“มาทำอะไร…ที่นี่ครับ”

จักรพรรดิโยบาเนสพยายามอดกลั้นจนหน้าผากยับย่น แต่เสียงที่ดังออกมายังคงกระแทกกระทั้นไม่น่าฟัง

ดังนั้นเขารีบกระแอมไอเสียงดัง ‘ฮึ่ม ฮึ่ม’ แก้ไขคำพูดของตน

“ข้าหมายถึง…มาไกลถึงขนาดนี้มีธุระอะไรหรือครับ”

“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ คงจะหมายความเช่นนั้นอยู่แล้ว”

รูลลักฉีกยิ้มเสียจนมองเห็นริ้วรอยรอบนัยน์ตาได้อย่างชัดพลางเอ่ยพูด

“สามปีแล้วสินะพ่ะย่ะค่ะ”

เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียไม่เคยออกจากเขตแดนลอมบาร์เดียง่ายๆ และมันก็เป็นสิ่งที่ทำให้โยบาเนสรู้สึกโล่งใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคอยเฝ้าระวังอยู่ไม่ห่าง

ชายชราคนนี้ทราบเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในพระราชวังเป็นอย่างดี แต่ตนที่เป็นถึงจักรพรรดิกลับแทบไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าภายในลอมบาร์เดียนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง

“ประมาณนั้นได้ครับ”

โยบาเนสพยายามทำใจให้สงบ เขานั่งลงบนที่นั่งตำแหน่งสูงสุดในขณะที่เอ่ยตอบ

“ที่ผ่านมาเติบโตขึ้นมากเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”

แต่ก็สงบลงได้เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น คำพูดเพียงประโยคเดียวของรูลลักทำให้คิ้วเข้มได้รูปของโยบาเนสกระตุกหนึ่งครั้ง

ท่าทางที่ปฏิบัติกับตนราวกับจักรพรรดิของอาณาจักรเป็นเพียงแค่เด็กน้อยแถวบ้านที่ไม่ได้พบกันเสียนาน มันทำให้เขารู้สึกโกรธ

“ข้าผู้ชราคนนี้อยากมาพระราชวังหลายรอบแล้ว แต่คำที่ฝ่าบาทตรัสเอาไว้เมื่อครั้งสุดท้ายที่พบหน้า มันสลักอยู่ในใจจนต้องหันหลังกลับเมื่อมาถึงหน้าประตูวังน่ะสิพ่ะย่ะค่ะ”

“…หากใครมาได้ยินเข้า จะคิดว่าข้าข่มเหงเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียไม่ต่างอันใดจากเสด็จลุงได้นะครับ”

“พระองค์ตรัสไว้ว่า ‘หากเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียยังคงเข้าออกพระราชวังเหมือนเป็นบ้านของตัวเอง ข้าคงไม่มีหน้าเป็นผู้นำอาณาจักรได้ ถ้าอยากลากข้าลงจากบัลลังก์ ก็โผล่หน้ามาเข้าร่วมประชุมบ่อยๆ ดูสิ’ ไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

“อะแฮ่ม…”

โยบาเนสพูดอะไรไม่ออก

เขาต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้อยู่แล้ว เพราะนั่นเป็นคำที่ตัวเองเคยกล่าวไว้กับรูลลักจริงๆ

“คงเป็นเพราะตอนนั้นข้าทำงานหนักมากเกินไป…”

รูลลักหัวเราะโยบาเนสที่เอาแต่หาข้อแก้ตัวข้างๆ คูๆ ก่อนจะเอ่ยพูดต่อ

“ทั้งๆ ที่ที่ผ่านมาอดกลั้นมาได้ตลอดแท้ๆ แต่วันนี้จำเป็นต้องมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทให้ได้ ขอทรงประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“…มีเรื่องอะไรกันแน่ครับ ถึงได้มาตั้งแต่รุ่งสาง”

ดูเหมือนว่าโยบาเนสเองก็จะอยากรู้จนไม่อาจทนได้ไหวเช่นกัน

การมารอถึงห้องทำงานโดยไม่ส่งสารมาแจ้งล่วงหน้าแบบนี้ สมกับที่เป็นรูลลัก แต่ก็ไม่สมกับที่เป็นรูลลักเหมือนกัน

