“ว่าไงนะ ฮ่าฮ่าฮ่า!”

รูลลักระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นจนตัวงอ

“ใช่ เป็นเรื่องที่น่าโล่งอกมากเลยใช่มั้ยล่ะ ว่ามั้ย ที่หลานสาวของข้าไม่เหมือนข้า ไม่มีส่วนใดแปดเปื้อนสกปรก”

และวินาทีนั้นเอง รอยยิ้มบนใบหน้าของรูลลักก็จางหายไป

เขากล่าวเตือนสั้นๆ

“ดังนั้นอย่าได้คิดที่จะเข้ามาเกาะติดทำให้หลานสาวของข้าต้องแปดเปื้อนเพราะเจ้า นางไม่ใช่เด็กที่คนอย่างเจ้าจะปรารถนาอยากครอบครอง เข้าใจหรือไม่”

รูลลักยังคงจดจำแววตาของเฟเรสยามที่มองฟีเรนเทียเมื่อครู่นี้ได้

มันไม่ใช่มิตรภาพอันแสนบริสุทธิ์ของเด็ก

มันคือถ่านไฟคุกรุ่นที่แค่เวลาผ่านไปอีกหน่อย หากเติบโตมากขึ้นกว่านี้ อีกไม่นานก็คงจะปะทุจนลุกโชนเป็นเปลวไฟสีแดงเพลิง

การที่เฟเรสเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของจักรพรรดิ มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรขนาดนั้น

สำหรับลอมบาร์เดียแล้ว การที่เขาเป็นสมาชิกราชวงศ์ถือว่าเป็นคะแนนลบด้วยซ้ำไป

เฟเรสไม่ได้ตอบอะไรออกไป รูลลักเองก็ไม่ต้องการคำตอบจากเด็กคนนี้เช่นกัน

อย่างไรเสียตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปก็ไม่ต่างอะไรกับการที่สิทธิ์ในการมีชีวิตของเฟเรสอยู่ในกำมือของรูลลักอยู่แล้ว

คนที่ไม่รู้ว่าจะกลายเป็นสุนัขหรือเสืออย่างเด็กคนนี้ หากคิดอยากเข้าใกล้หลานสาวของเขามากเกินควร เขาก็แค่ดึงเชือกในมือก็จบ

รูลลักเหลือบมองเฟเรสอย่างมีเลศนัยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังกลับเพื่อเดินเข้าไปหาหลานสาวด้านใน

“ฟีเรนเทีย อยู่ที่ไหน!”

เสียงใจดียามเปิดประตูวังเล็กตะโกนเสียงดังนั่นฟังราวกับเป็นคนละคน

ระหว่างที่เฟเรสกับท่านปู่กำลังสนทนากัน เธอกำลังเดินสำรวจข้างในวังเล็ก

ข้างในวังมันกว้างและใหญ่สมกับเป็นอาคารหลังหนึ่ง แต่วังที่ไม่ได้รับการดูแลเลยแม้แต่น้อยนี่มันช่างดูเปล่าเปลี่ยวเหลือเกิน

เธอเหยียบบันไดหินอย่างระมัดระวัง ก้าวเดินขึ้นไปยังชั้นสอง

แม้แต่ขั้นบันไดยังผุพังหลายจุด จนต้องคอยระวังทุกย่างก้าว

แน่นอนว่าไม่มีใครคอยจุดไฟตามโคมไฟให้ โถงทางเดินจึงมืดสลัว ฝั่งตรงข้ามมีเพียงประตูบานหนึ่งที่ถูกเปิดทิ้งไว้

“โห จริงๆ เลย…”

ฟีเรนเทียลองเปิดประตูห้องนอนเข้าไปดู แล้วก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก

เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งต้องอาศัยอยู่เพียงลำพังโดยไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแล เธอเลยนึกว่ามันจะสกปรกรกรุงรังไปหมดเสียอีก แต่นี่มันแตกต่างจากที่เธอคาดการณ์เอาไว้สุดๆ

หากเป็นเช่นนั้นบางทีเธออาจจะไม่ตกใจแบบนี้

ห้องนอนของเฟเรสนั้นว่างเปล่า

ทั้งห้องมีเพียงแค่เตียงนอนหลังใหญ่ เครื่องเรือนเรียบง่าย และหนังสือที่วางกองอย่างเป็นระเบียบ

นอกจากจานชามที่ถูกวางทิ้งไว้อยู่หน้าเตาผิง ก็ไม่อาจมองหาร่องรอยที่บ่งบอกว่าห้องนี้มีคนอาศัยอยู่ได้เลย

ไม่มีของประดับตกแต่งทั่วไป ไม่มีแม้กระทั่งข้าวของที่ดูมีค่าเลยสักชิ้น

แต่ก็อย่างว่า ในวังที่ไม่มีเจ้าของทั้งยังปล่อยให้เด็กตัวเล็กๆ อาศัยอยู่คนเดียวตามลำพังใครมันจะไปเหลือข้าวของมีค่าทิ้งไว้ให้กันล่ะ

“อา…”

นอกจากของสองสิ่งที่เธอพบตอนนั่งลงบนเตียง

ดาบไม้บนเตียงกับขวดยาที่เธอมอบให้

บนผ้าห่มที่วางกระจัดกระจายอยู่บนเตียง มีแค่ของสองอย่างนี้วางทิ้งเอาไว้

ในตอนนั้นเองก็พลันได้ยินเสียงตะโกนเรียกของท่านปู่

“ฟีเรนเทีย อยู่ที่ไหน!”

