นหนักกว่า
อย่างน้อยเบเจอร์ก็เฝ้ารออยู่เงียบๆ จนกว่าท่านปู่จะเสียชีวิตลงด้วยวัยชรา
พอเห็นเธอยืนนิ่งไม่พูดไม่จา ท่านปู่ถึงเพิ่งจะสังเกตเห็น แล้วรีบพูดเสริมต่ออย่างรวดเร็ว
“แน่นอนว่าเทียของปู่ไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องพวกนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ลืมที่ปู่พูดไปเสียเถอะนะ”
“ค่ะ ท่านปู่”
เธอรีบตอบ ทำตัวเป็นหลานสาวนิสัยดีผู้แสนเชื่อฟังคำพูดของปู่
“อืมๆ และก็เจ้า…”
สายตาของท่านปู่หันกลับไปมองทางเฟเรสอีกครั้ง
มันดีกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย แต่ก็ยังคงเป็นแววตาที่เย็นชาเหมือนเดิม
“ตอนนี้เจ้าอาศัยอยู่ในวังเล็กนี่คนเดียวอย่างนั้นหรือ”
เฟเรสพยักหน้า
“ไม่มีทั้งนางกำนัล ไม่มีทั้งข้ารับใช้”
เฟเรสพยักหน้าอีกครั้ง
“ดูจากที่ยังไม่อดข้าวจนตาย แสดงว่ามีคนคอยเอาของกินมาให้เป็นระยะสินะ?”
และเด็กชายก็ยังคงพยักหน้าแทนคำตอบ
“โอรสของจักรพรรดิเป็นใบ้พูดไม่ได้หรือไง! ถ้ายังเป็นมนุษย์อยู่ก็ต้องรู้จักตอบด้วยคำพูดสิ!”
ท่านปู่ดุเสียงดัง
ทันใดนั้นเฟเรสก็สะดุ้งโหยง วิ่งหนีมาหลบหลังเธอ
“ไอ้เด็กนี่!”
ท่าทางท่านปู่จะไม่ชอบใจท่าทางแบบนั้นของเขาเท่าไหร่ จึงยื่นมือออกมาหมายจะคว้าร่างเฟเรสเอาไว้
แต่ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ท่านปู่ถึงได้หยุดชะงักการกระทำดังกล่าว
ฟีเรนเทียฉวยจังหวะนั้นจับมือของท่านปู่พลางหัวเราะแหะๆ
“ท่านปู่! พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในเถอะนะคะ! ข้าปวดขา…”
อันที่จริงยืนแค่นี้ไม่ได้ทำให้ขาเธอปวดหรอก แต่เธอต้องหาข้ออ้างอะไรสักอย่าง ถึงได้พูดให้มันดูโอเวอร์ไปก่อน
“เหรอ งั้นฟีเรนเทียเข้าไปรอข้างในก่อนนะ”
“ท่านปู่ล่ะคะ”
“ปู่ขอคุยกับเด็กคนนี้เสียหน่อย แล้วเดี๋ยวตามเข้าไป”
สีหน้าของท่านปู่ยืนกรานหนักแน่น
บรรยากาศราวกับถ้าหากเธอดื้อจะอยู่ตรงนี้ด้วย ท่านปู่คงจะหิ้วตัวเฟเรส ลักพาตัวเขาขึ้นรถม้าเป็นแน่
ตอนนี้เธอต้องยอมเชื่อฟังคำสั่งของท่านปู่ไปก่อน
ฟีเรนเทียหันหลังเดินเข้าไปข้างในวังเล็กอย่างช่วยไม่ได้
เธอพูดกับเฟเรสที่ยืนนิ่งมองเธออยู่ตรงนั้นทางสายตา
‘นั่นเชือกช่วยชีวิตเจ้าที่ข้าเชิญมาอย่างยากลำบากเชียวนะ! ทำตัวให้ดีล่ะ!’