“อาจจะฟังดูลามปามไปบ้าง แต่พระองค์ทราบหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ว่าเจ้าชายลำดับที่สองเฟเรสตกอยู่ในสถานการณ์เช่นใด”

“เฟเรส”

ชื่อนั้นไม่คุ้นหูเสียจนขนาดพูดออกมายังกระดากปาก

กว่าจะตระหนักได้ว่านั่นคือชื่อโอรสของตนที่เขาลืมไปเสียนาน ก็ต้องใช้เวลาอยู่หลายวินาทีทีเดียว

“หากเป็นเด็กคนนั้น จักรพรรดินีคงจะคอยช่วยดูแลให้อย่างดีแหละครับ ที่เจ้าตระกูลมาที่นี่วันนี้เป็นเพราะเด็กคนนั้นหรือครับ”

เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน โยบาเนสจึงเอียงคอด้วยความงุนงง

“กระหม่อมขอถามฝ่าบาทสักเรื่อง พระองค์เชื่อว่าจักรพรรดินีจะดูแลเจ้าชายลำดับที่สองได้เป็นอย่างดี ถึงได้ฝากฝังให้เป็นคนเลี้ยงดูหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ถึงแม้จะพูดกับจักรพรรดิโดยใช้คำสุภาพอ่อนน้อม แต่กับจักรพรรดินีรูลลักไม่เคยทำเช่นนั้น

มันเป็นวิธีการของเหล่าเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียในทุกรุ่น ที่มักจะแสดงจุดยืนในฐานะของพวกเขาออกมาให้เห็น ว่าคนพวกนั้นกับพวกเขาอยู่คนละระดับชั้นกัน

โยบาเนสตอบด้วยความโมโห เพราะในน้ำเสียงของรูลลักนั้นทำราวกับต้องการตำหนิตน

“นี่ตอนนี้คิดที่จะเข้ามายุ่งกระทั่งเรื่องภายในราชวงศ์เลยหรือครับ”

เทียบกับอดีตจักรพรรดิแล้ว โยบาเนสเป็นจักรพรรดิที่อ่อนน้อม ไม่เคยแสดงท่าทางเป็นศัตรูอย่างเปิดเผยกับลอมบาร์เดียแต่อย่างใด ทว่าดูเหมือนเมื่อเป็นเรื่องผู้สืบทอดบัลลังก์ของตัวเองจะเกินขอบเขตความอดทนของโยบาเนสไปเสียหน่อย

“กระหม่อมไม่ได้กล่าวเช่นนี้เพื่อจะพูดคุยเรื่องความรับผิดชอบในการเลี้ยงดูโอรสกับฝ่าบาทหรอกพ่ะย่ะค่ะ ในราชวงศ์ของเช่นนั้นมันจะไปมีประโยชน์อันใดได้ เพียงแต่…”

รูลลักส่ายหน้าคล้ายกับรู้สึกสมเพชเล็กน้อย

“เมล็ดพันธุ์ที่ฝ่าบาทเป็นผู้หว่าน ไม่ควรจะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ฝ่าบาทต้องกลายเป็นหุ่นเชิดไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ทำให้ข้าเป็น…หุ่นเชิด?”

โยบาเนสเริ่มซีเรียสขึ้นมาแล้ว

“นั่นหมายความว่ายังไงกันครับ ช่วยอธิบายด้วย”

รูลลักยิ้มผ่อนคลายให้โยบาเนสที่เริ่มรู้สึกร้อนรนขึ้นมา เขาพูดต่อ ทว่าคำพูดที่หลุดออกมาจากปากกลับไม่ได้ฟังเบาสบายไปด้วยเลยแม้แต่น้อย

“มีข่าวมาแจ้งว่าตระกูลอังเกนัสตัดกำไรที่ได้จากเขตแดนในปีนี้ลงครึ่งหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”

“ครึ่งหนึ่งรึ”