“ข้าอยู่นี่ค่ะ!”

เธอรีบวิ่งลงบันได

โล่งอกที่เฟเรสยังดูเป็นปกติดี ไม่มีส่วนไหนได้รับบาดเจ็บ

แต่ก็แน่นอนอยู่แล้วละนะ

ท่านปู่ของเธอไม่ใช่คนเลวขนาดจะลงไม้ลงมือทำร้ายเด็กน่าสงสารแบบนั้นได้ลงคอหรอก

ฟีเรนเทียกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดไปหยุดอยู่หน้าท่านปู่ ท่านปู่จึงโค้งกายลงเล็กน้อยปรับระดับสายตาให้ตรงกันกับเธอในขณะที่เอ่ยพูด

“ปู่มีที่ให้ต้องแวะไปสักประเดี๋ยว เจ้ารออยู่ที่นี่นะ ปู่จะทิ้งอัศวินเอาไว้ให้ข้างนอกหนึ่งคนดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวล”

อัศวินที่พอจะคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้างถือกระเป๋าที่เธอพกมาด้วยไว้ในมือ เขาโค้งศีรษะให้เธอเห็น

“ค่ะ ท่านปู่ รีบมานะคะ!”

“โฮ่ๆ เด็กคนนี้นี่…”

ท่านปู่ลูบหัวเธอเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินออกไปข้างนอก

ไม่รู้ว่าไปหาทางมาที่นี่เจอตั้งแต่เมื่อไหร่ รถม้าตระกูลลอมบาร์เดียจอดรออยู่ก่อนแล้ว สารถีพาท่านปู่นั่งรถม้าโดยสารออกไปตามทางเดินป่า

เธอโบกมือลา แล้วหันไปถามเฟเรสที่ยืนอยู่ข้างๆ

“คุยอะไรกับท่านปู่ของข้าเหรอ”

“…เปล่า”

“อยู่ข้างนอกตั้งนานไม่ใช่หรือไง คุยเรื่องอะไรกันน่ะ”

“ข้าไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ”

งั้นท่านปู่ก็แค่ดุด่าแล้วเข้ามาเฉยๆ เหรอ

แต่ก็นะ คงไม่มีเรื่องอะไรมากหรอก

ฟีเรนเทียพับความสงสัยเก็บกลับไป ในขณะที่ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปหาเฟเรส

เด็กนี่เอาแต่มองหน้าเธอราวกับจะถามว่าหมายความว่ายังไง

“ไปกันเถอะ ข้าเอาของมาให้เจ้าตั้งเยอะแน่ะ”

ทางเดินขึ้นบันไดค่อนข้างลำบากพอควร

ถ้าเด็กตัวผอมบางขนาดนี้เผลอก้าวพลาด อาจจะหกล้มตกลงไปจนบาดเจ็บหนักเลยก็ได้

มือของเธอที่ยื่นออกไปมีความหมายเช่นนั้น

ไม่รู้ว่าปกติเขาเป็นคนที่ทำอะไรเชื่องช้าอยู่แล้วหรือเปล่า เฟเรสกะพริบตาอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือของเธอ

เธอจับมือที่ยื่นมาหาอย่างเงอะๆ งะๆ เอาไว้แน่น แล้วเป็นฝ่ายเดินนำเขาขึ้นบันไดไป

เธอคิดอยู่ว่าหรือเขาจะไม่อยากจับมือเธอ แต่โล่งอกที่เด็กนี่เดินตามเธอมาทีละก้าวๆ อย่างเงียบๆ

และในตอนที่มาถึงห้องนอน เฟเรสก็จับมือเธอเอาไว้แน่นกว่าเดิมเสียแล้ว

โยบาเนสเดินไปตามโถงทางเดินในพระราชวังด้วยใบหน้าบึ้งตึง

ทุกจังหวะก้าวเดินนั้นเต็มไปด้วยความร้อนรน

ทันทีที่มาถึงห้องทรงงาน อัศวินหน้าประตูห้องก็รีบเปิดประตูให้เขาทันที

พระอาทิตย์สีแดงลอยเด่นขึ้นส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้า แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาให้ความสว่างไปทั่วห้องทำงานและภายในห้องก็มีบุคคลหนึ่งกำลังนั่งรอต้อนรับโยบาเนสท่ามกลางแสงแดดอันแสนอบอุ่นนั่น

“ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

คนคนนั้นคือรูลลัก ลอมบาร์เดีย ที่กำลังนั่งดื่มชาอย่างผ่อนคลายราวกับที่นี่เป็นห้องทำงานของตัวเอง