แกรก
ฟีเรนเทียเดินเข้าไปข้างในวังเล็ก ประตูบานเก่าถูกปิดลง
รูลลักยังคงยืนนิ่งเอามือไขว้หลัง เขาก้มมองเจ้าชายลำดับที่สองที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาจงใจไม่เก็บซ่อนพลังรุนแรงที่ตั้งใจเค้นออกมาเพื่อกดดันอีกฝ่าย
รูลลักเชื่อว่าในเวลาแบบนี้ ต่อให้เป็นผู้ใหญ่ปกติคนหนึ่งก็ยังไม่อาจเงยศีรษะขึ้นมาได้ง่าย
แต่เฟเรสกลับแตกต่างออกไป
นัยน์ตาส่องประกายสีแดงคู่นั้นเงยขึ้นมองสบตารูลลักตรงๆ
บนใบหน้าไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ราวกับสวมหน้ากากเซรามิกสีขาว มีเพียงแค่ความหวาดระแวงอย่างรุนแรงอยู่เต็มเปี่ยม
ภาพลักษณ์แตกต่างจากยามที่อยู่ข้างกายฟีเรนเทียอย่างสิ้นเชิง
เมื่อครู่นี้ ตอนที่รูลลักยื่นมือออกไป ข้างในนัยน์ตาคู่นั้นมีกระทั่งจิตสังหารวาบขึ้นมาอยู่ครู่หนึ่ง
“ใช้ได้เหมือนกัน”
ไม่ว่าจะท่าทางตอนที่วิ่งออกมาอย่างรีบเร่งเมื่อได้ยินเสียงหลานสาวของเขา หรือท่าทางตอนที่ยืนฟังคำพูดอย่างสงบเสงี่ยมเชื่อฟัง มันทำให้เขานึกว่าเด็กคนนี้จะเป็นแค่ลูกสุนัขน่าสงสารไร้มารดาเสียอีก
เห็นอย่างนี้แล้ว ที่จริงก็เป็นเด็กชั่วร้ายคนหนึ่ง
รูลลักแสยะยิ้ม
“นึกว่ามีเพียงแค่รูปร่างหน้าตาภายนอกเท่านั้นที่เหมือนกับปู่ของเจ้า แต่นิสัยเองก็ถอดแบบมาราวกับพิมพ์เดียวกันสินะ”
โยบาเนสเป็นพวกใจแคบ แค่ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเล็กน้อยก็ขนตั้งชันอย่างหวาดระแวง ขู่คำรามเสียงต่ำ
แต่เด็กเฟเรสที่ยืนอยู่หน้าตนคนนี้กำลังลอบประเมินรูลลักอยู่
ทั้งๆ ที่เป็นเพียงแค่เจ้าชายผู้ถูกลืม ทั้งยังมีร่างกายที่อ่อนแอมากเสียจนหากเขาแค่ยื่นมือออกไปบีบคอนั่น ก็คงหมดลมหายใจลงอย่างง่ายดาย
ทั้งๆ ที่เป็นเพียงแค่เด็กไร้ที่พึ่งพิง ถึงจะตายไปก็ไม่มีใครมาร่ำไห้ให้ด้วยความสงสาร
ทว่าท่าทางเจ้าเล่ห์อย่างร้ายกาจช่างคล้ายคลึงกับอดีตจักรพรรดิมากเหลือเกิน
ถึงแม้จะเป็นแค่ขยะสกปรกที่ห่างไกลจากความเป็นมนุษย์ แต่อดีตจักรพรรดิคนนั้นก็ยังเป็นจักรพรรดิที่บริหารจัดการบ้านเมืองและทำงานที่ต้องทำได้อย่างดีเยี่ยม
แปลกที่ช่างขัดแย้งกันเหลือเกิน เพราะจุดที่เหมือนกันนั่นเองที่รบกวนความรู้สึกส่วนลึกในใจของรูลลักให้ขุ่นหมองขึ้นมา
เขาคิดอยู่ว่าหรือจะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ปล่อยให้ตายไปเสียแบบนี้ดีหรือเปล่า
“อยากมีชีวิตอยู่หรือไม่”
รูลลักเอ่ยถามเฟเรส แต่ในขณะเดียวกันก็พูดจาเหน็บแนมเด็กน้อยไปด้วย
“แค่ข้าพูดคำเดียวเจ้าก็มีชีวิตรอดต่อไปได้ เอาไงดีล่ะ ให้ช่วยดีมั้ย”
น่าขำที่เฟเรสยังคงกำหมัดเล็กๆ นั่นแน่น
นัยน์ตาสีแดงสดเหมือนสีเลือดคู่นั้นมันส่องประกายเป็นปรปักษ์กับรูลลักที่ดึงเอาเรื่องชีวิตของเฟเรสมาเป็นข้อต่อรอง
แบบนี้เองที่ทำให้รูลลักรู้สาเหตุว่าเพราะเหตุใดจักรพรรดินีถึงได้กัดฟันแน่นทุกครั้งที่เห็นสีแดง
ได้ยินว่าแม้แต่ทับทิมที่ได้รับมาเป็นของขวัญ ก็ไม่แม้แต่จะลองทาบลงบนกาย แต่กลับสั่งให้จัดการทำลายทิ้งให้สิ้นทั้งหมด
ก็สมควรอยู่หรอก
ชั่วขณะรูลลักพลันนึกถึงภาพราวีนี่ อังเกนัสกัดฟันกรอดยามมองเฟเรสขึ้นมา ซึ่งมันก็ทำให้เขารู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาก
ที่จริงแค่นั้นก็ถือว่าเป็นเหตุผลที่มากพอจะทำให้เขาช่วยเหลือเฟเรสให้รอดชีวิตได้แล้ว
“อืม ข้าตัดสินใจแล้ว จะช่วยชีวิตเจ้าก็แล้วกัน”
รูลลักยิ้มราวกับคนที่ยัดขนมปังขึ้นราใส่มือของเด็กน้อยผู้หิวโหย
“ถือเป็นโชคดีที่การมีตัวตนของเจ้าทำให้จักรพรรดินีเหลืออดได้”
แต่เฟเรสไม่ดีใจเลยสักนิด
เขาเอ่ยพูดกลับไปด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรอย่างโจ่งแจ้ง
“ฟีเรนเทียไม่เหมือนคุณเลยสักนิด”