ความจริงที่ตระกูลอังเกนัสของจักรพรรดินีเลี่ยงภาษีในระดับหนึ่งนั้น สำหรับโยบาเนสแล้วมันไม่ใช่ข่าวใหม่แต่อย่างใด

แต่ความจริงที่ว่าปริมาณที่หลบเลี่ยงไปนั้นมีมากกว่าครึ่ง มันทำให้เขาต้องตกตะลึง

“แต่ยังมีอีกเรื่องที่ฝ่าบาทคงจะต้องให้ความสนใจเพิ่มเสียหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”

“เรื่องอะไรหรือครับ”

“คนที่ค้นพบว่าในรายการภาษีมีจุดผิดปกติได้ทำการรายงานให้เจ้าหน้าที่ทราบ แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครดำเนินการอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ”

มันเป็นอย่างที่รูลลักพูดจริงๆ

จักรพรรดิตกใจเป็นอย่างมาก สีหน้าของเขาซีดเผือดราวกับสีหลุดลอกไปจากใบหน้า

รูลลักไม่สนใจปฏิกิริยาของจักรพรรดิ เขายังคงราดน้ำมันต่อไป

“มันเป็นหลักฐานที่แสดงถึงความจริงที่ว่ามีคนจำนวนมากทำงานเพื่อตระกูลอังเกนัส ทั้งๆ ที่ได้รับเงินจากราชวงศ์ไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

แถมยังเทมันลงไปพรวดๆ เสียด้วย

“เรื่องที่ไม่จ่ายเงินภาษีอย่างเหมาะสม ก็ยังจะมองว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยพอกล้อมแกล้มยอมปิดตาลงข้างหนึ่งได้อยู่หรอก เพียงแค่ถ้าหากข้าราชการประจำราชวงศ์เองก็ร่วมมือด้วยแล้วละก็… มิใช่ว่านี่หมายถึงอำนาจของฝ่าบาทถูกลิดรอนไปมากแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม…”

องค์จักรพรรดิปวดศีรษะจนต้องยกมือขึ้นนวดขมับ

รูลลักมองภาพนั้นราวกับกำลังรับชมละครเวทีสนุกๆ เรื่องหนึ่ง เขาโยนหินก้อนที่สองออกไป โดยหวังว่าคราวนี้จะก่อให้เกิดคลื่นยักษ์ในทะเลสาบ

“กระหม่อมยังมีอีกเรื่องที่ต้องขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่าพระองค์จำเหมืองแร่ที่ตั้งอยู่แถวแม่น้ำเซเบสได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“…จำได้ครับ”

“เหมืองแร่เหล็กที่อดีตจักรพรรดิมอบหมายให้ลอมบาร์เดียของพวกเราไว้ใช้เตรียมการรับมือในกรณีฉุกเฉิน บุตรชายของข้าดันขายมันให้ตระกูลบาราพอร์ทเสียแล้วละพ่ะย่ะค่ะ”

“หากเป็นตระกูลบาราพอร์ท…”

“หนึ่งในตระกูลใต้บังคับบัญชาที่มีอยู่หยิบมือของอังเกนัสพ่ะย่ะค่ะ”

มันมีไว้สำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินในกรณีที่ตระกูลดิวเรลลี่ถูกขับไล่ลงจากบัลลังก์ พระองค์จึงได้แอบลักลอบแบ่งทรัพย์สินของราชวงศ์ไปทีละน้อย แล้วฝากฝังมันไว้กับตระกูลลอมบาร์เดีย

ยกตัวอย่างเช่น ทองคำกว่าห้าพันแท่งที่เก็บซ่อนเอาไว้อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของห้องนิรภัยธนาคารลอมบาร์เดีย

ภายนอกอาจจะเป็นที่รู้จักกันในฐานะ ‘เหมืองแร่เล็กๆ ที่ไม่มีค่าอะไร’ แต่ที่จริงใต้ดินเป็นเหมืองแร่เหล็กขนาดใหญ่เลยทีเดียว

มันเป็นการปฏิบัติตามคำสาบานที่สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่เนิ่นนานสมัยก่อนว่า ‘ดิวเรลลี่และลอมบาร์เดียจะไม่มีวันหันหลังให้กัน’